Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Quote

100 ข้อคิด จาก Donal Trump

Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นักธุรกิจ เขาได้แบ่งปันประสบการณ์ มุมมอง และข้อคิดที่น่าสนใจ ทั้งในฐานะนักธุรกิจและผู้นำประเทศ และนี่คือ 100 ข้อคิด 100 บทเรียน ที่เราสามารถเรียนรู้ได้เขา

  1. Donald Trump เน้นย้ำถึงความสำคัญของภาษีนำเข้า (Tariffs): “คำว่าภาษีนำเข้าเป็นคำที่สวยที่สุดในพจนานุกรม สวยงามกว่าคำว่ารักซะอีก เพราะประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถร่ำรวยได้ด้วยการใช้ภาษีนำเข้าอย่างเหมาะสม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ (Economic Tools) เพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
  2. ในการเจรจากับประธานาธิบดี Emmanuel Macron แห่งฝรั่งเศส Trump กล่าวว่า : “เขาได้ยกหูโทรหากับ Emmanuel และบอกว่า ถ้าคุณเก็บภาษีบริษัทอเมริกัน ผมจะเก็บภาษีนำเข้า (Import Tax) 100% กับไวน์และแชมเปญของประเทศฝรั่งเศสของคุณ’ และหลังจากนั้นภายใน 2 นาที ประธานาธิบดี Emmanuel Macron แห่งฝรั่งเศส เขาก็ได้ยกเลิกการเก็บภาษีจากบริษัทอเมริกันทั้งหมด” นี่แสดงให้เห็นถึงการใช้นโยบายการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
  3. Trump เน้นความสำคัญของการได้รับความเคารพในการทูต (Diplomatic Respect): โดย Trump บอกว่า “พวกเขาไม่เคยพูดกับผมแบบนั้น พวกเขาเคารพผม พวกเขาเคารพประเทศของสหรัฐอเมริกาของเรา พวกเขาไม่เคารพ Joe Biden พวกเขาไม่เคารพ Kamala Harris” สิ่งนี้มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาพลักษณ์ผู้นำ (Leadership Image) ในเวทีโลก
  4. เรื่องการจัดการกับจีนและโรงงานผลิตรถยนต์ในเม็กซิโก Trump ได้ใช้นโยบายการกีดกันทางการค้า (Trade Barriers): โดยเขากล่าวว่า “ถ้าโรงงานนั้นยังอยู่ตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดี เขาจะเก็บภาษี 100% หรือ 200% กับรถทุกคัน จนกระทั่งพวกเขาขายรถไม่ได้ในสหรัฐอเมริกา” ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้มาตรการทางภาษี (Tax Measures) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ
  5. Trump เล่าถึงการเจรจากับกลุ่ม NATO (North Atlantic Treaty Organization ซึ่งเป็นการรวมตัวของประเทศพันธมิตรเพื่อการป้องกันประเทศ): โดย Trump เล่าว่า “ประเทศในกลุ่มสมาชิก NATO เคยไม่ยอมจ่ายเงินสนับสนุนให้อเมริกา Trump เลยเลยบอกกับพวกเขาไปว่า ‘ถ้าพวกคุณไม่จ่ายเงินสนับสนุนอเมริกา แล้วหากรัสเซียมารุกรานพวกคุณ ทางอเมริกาก็จะไม่ช่วยปกป้องคุณ’ หลังจากนั้นพวก NATO ก็ยอมจ่ายเงินหลายแสนล้านดอลล่าร์ ให้กับอเมริกา” แสดงให้เห็นว่า Trump ได้ใช้จุดแข็งของอเมริกาในการต่อรองให้ประเทศพันธมิตรร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  6. Trump ได้พูดถึงจุดแข็งของประเทศสหรัฐอเมริกาในการเจรจาต่อรอง (Negotiation Power) ว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีทรัพยากรธรรมชาติทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้นำประเทศรู้จักจุดแข็งและทรัพยากร (Resources) ที่ประเทศของตนมีนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเจรจาต่อรองกับประเทศอื่น ๆ
  7. Trump มองว่าการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว (Personal Relationship) กับผู้นำประเทศอื่นเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเขาได้ยกตัวอย่างความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่า: “ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับประธานาธิบดี Xi Jinping (ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน) พวกเราเข้ากันได้ดีมาก และนี่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่แย่อย่างที่ใครหลายคนคิด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำประเทศนั้นมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จในการเจรจาระหว่างประเทศ
  8. Trump ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถของผู้นำประเทศ (Leadership Capability) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศจำเป็นต้องมีประธานาธิบดีที่มีความฉลาด เพราะมีเพียงผู้นำที่ฉลาดเท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับประเทศที่แข็งแกร่งอย่างรัสเซียได้ และสามารถจัดการกับปัญหาท้าทายอื่น ๆ ได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความฉลาดและความสามารถของผู้นำประเทศนั้นมีผลโดยตรงต่อความสำเร็จของประเทศ
  9. ในเรื่องความน่าเชื่อถือในการเจรจา (Credibility) Trump ได้เตือนว่า: “ในการเจรจากับบางประเทศนั้น เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะบางครั้งพวกเขาอาจจะรับปากว่าจะทำตามข้อตกลง แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ทำตาม แต่ประเทศเหล่านั้นก็รู้ดีว่าถ้าพวกเขาโกหกผม จะต้องเจอกับผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาคำพูดและความน่าเชื่อถือในการเจรจาระดับนานาชาติ
  10. Trump ได้พูดถึงผลเสียของการแสดงความอ่อนแอ (Weakness) ในการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศต่าง ๆ ไม่เคารพ Joe Biden เพราะเขาแสดงออกถึงความอ่อนแอ และพวกเขายิ่งฝันอยากให้ Kamala Harris ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เพราะเธอแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้นำประเทศแสดงจุดอ่อนในการเจรจาระหว่างประเทศนั้น จะทำให้ประเทศเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง
  11. Trump ได้พูดถึงอำนาจในการเจรจาต่อรองของประเทศสหรัฐอเมริกา (Negotiation Power) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีอำนาจมหาศาล และถ้าผู้นำรู้วิธีใช้อำนาจนั้นอย่างชาญฉลาด เราก็สามารถหยุดสงครามต่าง ๆ ได้เพียงแค่ใช้มาตรการทางภาษีนำเข้าเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic Power) อย่างชาญฉลาดนั้น สามารถช่วยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทางทหารในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศได้
  12. Trump ได้พูดถึงกลยุทธ์ในการเจรจา (Negotiation Strategy) โดยเขากล่าวว่า: “ผมไม่อยากจะเปิดเผยวิธีการที่ผมจะใช้ในการเจรจา เพราะถ้าผมเปิดเผยวิธีการเหล่านั้นออกไป ผมจะไม่มีวันได้ข้อตกลงที่ดีในการเจรจาอีกเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเก็บกลยุทธ์การเจรจาไว้เป็นความลับ (Strategic Secrecy) เพื่อรักษาความได้เปรียบในการเจรจา
  13. Trump ได้เล่าถึงการใช้อำนาจในการควบคุมบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Apple โดยเขาเล่าว่า: “บริษัท Apple มีเงินทุนอยู่นอกประเทศหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่พวกเขาไม่สามารถนำเงินเหล่านั้นกลับเข้ามาในประเทศได้ เพราะจะต้องเสียภาษีถึงครึ่งหนึ่งของเงินที่นำเข้ามา ซึ่งไม่มีบริษัทไหนอยากจะทำแบบนั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับนโยบายภาษี (Tax Policy) เพื่อดึงดูดให้บริษัทอเมริกันนำเงินทุนกลับเข้าประเทศ
