Jim Kwik ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ที่สอนให้คนทั่วโลกให้ใช้สมองให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับทีม X-Men ทั้งทีม มาแล้ว เพราะผู้กำกับอยากให้นักแสดงทุกคนสามารถท่องจำบทได้อย่างแม่นยำ และ Jim Kwik ก็เชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า การใช้ศักยภาพของสมองให้สูงที่สุดก็คือพลัง Superhuman ของมนุษยชาติดี ๆ นี่เอง โดยในบทความนี้เขาจะมาแชร์เคล็ดลับในการทำให้สมองและร่างกายของคนเราเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ที่เหล่าบรรดาคนรวยและคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในแต่ละสายอาชีพเขาทำกัน ซึ่งหลายเรื่องที่ดูจะเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา มันอาจธรรมดามากจนหลายต่อหลายคนมองข้ามมันไป แต่รู้หรือไม่ว่า เรื่องธรรมดา ๆ เหล่านี้ กลับกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลให้ร่างกายของมนุษย์คนเรานั้น สามารถดึงศักยภาพสูงสุดของตนเองออกมาได้ และนี่ก็คือ 10 อุปนิสัยเหล่านั้น
อุปนิสัยที่ 1 – ทานอาหารที่ดีต่อสมอง (Good Brain Food)
You Are What You Eat คุณกินอย่างไรคุณก็จะได้อย่างนั้น ยิ่งคุณให้ความสำคัญกับสิ่งที่กินที่มีประโยชน์ต่อสมองมากเท่าไหร่ สมองของคุณก็จะได้รับสารอาหารที่ดีมากเท่านั้น และเมื่อสมองคุณได้รับสารอาหารที่ดี สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Jim Kwik แนะนำอาหารทั้ง 10 อย่างที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง เช่น
- Avocado
- Blueberries
- Broccoli
- Coconut Oil
- Eggs
- Green Leafy Vegetables
- Salmon
- Turmeric
- Walnuts
- Dark Chocolate – ข้อนี้นอกจากจะมีประโยชน์ต่อเซลล์สมองแล้ว รสชาติยังดี แถมยังดีต่อใจอีกต่างหาก
ถ้าคุณให้คะแนนตัวเองเกี่ยวกับการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ที่ดีต่อสมอง คุณจะให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ จาก 0 เต็ม 10
อุปนิสัยที่ 2 – ฆ่ามดเหล่านั้นซะ Killing ANTS!
อย่าพึ่งตกใจว่าการฆ่ามดเกี่ยวข้องอะไรกับการทำให้สมองดีขึ้น ซึ่งเจ้า ANTS ที่ว่านี้เป็นคำย่อมาจากคำว่า Automatic Negative Thoughts หรือแปลเป็นไทยได้ว่า การคิดลบโดยอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อรวมกับคำว่า Killing ที่หมายถึงการฆ่าแล้วก็จะหมายถึง การกำจัดความคิดเชิงลบโดยเฉพาะความคิดเชิงลบที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์เคยออกมาให้ข้อมูลด้วยว่า การคิดลบบ่อย ๆ นั้น ทำให้สมองเสื่อม มีแนวโน้มที่จะฉลาดน้อยลง ทำให้คนไม่มีความสุข และนำไปสู่โรคซึมเศร้าที่เป็นโรคที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายได้อีกด้วย มันน่ากลัวมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ซะอีก
อุปนิสัยที่ 3 – ออกกำลังกาย Exercise
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดเยอะ เพราะเราต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า การออกกำลังเป็นที่ดีต่อร่างกาย แต่เป็นสิ่งที่ถ้าอยากได้ เราจะต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง ซึ่งแม้ว่าจะมีเงินมากมายก่ายกองมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้ และในหลาย ๆ โรคที่เกิดขึ้นจากการไม่ดูแลร่างกายของตนเอง ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาได้เช่นกัน ดังนั้น จงออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ โดยหาวิธีการและช่วงเวลาที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณให้เจอ เพราะแต่ละคนมีร่างกายที่แตกต่างกันออกไป จงหาวิธีการที่คุณสามารถทำมันได้บ่อยและรู้สึกเอนจอยไปกับมัน มันจะทำให้คุณสามารถออกกำลังได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