  14. Trump ได้พูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมชิป (Semiconductor Industry) โดยเขากล่าวว่า: “แทนที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินภาษีของประชาชนไปสนับสนุนบริษัทที่รวยอยู่แล้วเพื่อให้มาสร้างโรงงานผลิตชิป เราเพียงแค่ต้องเก็บภาษีนำเข้าชิปในอัตราที่สูง และบริษัทเหล่านั้นก็จะตัดสินใจมาสร้างโรงงานในอเมริกาเอง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้นโยบายภาษี (Tax Policy) แทนการใช้เงินภาษีประชาชนในการสนับสนุน (Subsidy) ภาคเอกชน
  15. Trump ได้อธิบายถึงวิธีการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยเขากล่าวว่า: “ผมจะขอเข้าพบกับประธานาธิบดี Putin โดยตรง เพราะผมรู้ดีว่าต้องพูดอะไรกับเขา และผมเชื่อมั่นว่าในฐานะว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป ผมจะสามารถยุติสงครามครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทูตระดับสูง (High-level Diplomacy) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
  16. Trump ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องตัดสินใจเรื่องลิขสิทธิ์ในรายการ The Apprentice (TV Show Rights) โดยเขาเล่าว่า: “ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ได้มาขอให้ผมต่อสัญญารายการ และ Mark Burnett ผู้อำนวยการสร้างรายการได้พูดกับผมว่า ‘คุณคงบ้าไปแล้วที่จะทิ้งรายการนี้ไป อย่าไปลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเลย เพราะไม่เคยมีใครยอมทิ้งรายการไพรม์ไทม์ที่ประสบความสำเร็จแบบนี้มาก่อน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการที่ Trump ต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับการเสียสละเพื่อรับใช้ประเทศ (Personal Interest vs Public Service)
  17. Trump ได้พูดถึงนโยบายการจัดการกับประเทศอิหร่าน (Iran Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนนี้ประเทศอิหร่านไม่มีเงินเหลือแล้ว พวกเขาไม่มีเงินที่จะส่งให้กลุ่ม Hezbollah และไม่มีเงินที่จะสนับสนุนกลุ่ม Hamas ผมได้แจ้งกับประเทศจีนไปอย่างชัดเจนว่า ถ้าพวกเขายังซื้อน้ำมันจากอิหร่าน แม้จะเป็นแค่หนึ่งบาร์เรล พวกเขาจะไม่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) เพื่อควบคุมประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองระหว่างประเทศ
  18. Trump ได้เล่าถึงประสบการณ์การเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือ Kim Jong Un (North Korea Negotiations) โดยเขาเล่าว่า: “อดีตประธานาธิบดี Obama เคยคิดว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องทำสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลังจากที่ผมได้เข้าพบกับผู้นำ Kim Jong Un แล้ว เราก็ไม่มีปัญหาความขัดแย้งใด ๆ กับเกาหลีเหนือเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทูตแบบพบปะตัวต่อตัว (Personal Diplomacy) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
  19. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง (Middle East Conflict) โดยเขากล่าวว่า: “ถ้าประเทศอิสราเอลยอมทำตามคำแนะนำของประธานาธิบดี Biden ตอนนี้อิสราเอลก็คงถูกโจมตีด้วยระเบิดไปแล้ว แต่อิสราเอลตัดสินใจที่จะไม่ทำตามคำแนะนำของเขา และผมคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปล่อยให้ประเทศพันธมิตรมีอิสระในการตัดสินใจ (Allied Autonomy) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตนเอง
  20. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Arms Race) โดยเขากล่าวว่า: “อาวุธที่สหรัฐอเมริกามีในปัจจุบันนั้นมีอานุภาพที่น่ากลัวมาก ในช่วงที่ผมเป็นประธานาธิบดี ผมได้สั่งให้มีการพัฒนาอาวุธเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะผมเชื่อว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คืออาวุธนิวเคลียร์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความได้เปรียบทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ (Military Superiority) เพื่อป้องปรามศัตรูของประเทศ
  21. Trump ได้เล่าถึงประสบการณ์วันแรกของเขาในทำเนียบขาว (First Day in White House) โดยเขากล่าวว่า: “มันเป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและน่าประทับใจมาก เมื่อผมได้ยืนอยู่ในระเบียงที่สวยงามของทำเนียบขาว และสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีใครพูดถึงความงดงามภายในทำเนียบขาวเลย ในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจที่คลุกคลีกับธุรกิจหรูหรามาก่อน ผมสังเกตเห็นว่าระเบียงมีความกว้างถึง 25 ฟุต เพดานสูง และทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างสวยงามมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักธุรกิจสู่การเป็นผู้นำประเทศ (Business Leader to Political Leader Transition)
  22. Trump ได้เล่าถึงความท้าทายในการแต่งตั้งคณะทำงาน (Cabinet Appointments) โดยเขากล่าวว่า: “ในการบริหารประเทศนั้น ประธานาธิบดีจะต้องทำการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ประมาณ 10,000 ตำแหน่ง โดยแต่ละกระทรวงจะต้องมีการแต่งตั้งทีมงานของตัวเองประมาณ 100-200 คน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้บัญชาการทหาร” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการบริหารจัดการบุคลากรระดับสูงของประเทศ (High-level Personnel Management)
  23. Trump ได้พูดถึงความยากลำบากในการเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงาน (Personnel Selection) โดยเขายอมรับว่า: “ผมไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงานภาครัฐมาก่อน และคุณต้องเข้าใจด้วยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเคยไปกรุงวอชิงตันแค่ 17 ครั้งเท่านั้น และไม่เคยพักค้างคืนที่นั่นเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของผู้นำที่มาจากภายนอกวงการการเมือง (Political Outsider Challenges)
  24. Trump ได้อธิบายถึงปัญหาของการเลือกคนนอกวงการการเมืองเข้ามาทำงาน (Non-politician Appointments) โดยเขากล่าวว่า: “การเลือกคนที่ไม่ใช่นักการเมืองเข้ามาทำงานนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่จะผ่านการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ถ้าคุณเลือกนักธุรกิจเข้ามา พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยผ่านการตรวจสอบมาก่อนเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในการแต่งตั้งผู้บริหารที่มาจากภาคเอกชน (Private Sector Executive Appointments)
  25. Trump ได้เล่าถึงลักษณะของผู้นำในกรุงวอชิงตัน (Washington Leadership Types) โดยเขากล่าวว่า: “ผู้นำส่วนใหญ่ในกรุงวอชิงตันเป็นพวกที่ไม่กล้าตัดสินใจ (Stiffs) พวกเขาเป็นพวกที่คิดแต่จะเอาตัวรอด ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่มีความเสี่ยง และไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของวัฒนธรรมการเมืองที่เน้นการเอาตัวรอดมากกว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ (Political Survival Culture)
  26. Trump ได้เล่าถึงสถิติที่น่าสนใจของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในประวัติศาสตร์ (Presidential History Statistics) โดยเขากล่าวว่า: “ตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 92 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็นนักการเมืองอาชีพ และมีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มาจากกองทัพ เช่น นายพล Eisenhower และ นายพล Washington แต่ไม่เคยมีนักธุรกิจหรือคนที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งมาก่อนได้ดำรงตำแหน่งนี้เลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของการที่มีประธานาธิบดีที่มาจากภาคธุรกิจ (Business Background President)
  27. Trump ได้พูดถึงประสบการณ์ในการจัดการกับสื่อมวลชน (Media Management) โดยเขากล่าวว่า: “สถานีโทรทัศน์ CNN ด้วยความที่พวกเขาคิดว่าตัวเองฉลาด พวกเขาชอบที่จะนำเสนอและเน้นย้ำคำพูดที่แรง ๆ ของผม แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ผมได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่นักการเมืองพูดแต่สิ่งที่เตรียมตัวมาอย่างดี” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความจริงใจและความตรงไปตรงมาในการสื่อสาร (Authentic Communication) สามารถเอาชนะการโจมตีของสื่อได้
  28. Trump ได้เล่าถึงการทำงานร่วมกับ Mark Burnett ผู้ผลิตรายการ The Apprentice (TV Show Producer) โดยเขาเล่าว่า: “Mark Burnett ได้พูดกับผมว่า ‘คุณคงจะบ้าไปแล้วที่จะทิ้งรายการนี้ไป อย่าไปลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเลย เพราะไม่เคยมีใครยอมทิ้งรายการไพรม์ไทม์ที่ประสบความสำเร็จเพื่อไปแข่งขันกับคนอีก 20 คน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่กล้าหาญของ Trump ในการที่จะทิ้งความสำเร็จที่มีอยู่เพื่อไปเผชิญกับความท้าทายใหม่ (Risk-taking Decision)
  29. Trump ได้อธิบายถึงความสำคัญของการมีอารมณ์ขันในการเป็นผู้นำ (Sense of Humor in Leadership) โดยเขากล่าวว่า: “ในการทำธุรกิจการเมืองนี้ คุณจำเป็นต้องมีทัศนคติแบบนักตลกบ้าง เพราะการเมืองเป็นธุรกิจที่อันตรายที่สุด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการมีอารมณ์ขันนั้นสามารถช่วยในการจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้นำได้ (Stress Management through Humor)
  30. Trump ได้พูดถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตก่อนและหลังการเป็นประธานาธิบดี (Life Changes) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีเปรียบเสมือนการมีชีวิตสองชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าผมจะมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากที่จะทำหน้าที่นี้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการที่ Trump ยอมเสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อการรับใช้ประเทศ (Personal Sacrifice for Public Service)
  31. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับผู้บริหารระดับสูงอย่าง John Kelly (Senior Staff Management) โดยเขากล่าวว่า: “John Kelly เป็นคนประเภทที่ชอบข่มขู่ผู้อื่น (Bully) แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนแอ และคุณน่าจะเข้าใจเรื่องพวกคนชอบข่มขู่ได้ดีกว่าใคร เพราะคุณทำงานในวงการกีฬาที่พฤติกรรมแบบชอบข่มขู่จะถูกเปิดโปงอย่างรวดเร็ว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของผู้ใต้บังคับบัญชา (True Character Assessment)
  32. Trump ได้เล่าถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับ John Bolton (Advisor Selection) โดยเขาเล่าว่า: “คุณ Phil Ruffin ได้โทรมาเตือนผมว่าอย่าเลือก Bolton เพราะเขาเป็นคนไม่ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง Bolton ก็มีประโยชน์สำหรับผม เพราะทุกครั้งที่ผมต้องเจรจากับประเทศอื่น เมื่อพวกเขาเห็นคนที่มีลักษณะก้าวร้าวอย่าง Bolton ยืนอยู่ข้างหลังผม พวกเขาก็จะเกรงกลัวว่าผมอาจจะตัดสินใจทำสงคราม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ภาพลักษณ์ของทีมงานให้เกิดประโยชน์ในทางการทูต (Strategic Team Image)
  33. Trump ได้พูดถึงการเลือกทีมทหาร (Military Team Selection) โดยเขากล่าวว่า: “ผมมีนายพลที่มีความสามารถยอดเยี่ยมหลายคน ซึ่งไม่ใช่พวกที่คุณเห็นออกสื่อทางโทรทัศน์ แต่เป็นพวกที่ช่วยผมในการปราบปรามกลุ่ม ISIS ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเป็นคนที่มีความแข็งแกร่ง ไม่ใช่พวกที่อ่อนแอหรือคล้อยตามกระแสสังคมแบบ Woke” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกผู้นำทางทหารที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน (Military Leadership Effectiveness)
  34. Trump ได้อธิบายถึงความผิดพลาดในการจัดการกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน (Afghanistan Failure Management) โดยเขากล่าวว่า: “ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในการถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานคือการถอนทหารออกมาก่อน แม้แต่คนที่มีสติปัญญาน้อยก็ยังรู้ว่าการถอนทหารควรจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่พวกเขากลับเลือกที่จะถอนทหารออกมาก่อน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องในการบริหารจัดการวิกฤต (Crisis Management Sequence)
  35. Trump ได้เล่าถึงการตัดสินใจในภาวะวิกฤต (Crisis Decision Making) โดยเขาเล่าว่า: “ในตอนที่ผมถูกลอบยิงนั้น ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความเป็นจริงแต่อย่างใด ผมรู้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้ว่าผมโดนยิงตรงส่วนไหนของร่างกาย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาสติและความชัดเจนในการตัดสินใจแม้ในสถานการณ์วิกฤต (Clear-headed Crisis Response)
  36. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการเดินทางทางอากาศของประธานาธิบดี (Presidential Air Travel) โดยเขากล่าวว่า: “ในเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Air Force One นั้น นักบินทุกคนล้วนเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ พวกเขามีบุคลิกที่หล่อเหลากว่านักแสดง Tom Cruise เสียอีก เพราะพวกเขาคือนักบินที่เก่งที่สุดของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศในทุกตำแหน่งหน้าที่ (Excellence in Every Position)