อุปนิสัยที่ 4 – สารอาหารบำรุงสมอง Brain Nutrients
สารอาหารที่มีประโยชน์และบำรุงสมองโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น OMEGA 3S, DHAS, GINGO BILOBA, VITAMIN B B12 เป็นต้น โดยหลายต่อหลายคนที่แม้ดูภายนอกจะดูเป็นคนที่แข็งแรงและสุขภาพดี กินอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ภายในอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งสิ่งที่จะทำให้รู้แน่ชัดมากที่สุดว่าร่างกายคุณต้องการสารอาหารแบบใด หรือร่างกายคุณกำลังขาดสารอาหารอะไรอยู่นั้น คือการทำการทดสอบผลเลือดของคุณ โดยคุณสามารถเข้าไปรับการตรวจสอบเลือดกับคุณหมอได้ โดยแม้จะใช้เวลาสักหน่อย แต่คุณจะได้ผลการตรวจเลือดที่แม่นยำสุด ๆ โดยบางคนร่างกายอาจจะยังไม่แสดงอาการ แต่ผลเลือดอาจกำลังบอกคุณว่า หากคุณไม่รีบทำการรักษา คุณก็สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคใดโรคหนึ่งอยู่ ซึ่งคุณก็จะได้รีบหาวิธีป้องกันไว้ได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง
อุปนิสัยที่ 5 – นำตนเองไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ดี Positive Peer Group
คำถามแรกที่คุณควรเริ่มต้นถามกับตัวเองก็คือ ตอนนี้ใครคือคนที่คุณใช้เวลาร่วมกันมากที่สุดในแต่ละวัน ซึ่งในท้ายที่สุดคุณก็จะเป็นเหมือนกับคน ๆ นั้น ซึ่งหากบรรยายในเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมาหน่อยก็จะได้ประมาณว่า ในสมองมนุษย์เรานั้น จะมีเซลที่เรียกว่า Neurons เป็นเหมือนลักษณะโครงข่ายใยแมงมุม แต่ละเซลจะมีแขนเหมือนรากไม้ที่เรียกว่า Axon อยู่นับล้าน ๆ เซล โดยแขนขาของ Neuron แต่ละเซลจะเชื่อมต่อกันด้วยประจุไฟฟ้า เวลาที่เราคิดอะไรก็ตาม Neuron แต่ละตัวมันจะส่งสัญญาณเป็นประแสไฟฟ้า ที่สามารถวัดค่าได้จริง ๆ ส่งกันเซลต่อเซล ดังนั้นหากเพื่อนคุณเป็นคนคิดลบ คุณก็จะเริ่มคิดลบตาม และเซล Neuron ในสมองคุณก็จะเริ่มส่งกระแสไฟฟ้าไปยังนับล้าน ๆ เซลเพื่อหาเซลที่เห็นพ้องต้องกันว่าคุณต้องการคิดลบ ซึ่งสมองมันไม่แยกแยะว่า สิ่งที่รับมานั้นเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด มันแค่เพียงทำหน้าที่ตามที่เจ้าของสมองคิดเท่านั้น และในทางตรงกันข้ามหากคุณคิดบวก Neuron มันก็จะพยายามเข้าเซลประเภทเดียวกัน เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนอย่างแข็งแรง
และโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ถูกออกแบบมาให้อยู่กันเป็นสังคม ซึ่งสิ่งที่มนุษย์ต้องการก็คือ การได้รับการยอมรับจากสังคม ดังนั้นหากคุณอยากให้คนในสังคมนั้นยอมรับคุณ คุณก็จะทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้ตัวของคุณกลมกลืนไปกับกลุ่มคนกลุ่มนั้น จนเกิดเป็นวลีที่ว่า “ตัวคุณคือค่าเฉลี่ยของคนอีก 5 คน ที่คุณใช้เวลาร่วมด้วยมากที่สุด” ดังนั้นหากตอนนี้คนที่รายล้อมคนเต็มไปด้วยคนถังแตกจำนวน 5 คนที่คุณใช้เวลาร่วมด้วยมากที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ คุณจะกลายเป็นคนถังแตกคนที่ 6 ในกลุ่มนั้นไปโดยปริยายแม้ว่าคุณจะไม่อยากเป็นคนถังแตกก็ตามที