  37. Trump ได้พูดถึงการจัดการความปลอดภัย (Security Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในระหว่างที่เครื่องบินของเราบินเข้าใกล้น่านฟ้าประเทศอิรัก เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ปิดไฟทั้งหมดภายในเครื่อง ซึ่งผมคิดว่า ‘นี่เราใช้งบประมาณไปถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ แต่เรายังต้องมาบินในความมืดแบบนี้อีกหรือ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลของระบบราชการ (Bureaucratic Inefficiency)
  38. Trump ได้อธิบายถึงวิธีการบริหารเวลาของเขา (Time Management) โดยเขากล่าวว่า: “ผมไม่ได้หยุดพักผ่อนมาเป็นเวลา 56 วันแล้ว เพราะนี่คือการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเสรี มันใหญ่กว่าการแข่งขัน Super Bowl ถึง 100 เท่า และตอนนี้เหลือผู้แข่งขันเพียงแค่สองคนเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการทุ่มเทและความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างเต็มที่ (Dedication and Commitment)
  39. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับการดีเบต (Debate Management) โดยเขาเล่าว่า: “พวกเขาพยายามที่จะให้ผมนั่งลงในระหว่างการดีเบต แต่ผมปฏิเสธและบอกกับพวกเขาไปว่า ‘ดูนี่สิ ในการดีเบตคุณต้องยืน คุณไม่สามารถนั่งได้จริง ๆ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมภาพลักษณ์ของตนเองในที่สาธารณะ (Public Image Control)
  40. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับความเหนื่อยล้า (Fatigue Management) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนเป็นเวลานาน และต้องพูดยาว ๆ มันจะเป็นภาระหนักต่อเส้นเสียงของคุณ ดังนั้นคุณจึงต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้เสียงเป็นพิเศษ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพในฐานะผู้นำประเทศ (Leadership Health Management)
  41. Trump ได้อธิบายถึงเทคนิคการพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking Technique) โดยเขากล่าวว่า: “ผมชอบใช้วิธีการ ‘ถักทอเรื่องราว’ (Weave) ในการพูด โดยคุณต้องรู้จักสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไปในการพูด เพราะถ้าคุณแค่อ่านบทพูดจากเครื่องฉายภาพ (Teleprompter) แบบตรง ๆ จะไม่มีใครรู้สึกตื่นเต้นหรือสนใจในสิ่งที่คุณพูด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเล่าเรื่องที่น่าสนใจในการพูดต่อสาธารณชน (Storytelling in Public Speaking)
  42. Trump ได้พูดถึงความแตกต่างในการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ (Communication with Young Generation) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนนี้ผมได้เข้าไปใช้แพลตฟอร์ม TikTok และสามารถทำผลงานได้ดีมาก โดยมียอดผู้ชมหลายพันล้านวิว สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคนรุ่นใหม่กำลังปฏิเสธแนวคิดแบบ ‘woke’ ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวให้เข้ากับช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ (Modern Communication Channels)
  43. Trump ได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของสื่อในยุคปัจจุบัน (Media Evolution) โดยเขาเล่าว่า: “ลูกชายของผมซึ่งเป็นคนที่ฉลาดมากได้เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียงบางคนที่ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เขาบอกกับผมว่า ‘พ่อครับ พ่อไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้มีอิทธิพลมากแค่ไหน นี่คือโลกยุคใหม่ทั้งหมดเลย'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบัน (Media Landscape Change)
  44. Trump ได้พูดถึงการใช้อารมณ์ขันในการสื่อสาร (Humor in Communication) โดยเขากล่าวว่า: “คุณคงเคยเห็นตอนที่ผมแสดงท่าทางล้อเลียนการเดินของประธานาธิบดี Biden ที่ดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องตลก เหมือนกับการแสดงตลกแบบสแตนด์อัพคอมเมดี้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการเมือง (Political Humor)
  45. Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา (Direct Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ตลอดชีวิตของผม ผมไม่เคยเจอใครสักคนที่มาบอกผมว่า ‘ท่านประธานาธิบดีคะ เราจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผู้ชายสามารถเข้าไปแข่งกีฬาในประเภทของผู้หญิงได้'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายในการสื่อสารจุดยืนของตนเอง (Clear Position Communication)
  46. Trump ได้พูดถึงวิธีการจัดการกับสื่อที่บิดเบือนข้อเท็จจริง (Media Distortion Management) โดยเขากล่าวว่า: “สื่อไม่จำเป็นต้องบิดเบือนคำพูดของผมเลย เพราะพวกเขาสามารถแต่งเรื่องขึ้นมาเองได้เลย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมพูดถึงคำว่า ‘bloodbath’ ผมกำลังพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะประเทศญี่ปุ่นและจีนกำลังเข้ามายึดครองธุรกิจรถยนต์ของเรา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่สื่อนำคำพูดไปใช้ผิดบริบทเพื่อสร้างความเข้าใจผิด (Media Context Manipulation)
  47. Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารกับฐานเสียงของเขา (Base Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ในการชุมนุมของผม มีประชาชนมาร่วมงานถึง 28,000-29,000 คน ในขณะที่ Hillary มีคนมาร่วมงานแค่ 500 คนเท่านั้น แต่พวกสื่อกลับบอกว่าผมจะแพ้การเลือกตั้ง ผมจึงถามพวกเขาว่า ‘ผมจะแพ้ได้อย่างไร ในเมื่อผมมีคนมาฟังผมพูดถึง 40,000 คน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการวัดความนิยมจากการตอบรับที่เกิดขึ้นจริง (Real Support Measurement)
  48. Trump ได้พูดถึงการใช้ความจริงใจในการสื่อสาร (Authentic Communication) โดยเขากล่าวว่า: “เวลาที่คุณเห็นนักการเมืองบางคนพูด คุณจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ เพราะพวกเขามีแต่คำตอบที่เตรียมมาล่วงหน้า คุณไม่มีทางที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบของการสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติและจริงใจ (Natural Communication Advantage)
  49. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการถูกโจมตีจากสื่อ (Media Attack Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นใครถูกโจมตีเหมือนกับที่ผมถูกโจมตี และวิธีการที่พวกเขาใช้นั้นมีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการรับมือกับการถูกโจมตีอย่างเป็นระบบจากสื่อมวลชน (Systematic Media Attack Response)
  50. Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนที่ผมถูกยิงนั้น หลายคนคิดว่าผมโดนยิงหลายที่เพราะมีเลือดออกมาก แต่ความจริงแล้วเมื่อหูถูกกระสุน มันจะมีเลือดออกมามากเป็นธรรมดา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำในช่วงภาวะวิกฤต (Accurate Crisis Information)
  51. Trump ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสื่อที่เคยสนับสนุนเขา (Media Shift) โดยเขาเล่าว่า: “ในรายการ The View นั้น ผมเคยไปร่วมรายการหลายครั้ง และพวกเขาเคยรักผมมาก แม้แต่คุณ Joy Behar ทุกครั้งที่เจอผมที่โรงละคร เธอมักจะพูดกับผมว่า ‘ช่วยมาออกรายการอีกนะคะ มาเถอะค่ะ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของสื่อที่เกิดขึ้นตามกระแสการเมือง (Media Political Bias)
  52. Trump ได้อธิบายถึงการใช้ความกล้าในการสื่อสาร (Bold Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ผมได้พูดถึงประเด็น Russia Russia Russia ว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เพราะความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของแล็ปท็อปของ Hunter Biden ที่พบในเตียงของเขาเอง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าที่จะพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา แม้จะขัดแย้งกับกระแสหลักของสื่อ (Truth-telling Against Mainstream)
  53. Trump ได้พูดถึงการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพ (Social Media Effectiveness) โดยเขากล่าวว่า: “หลังจากที่ผมเริ่มใช้ TikTok คะแนนนิยมของผมเพิ่มขึ้นถึง 30 คะแนน ซึ่งปกติแล้วพรรครีพับลิกันมักจะเสียเปรียบในกลุ่มคนหนุ่มสาวถึง 30 คะแนน แต่ผมกลับได้คะแนนบวกถึง 30 คะแนน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ผ่านช่องทางการสื่อสารที่พวกเขาใช้ (Youth Engagement through Social Media)
  54. Trump ได้เล่าถึงเทคนิคการสื่อสารในงานชุมนุม (Rally Communication) โดยเขาเล่าว่า: “ผมชอบพูดยาว ๆ และสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไป และถ้าคุณจะใช้เทคนิคการ ‘ถักทอเรื่องราว’ (Weave) คุณต้องมีความฉลาดพอสมควร เพราะคุณจะต้องสามารถวกกลับมาสู่ประเด็นเดิมให้ได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการพูดที่ทำให้ผู้ฟังสนใจติดตามตลอดเวลา (Engaging Speech Technique)
  55. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการบิดเบือนข้อมูลของสื่อ (Media Lies Management) โดยเขากล่าวว่า: “รายการ 60 Minutes ได้ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การออกอากาศ โดยพวกเขาได้ตัดคำตอบของ Kamala Harris ออกและใส่คำตอบอื่นเข้าไปแทน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปิดโปงวิธีการบิดเบือนข้อมูลของสื่อ (Media Manipulation Exposure)
  56. Trump ได้พูดถึงประสบการณ์การสื่อสารในการโต้วาที (Debate Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ในระหว่างการโต้วาที ผมไม่แน่ใจว่าผมกำลังโต้วาทีกับกี่คนกันแน่ เพราะนอกจากคู่แข่งแล้ว ยังมีผู้ดำเนินรายการอย่าง David Muir ที่เข้ามาขัดจังหวะการพูดของผมถึง 11 ครั้ง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการรับมือกับผู้ดำเนินรายการที่ไม่วางตัวเป็นกลางในการโต้วาที (Biased Moderator Management)
  57. Trump ได้อธิบายถึงการใช้ตัวเลขในการสื่อสาร (Statistical Communication) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณดูที่ตัวเลขผลงานของเรา คุณจะเห็นว่าเราสร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ มีการลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และสามารถแต่งตั้งตุลาการศาลสูงสุดได้ถึง 3 คน ในขณะที่ประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้แม้แต่คนเดียว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ตัวเลขและสถิติเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการสื่อสาร (Statistical Credibility)
  58. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับข่าวลือ (Rumor Management) โดยเขากล่าวว่า: “มีคนพูดกันว่า ‘มีคนจำนวนมากที่ไม่อยากทำงานร่วมกับ Trump เพราะ Trump เป็นคนที่ทำงานด้วยยาก’ แต่ผมขอบอกความจริงว่าทุกคนต่างอยากได้ตำแหน่งเหล่านี้ พวกเขาถึงขั้นยอมตายเพื่อให้ได้ตำแหน่งเหล่านี้มาเลยทีเดียว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการหักล้างข่าวลือด้วยข้อเท็จจริง (Rumor Debunking)
  59. Trump ได้พูดถึงการใช้อารมณ์ขันกับคู่แข่งทางการเมือง (Humor with Competitors) โดยเขาเล่าว่า: “ในตอนที่ผมพูดกับ Hillary ว่า ‘คุณควรจะต้องอยู่ในคุก’ นั่นเป็นจังหวะการพูดที่เหมาะสมมาก และมันกลายเป็นเรื่องตลกไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ขันในการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ (Strategic Humor in Political Attack)
  60. Trump ได้อธิบายการสื่อสารกับพันธมิตร (Ally Communication) โดยเขากล่าวว่า: “Dana White เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาก เขาเคยพูดว่า ‘ถึงคุณจะพยายามให้ผมพูดในแง่ลบเกี่ยวกับ Trump ผมก็จะไม่มีวันทำแบบนั้น’ นี่แหละคือความจงรักภักดีที่แท้จริง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่มีความซื่อสัตย์ (Loyal Alliance Maintenance)
  61. Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านพลังงานของประเทศ (Energy Vision) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีทรัพยากรน้ำมันใต้ดินมากกว่าประเทศอื่นใด ผมเองได้อนุมัติโครงการ ANWR (Arctic National Wildlife Refuge) ในรัฐอลาสก้า ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ประธานาธิบดี Reagan ก็ยังทำไม่สำเร็จ และไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โดยแหล่งน้ำมันแห่งนี้มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับแหล่งน้ำมันของประเทศซาอุดิอาระเบีย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของประเทศ (Energy Independence Policy)
  62. Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านการค้า (Trade Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเราสามารถกลับมาร่ำรวยได้ด้วยการใช้มาตรการภาษีนำเข้า (Tariffs) อย่างเหมาะสม เราเคยเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงทศวรรษ 1880 และ 1890 ในสมัยของประธานาธิบดี McKinley ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชาแห่งภาษีนำเข้า'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้บทเรียนจากประวัติศาสตร์มาสนับสนุนนโยบายการค้าในปัจจุบัน (Historical Trade Policy)
  63. Trump ได้เล่าถึงวิสัยทัศน์ด้านการจ้างงาน (Employment Vision) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องทำให้โรงงานต่าง ๆ กลับมาสร้างในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะตอนนี้เมือง Detroit กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก อีกทั้งยังมีโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ของจีนที่กำลังจะสร้างในประเทศเม็กซิโก เพื่อผลิตรถยนต์มาขายในอเมริกา ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนของเราต้องตกงานกันเป็นจำนวนมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการปกป้องการจ้างงานภายในประเทศ (Domestic Employment Protection)