ดังนั้นหากคุณต้องการเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนที่เก่งขึ้น เป็นคนที่รวยขึ้น อยากเป็นคนแบบไหน ก็จงพาตนเองไปอยู่ในกลุ่มคนแบบนั้น ซึ่งแม้ว่าในตอนนี้คุณจะยังไม่ได้เป็นอย่างคนในกลุ่มเป็น แต่ในท้ายที่สุดคุณก็มีโอกาสจะเป็นค่าเฉลี่ยของพวกเขาอย่างแน่นอน
อุปนิสัยที่ 6 – มีสภาพแวดล้อมที่สะอาดสะอ้าน Clean Environment
สิ่งที่เป็นเบสิคในการทำให้สภาพแวดล้อมที่ทำงานมีความสะอาดสะอ้านนั้น คุณอาจเริ่มต้นด้วยการทำความโต๊ะทำงาน นำสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นหรือรกหูรกตาออกให้เหลือแต่เพียงสิ่งที่ต้องใช้จริง ๆ เท่านั้น ต่อมาหากคุณทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์สิ่งที่คุณจะต้องทำความสะอาดก็คือ แป้นคีย์บอร์ด เม้าส์ จอคอมฯ แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะสภาพแวดล้อมหมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในระหว่างการทำงาน ในระหว่างการใช้สมองคิดงาน เช่น อากาศที่สะอาดไม่มีฝุ่นละออง น้ำดื่มสะอาดในระหว่างวัน เพราะตัวคุณเองก็รู้ดีว่า ในอากาศที่ไม่สะอาดนั้นจะส่งผลต่อร่างกายและสมองคุณมากแค่ไหน เช่นเดียวกันกับน้ำดื่มสะอาดที่ร่างกายของคนเรานั้นประกอบไปด้วยน้ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับความสะอาดรอบตัวเรา
อุปนิสัยที่ 7 – การนอนหลับ Sleep
การนอนหลับถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับของมนุษย์เรา เพราะหากเรานอนเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน นั่นหมายถึง ชีวิตเรากว่า 1 ใน 3 นั้น ใช้ไปกับการนอน หรือยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดมากยิ่งขึ้นก็คือ หากเรามีอายุ 99 ปี แสดงว่าเราใช้เวลาไปกับการนอนแล้วอย่างน้อย ๆ ก็ 33 ปีเต็ม ดังนั้นนั่นแสดงให้เห็นว่าการนอนของคนเรานั้นมีบทบาทและประโยชน์ต่อร่างกายและสมองอย่างแน่นอน โดยมีประโยชน์อย่างน้อย 3 อย่างคือ
ประโยชน์ข้อที่ 1 – การนอนที่ดี จะทำให้สมองของคุณที่มีความจำสั้น สามารถพัฒนาให้มีความจำที่ดีและยาวนานมากขึ้น
ประโยชน์ข้อที่ 2 – การนอนเป็นเสมือนช่วงเวลาในการรีเซ็ตและจัดระเบียบความเรียบร้อยให้กับสมอง เพื่อให้สมองสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นและลดโอกาสในการเกิดอาการสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร ซึ่งมีผลวิจัยรองรับแล้วว่าการนอนไม่เพียงพอมีโอกาสความจำเสื่อมได้เร็วกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ
ประโยชน์ข้อที่ 3 – การนอนทำให้เกิดความฝัน ซึ่งความฝันเป็นช่วงเวลาที่สมองของคนเรานั้นไร้ขอบเขตและขีดจำกัดต่าง ๆ ที่สังคมมนุษย์สร้างขึ้น โดยในความฝันนั้น อะไรก็สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ และหลายต่อหลายคนก็สามารถนำจินตนาการจากความฝันแล้วเนรมิตให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างหากอาจไม่เกิดขึ้นจริงหากคนเหล่านั้นไม่มีความฝัน
อุปนิสัยที่ 8 – การปกป้องสมอง Brain Protection
การปกป้องสมองเป็นสิ่งสำคัญ และการปกป้องอย่างง่ายที่คุณสามารถทำได้ในทันทีอย่างเช่น การใส่หมวกกันน็อคเวลาขับขี่มอเตอร์ไซต์เพื่อป้องการการกระแทกและได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองจากหนักให้เป็นเบาหรือไม่เป็นอะไรเลย หรือหากเป็นนักกีฬาก็ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีความเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งของสมอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้จากการมองเห็น
แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็จำเป็นที่จะต้องป้องกันสมองจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่มันสามารถส่งผลกระทบต่อสมองของเราได้ ยกตัวอย่างเช่น สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากมือถือ ซึ่งแม้ว่าผลวิจัยในปัจจุบันอาจจะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อสมองของเรามากแค่ไหน และสิ่งที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ เด็กในยุคนี้ที่เติบโตมากับสมาร์ทโฟนนั้นกว่าร้อยละ 90 มักจะนอนหลับโดยมีมือถืออยู่ใต้หมอนไม่ก็ข้างตัวที่ห่างไม่เกินมือเอื้อม
อุปนิสัยที่ 9 – รักษาให้สมองของคุณให้ตื่นตัว Keeping Your Brain Alive
การทำให้สมองตื่นตัวหรือได้คิดและพัฒนาอยู่ตลอดเวลาก็คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะสมองก็ต้องการการออกกำลังกายเฉกเช่นเดียวกันกับร่างกาย โดยการพัฒนาสมองนั้น อาจแบ่งออกได้เป็น 2 อย่างก็คือ Neurogenesis และ Neuroplasticity
- Neurogenesis แปลได้ว่า การกำเนิดประสาท ซึ่งมนุษย์ถูกแบบสมองมาให้มีการสร้างเซลประสาทใหม่ ๆ ตลอดช่วงชีวิตของคนเราจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ดังนั้นยิ่งคุณเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สมองคุณก็ยิ่งพัฒนาเซลประสาทใหม่ ๆ และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
- Neuroplasticity หมายถึง เซลประสาทมีความยืดหยุ่นและมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงเชื่อมต่อกันได้ตลอดเวลา
โดยวิธีการรักษาให้เกิดกระบวนการ Neurogenesis และ Neuroplasticity นั้น สามารถทำได้ 2 วิธีก็คือ Novelty ที่หมายถึง ความแปลกใหม่ และ Nutrition หมายถึงคุณค่าทางโภชนาการ โดยเป็นหลักการเดียวกันกับที่ทำให้ร่างกายของคุณพัฒนาและมีสุขภาพที่ดี นั่นก็คือ การกระตุ้นด้วยความแปลกใหม่และสร้างสิ่งเร้าเพื่อให้ตัวคุณอยากไปออกกำลังกายแล้วสุดท้ายก็บำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย สมองก็เช่นเดียวกัน
อุปนิสัยที่ 10 – การจัดการกับความเครียด Stress Management
ความเครียดเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้แต่คุณจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนเมื่อคุณหยุดงานแล้วออกไปพักร้อน ไม่ก็เข้าสปาหรือนวดแผนโบราณ ซึ่งคุณจะรู้สึกผ่อนคลายซึ่งจะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า ความเครียดคุณมากแค่ไหน ถ้ารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก นั่นก็แสดงว่าคุณพึ่งออกมาจากภาวะความเครียดอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ ดังนั้นลองมองหากิจกรรมที่เมื่อคุณทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายอยู่เสมอเมื่อเกิดภาวะความเครียด บางคนอาจเลือกที่จะนั่งสมาธิ ไปปฏิบัตธรรม บางคนก็เลือกที่จะไปฟิตเนสออกกำลังกายให้ได้เหงื่อ บางคนก็เลือกที่จะไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดสูดบรรยากาศธรรมชาติหรือไม่ก็หาของอร่อย ๆ กิน
และหากคุณเริ่มซีเรียสและจริงจังกับการเรียนรู้จากคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างสูง วันนี้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลพรีเมี่ยมคอนเท้นต์ได้แล้วบน Blue O’Clock Academy ใน ซีรี่ย์ Top 10 Mentors : 10 สุดยอดบทเรียนจากมหาเศรษฐีรุ่นพี่สอนว่าที่มหาเศรษฐีรุ่นน้องคนต่อไป โดยคุณสามารถลงทะเบียนได้ในราคาพิเศษตามรายละเอียดที่ลิงค์ด้านล่างวีดีโอนี้ได้เลยครับ
Resources