  64. Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านการศึกษา (Education Policy) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องกำจัดแนวคิดแบบ Woke ให้หมดไปจากระบบการศึกษา เพราะตอนนี้คนรุ่นใหม่กำลังปฏิเสธแนวคิดเหล่านี้ พวกเขาเบื่อหน่ายที่ต้องถูกตะโกนใส่และถูกสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศ (Education Reform Vision)
  65. Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ (Security Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศของเราจำเป็นต้องมีชายแดนที่มีความปลอดภัย เราต้องมีระบบการเลือกตั้งที่ยุติธรรม เพราะจะเป็นประเทศที่สมบูรณ์ไม่ได้ถ้าไม่มีการควบคุมชายแดนที่ดี” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความมั่นคงพื้นฐานของประเทศ (Basic National Security)
  66. Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety Vision) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องคืนเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของเรา เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงและเห็นผู้คนถูกยิงอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเป็นโรค PTSD (ความเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง) บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย และอีกหลายคนก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการสนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ (Law Enforcement Support)
  67. Trump ได้พูดถึงนโยบายการบริหารรัฐ (Government Administration) โดยเขากล่าวว่า: “ข้าราชการที่ดีที่สุดไม่ใช่พวกที่คุณเห็นออกสื่อทางโทรทัศน์ แต่เป็นพวกที่ทำงานจริงอย่างหนัก เหมือนกับบรรดานายพลที่ช่วยผมในการปราบปรามกลุ่ม ISIS (กลุ่มก่อการร้าย) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับผลงานที่เป็นรูปธรรมมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก (Performance over Image)
  68. Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านอุตสาหกรรม (Industrial Vision) โดยเขากล่าวว่า: “เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินภาษีของประชาชนหลายพันล้านดอลลาร์ไปสนับสนุนบริษัทผลิตชิป (Semiconductor) เพียงแค่เราเก็บภาษีนำเข้าชิปในอัตราที่สูง บริษัทเหล่านั้นก็จะตัดสินใจมาสร้างโรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง โดยใช้เงินลงทุนของพวกเขาเอง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการใช้มาตรการทางภาษีแทนการให้เงินอุดหนุนจากรัฐ (Tax Policy over Subsidy)
  69. Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านการเกษตร (Agricultural Policy) โดยเขากล่าวว่า: “เกษตรกรของเรากำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการบริหารประเทศที่ขาดวิสัยทัศน์ในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่เกษตรกรของเราเป็นคนที่ยอดเยี่ยม พวกเขารู้ดีว่าที่ดินแต่ละแปลงเหมาะสำหรับการปลูกพืชชนิดใด บางแปลงเหมาะกับมันฝรั่ง บางแปลงเหมาะกับข้าวโพด การที่จะมากำหนดให้ปลูกพืชเหมือนกันหมดนั้นเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความหลากหลายของภาคเกษตรกรรม (Agricultural Diversity Understanding)
  70. Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านภาษี (Tax Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ในสมัยที่ผมเป็นประธานาธิบดี ผมได้ลดอัตราภาษีจาก 40 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือ 21 เปอร์เซ็นต์ และในปีแรกที่ใช้นโยบายนี้ รัฐบาลกลับสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากกว่าตอนที่เก็บภาษีในอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์เสียอีก ลองคิดดูสิว่ามันสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขนาดไหน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการใช้นโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Tax-driven Economic Stimulus)
  71. Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านสื่อสารมวลชน (Media Vision) โดยเขากล่าวว่า: “สื่อต่าง ๆ ได้รับใบอนุญาต (Licenses) ในการออกอากาศมาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งใบอนุญาตเหล่านี้มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษนี้เพราะใช้คลื่นความถี่ที่เป็นสาธารณสมบัติ ดังนั้นพวกเขาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องนำเสนอข้อมูลอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการในการปฏิรูประบบสื่อให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น (Media Reform Vision)
  72. Trump ได้พูดถึงวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศ (Foreign Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ประเทศอิหร่านไม่เคยกล้าโจมตีอิสราเอลเลย เพราะอิหร่านกำลังประสบปัญหาล้มละลาย ผมได้แจ้งกับประเทศจีนอย่างชัดเจนว่า ถ้าพวกเขาซื้อน้ำมันจากอิหร่านแม้แต่หยดเดียว พวกเขาจะไม่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการควบคุมประเทศคู่แข่งผ่านมาตรการทางเศรษฐกิจ (Economic Control Policy)
  73. Trump ได้เล่าถึงวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Vision) โดยเขากล่าวว่า: “กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือในการหยุดยั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ นี่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด พวกที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะเดินทางไปที่เมือง Albany (เมืองหลวงของรัฐนิวยอร์ก) และพยายามสร้างอุปสรรคให้กับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อการใช้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (Environmental Regulation Perspective)
  74. Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ (Water Management Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประชาชนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ แต่ความจริงแล้วรัฐนี้มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เพียงเพราะต้องการปกป้องปลาขนาดเล็กบางชนิด พวกเขาจึงปล่อยน้ำหลายล้านแกลลอนทิ้งลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการทรัพยากรน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ (Resource Management Criticism)
  75. Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Policy) โดยเขากล่าวว่า: “กังหันลม (Windmills) เป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนสูงที่สุด และเมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็เริ่มเป็นสนิมและเสื่อมสภาพ นอกจากนี้เรายังต้องกำจัดใบพัดเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งดูเหมือนสุสานกังหันลม และยังก่อให้เกิดมลพิษอีกด้วย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อข้อจำกัดของพลังงานลม (Wind Energy Perspective)
  76. Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านนิวเคลียร์ (Nuclear Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ในช่วงที่ผมเป็นประธานาธิบดี เราได้ปรับปรุงและพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ของเราใหม่ทั้งหมด และผมได้เรียนรู้ว่าอาวุธนิวเคลียร์นั้นมีพลังทำลายล้างมหาศาลเพียงใด เพียงแค่ระเบิดนิวเคลียร์หนึ่งลูกก็สามารถทำลายประเทศอิสราเอลให้สูญสิ้น หรือแม้แต่ทำลายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในอันตรายของอาวุธนิวเคลียร์และความสำคัญของการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrence)
  77. Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ (Automotive Industry Policy) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณมองไปที่เมือง Detroit ในปัจจุบัน มันเป็นภาพของความหายนะ เพราะตอนนี้มีการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโรงงานทั้งหมดในรัฐ Michigan รวมกันเสียอีก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศและผลกระทบต่อแรงงานในประเทศ (Manufacturing Relocation Concerns)
  78. Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านการป้องกันประเทศ (Defense Vision) โดยเขากล่าวว่า: “กลุ่มพันธมิตร NATO จำเป็นต้องจ่ายส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายของพวกเขา เพราะทำไมเราถึงต้องปกป้องประเทศที่ร่ำรวยโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน? แม้แต่องค์กรอาชญากรรมมาเฟียยังทำให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าคุ้มครองเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการแบ่งภาระค่าใช้จ่ายด้านการทหารระหว่างประเทศพันธมิตร (Military Cost Sharing)
  79. Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านการเลือกตั้ง (Election Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศของเราจำเป็นต้องมีระบบบัตรประจำตัวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (Voter ID) เพราะแม้แต่การซื้อของที่ร้านขายของชำ คุณยังต้องแสดงบัตรประจำตัว แต่สำหรับการเลือกตั้งที่ควรจะเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ กลับไม่จำเป็นต้องใช้บัตรประจำตัวเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนในเรื่องการรักษาความปลอดภัยในการเลือกตั้ง (Election Security Stance)
  80. Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านหนี้สาธารณะ (Public Debt Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศของเรามีหนี้สาธารณะอยู่ถึง 35 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าคุณมองในแง่ของมูลค่าทรัพย์สิน เรามีทั้งน้ำมันใต้ดิน แหล่งน้ำ ภูเขา และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่ามหาศาล” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อหนี้สาธารณะและทรัพยากรของประเทศ (National Assets Perspective)
  81. Trump ได้พูดถึงการจัดการวิกฤตโควิด (COVID Crisis Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในขณะที่เศรษฐกิจของเรากำลังจะก้าวไปข้างหน้าอย่างดี จู่ ๆ พวกเขาก็มารายงานว่า ‘มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ประเทศจีน มีผู้คนกำลังเสียชีวิต’ โดยมีการพบถุงใส่ศพจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ห้องแล็บในเมืองอู่ฮั่น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเผชิญกับวิกฤตที่ไม่คาดคิดในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี (Unexpected Crisis Response)
  82. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการความท้าทายด้านความปลอดภัย (Security Challenge) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีนั้นถือเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด รองจากการเป็นทหารในสนามรบ การเป็นนักดับเพลิง หรือการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงและอันตรายที่แฝงอยู่ในการเป็นผู้นำประเทศ (Leadership Risk)
  83. Trump ได้เล่าถึงการรับมือกับการถูกลอบสังหาร (Assassination Attempts) โดยเขาเล่าว่า: “มีการพยายามลอบสังหารผมถึงสองครั้ง แต่สื่อกลับพยายามปิดข่าวนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าเป็นประธานาธิบดี Biden ที่ถูกยิงที่หู สื่อจะต้องโจมตีฝ่ายขวาอย่างหนักขนาดไหน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่แตกต่างกันในการนำเสนอข่าวของสื่อ (Media Double Standards)
  84. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับข้อกล่าวหาต่าง ๆ (Accusations Management) โดยเขากล่าวว่า: “ผมถูกสอบสวนมากกว่า Al Capone เสียอีก ทั้งที่เขาเป็นอาชญากรที่โหดร้ายที่สุด และพร้อมที่จะฆ่าใครก็ตามที่เขาไม่ชอบภายในเวลาไม่กี่วินาที” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการรับมือกับการถูกโจมตีทางการเมือง (Political Attack Response)
  85. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการฟ้องร้องทางกฎหมาย (Legal Challenges) โดยเขากล่าวว่า: “สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นี้มีแต่ในประเทศโลกที่สาม นั่นคือการไล่ล่าคู่แข่งทางการเมือง แต่ผมก็สามารถชนะคดีใหญ่ในรัฐฟลอริดาได้ และตอนนี้ผมกำลังจะชนะในคดีอื่น ๆ ด้วย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง (Weaponized Justice System)
  86. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับวิกฤตที่ชายแดน (Border Crisis Management) โดยเขากล่าวว่า: “ในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีผู้คนจาก 129 ประเทศเข้ามาในประเทศของเรา โดยในจำนวนนี้มีอาชญากรที่เป็นฆาตกรถึง 99,000 คน และนักข่มขืนอีก 15,000 คน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในประเทศของเราอย่างเสรี” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายด้านความมั่นคงที่ชายแดนของประเทศ (Border Security Challenges)
  87. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับวิกฤตผู้อพยพ (Immigration Crisis) โดยเขากล่าวว่า: “ที่เมือง Springfield รัฐ Ohio ซึ่งมีประชากรอยู่ 52,000 คน แต่พวกเขาเพิ่งได้รับผู้อพยพเข้ามาในเมืองถึง 32,000 คน ซึ่งเป็นผู้อพยพที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการศึกษาได้อย่างที่ควรจะเป็น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของนโยบายผู้อพยพที่มีต่อชุมชนท้องถิ่น (Local Community Impact)
  88. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับปัญหาอาชญากรรม (Crime Management) โดยเขาเล่าว่า: “ที่เมือง Aurora รัฐ Colorado กำลังประสบปัญหากับแก๊งอาชญากรที่เลวร้ายที่สุดอย่าง MS-13 และแก๊งอาชญากรจากประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งพวกเขาได้เข้ามายึดครองตึกอพาร์ตเมนต์หลายแห่ง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายด้านความปลอดภัยในเมืองต่าง ๆ (Urban Safety Challenges)
  89. Trump ได้พูดถึงการจัดการไฟป่า (Forest Fire Management) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องดูแลและบำรุงรักษาป่าของเราให้ดี เพราะเมื่อต้นไม้ล้มลง หลังจากผ่านไป 18 เดือน มันจะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่แห้งมาก เปรียบเสมือนกองฟืนขนาดใหญ่ที่พร้อมจะลุกไหม้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบำรุงรักษาป่าเพื่อป้องกันไฟป่า (Forest Maintenance)
  90. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับวิกฤตพลังงาน (Energy Crisis) โดยเขากล่าวว่า: “ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาต้องการให้ประชาชนทุกคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากลับประสบปัญหาไฟฟ้าดับเป็นประจำในทุกสุดสัปดาห์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายพลังงานสะอาดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น (Energy Policy Reality Gap)
  91. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “ศัตรูภายใน” (Internal Enemies) โดยเขากล่าวว่า: “เรากำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่กว่าศัตรูภายนอก นั่นคือศัตรูภายในประเทศของเราเอง เรามีคนที่แสดงพฤติกรรมเลวร้าย ซึ่งผมเชื่อว่าพวกเขาต้องการให้ประเทศของเราล้มเหลวอย่างจริงจัง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อการต่อต้านจากภายในประเทศที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคง (Internal Opposition Perspective)
  92. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับความท้าทายในการเป็นคนนอกวงการการเมือง (Outsider Challenges) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณเป็นคนนอกวงการการเมือง คุณจำเป็นต้องพึ่งพาคนที่คุณเคารพหรือชื่นชอบ แต่ปัญหาคือคุณไม่รู้จักพวกเขาดีพอ บางคนเป็นคนที่ผมเคยหาเสียงต่อสู้กับเขามาก่อนด้วยซ้ำ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของผู้นำที่มาจากนอกระบบการเมือง (Political Outsider Difficulties)
  93. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการเปลี่ยนผ่าน (Transition Management) โดยเขาเล่าว่า: “การเข้าไปอยู่ในทำเนียบขาวครั้งแรกนั้นเป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและน่าตื่นตาตื่นใจมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็กลายเป็นเพียงสถานที่ที่คุณใช้ชีวิตและทำงานเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการปรับตัวเข้าสู่บทบาทการเป็นผู้นำประเทศ (Presidential Role Adaptation)
  94. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับความกดดัน (Pressure Management) โดยเขากล่าวว่า: “ในขณะที่ผมกำลังขับรถลงถนน Pennsylvania Avenue นั้น ผมไม่เคยเห็นขบวนรถมอเตอร์ไซค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารจำนวนมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต มันทำให้ผมตระหนักว่านี่เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเข้ากับความรับผิดชอบใหม่ในฐานะประธานาธิบดี (New Responsibility Adaptation)
  95. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับความเสี่ยง (Risk Management) โดยเขากล่าวว่า: “แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะคอยเตือนเรื่องความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ยังเลือกที่จะลงจากรถเพื่อทักทายประชาชน ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นอันตราย แต่ผมคิดว่าการได้พบปะกับประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องทำ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการเข้าถึงประชาชน (Security-Accessibility Balance)
  96. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับระบบราชการ (Bureaucracy Management) โดยเขากล่าวว่า: “ในกรณีของการถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน ผมได้สั่งการให้นำอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถถัง หรือแม้แต่แว่นตามองกลางคืน แต่นายพล Milley กลับบอกว่า ‘มันจะประหยัดกว่าถ้าเราทิ้งอุปกรณ์เหล่านั้นไว้’ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความไม่มีวิสัยทัศน์ของเขา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ (Bureaucratic Inefficiency Battle)
  97. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับความขัดแย้งในทีมงาน (Team Conflict) โดยเขากล่าวว่า: “ในบรรดาคนที่ผมเลือกเข้ามาทำงาน มีทั้งพวก neocons (นักการเมืองฝ่ายขวาใหม่) บางคนก็เป็นคนที่ไม่ดี บางคนก็ไม่มีความจงรักภักดี และบางคนก็เพียงแค่ได้รับคำแนะนำที่ผิด ๆ มา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการเลือกทีมงานที่ไว้วางใจได้ (Trustworthy Team Selection)
  98. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับวิกฤตการเงิน (Financial Crisis) โดยเขาเล่าว่า: “ในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ถ้าเราไม่เข้าไปช่วยเหลือธุรกิจบางแห่ง ประเทศของเราจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 1929” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ยากลำบากในช่วงวิกฤตการณ์ (Difficult Crisis Decisions)
  99. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับปัญหาในตะวันออกกลาง (Middle East Crisis) โดยเขากล่าวว่า: “สถานการณ์ในตะวันออกกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีคำทำนายโบราณที่บอกว่าโลกจะจบลงที่ตะวันออกกลาง และในตอนนี้เรามีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลต่อสถานการณ์ที่อาจลุกลามเป็นสงครามใหญ่ (Major War Concerns)
  100. Trump ได้สรุปถึงการจัดการความท้าทายทั้งหมด (Overall Challenge Management) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีเป็นงานที่มีความเสี่ยงและอันตรายที่สุด แต่ถ้าคุณรู้วิธีใช้อำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างถูกต้อง คุณจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เราต้องทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เราต้องทำให้ประเทศของเราดีขึ้นกว่าเดิม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ (National Development Vision)

Resources

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *