100 ข้อคิด จาก Sam Altman ผู้ก่อตั้ง OpenAI และ ปัญญาประดิษฐ์ ChatGPT | Blue O’Clock Podcast EP. 57
Sam Altman คือผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของบริษัท OpenAI บริษัทแม่ของปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำอย่าง chatGPT และเป็นประธานบริษัท Ycombinator ที่เป็นสถานที่บ่มเพาะและเป็นตัวเร่งให้เหล่าบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลกมากกว่า 4,000 บริษัทเติบโตขึ้นอย่างมากมาย เช่น Airbnb, coinbase, Dropbox ฯลฯ และนี่ คือ 100 บทเรียนที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเขา
- ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินในเส้นทางใดหรืออาชีพใดก็ตาม ก็ให้รังสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา และให้พยายามรายล้อมไปด้วยคนที่เก่ง ๆ อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ
- อย่าคิดที่จะริเริ่มทำบริษัทสตาร์ทอัพใด ๆ หากคุณไม่เต็มใจที่ทำในสิ่งนั้นนานเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปีขึ้นไป
- สิ่งที่สำคัญมากกว่าการก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพนั้น นั่นก็คือ การทำความรู้จักกับผู้ร่วมก่อตั้งของคุณว่าพวกเขามีศักยภาพมากแค่ไหน
- founder หรือผู้ก่อตั้งที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้น พวกเขามักหมกหมุ่นอยู่กับการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เพราะอยากจะก่อตั้งบริษัทขึ้นมา
- Sam บอกว่า เขามักจะบอกกับหุ้นส่วนของเขาอยู่เสมอว่า งานของพวกเขาคือการจัดหาเงินทุนให้กับบริษัท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีมูลค่ามากกว่า $10,000 ล้านดอลล่าร์ฯ ให้จงได้
- Founder หรือผู้ก่อตั้งที่ยิ่งใหญ่ คือนักเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม ความหมายก็คือ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จนั้น พวกเขามีความสามารถในถ่ายทอดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และคุณค่าของบริษัท ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ
- สิ่งหนึ่งที่ผู้ก่อตั้งบริษัทมักจะมองข้ามก็คือ ความยากในการสรรหาบุคลากรมาเข้าองค์กร เพราะองค์กรจะประสบความสำเร็จได้นั้น ก็มาจากการที่มีบุคลากรที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กรนั้น ๆ
- ถ้าคุณทำการอะลุ้มอล่วยแล้วตัดสินใจจ้างคนที่อยู่ในระดับแค่ปานกลาง ในท้ายที่สุดคุณจะต้องเสียใจที่คุณตัดสินใจรับพวกเขาเข้ามา
- แหล่งหาบุคลากรสำหรับเพื่อการจ้างงานที่ดีที่สุดก็คือ กลุ่มคนที่คุณรู้จักอยู่แล้ว และผู้คนที่เหล่าบรรดาพนักงานของคุณรู้จักพวกเขาอยู่แล้วนั่นแหละ คือแหล่งหาคนมาทำงานด้วยที่ดีที่สุด
- พนักงานทุกคนที่บริษัท OpenAI นั้น ทาง Sam เขาบอกว่า เขาใช้เวลากว่า 1 ใน 3 ของการทำงานทั้งหมด เพื่อคัดเลือกพนักงานเข้าทีม และตัวของเขาเองนั้น เป็นคนเซ็นต์อนุมัติพนักงานทุกคนที่เขารับเข้ามาด้วยตนเอง
- สำหรับในช่วงเริ่มต้นการทำบริษัทสตาร์ทอัพนั้น ประสบการณ์การทำงานของพนักงานในตำแหน่งต่าง ๆ อาจไม่สำคัญมากเท่าไหร่นัก แต่ให้โฟกัสไปในสิ่งที่พวกคุณถนัดและทำมันได้เป็นอย่างดี
- ทีมของคุณ คือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในบริษัท จงปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดีและคอยส่งเสริมให้พวกเขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
- การลงมือทำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ขึ้นมาจริง ๆ นั้น มันสำคัญกว่าไอเดียที่ยอดเยี่ยมถึง 10 เท่า แต่มันก็ทำได้ยากมากกว่าเป็น 100 เท่าเช่นกัน เพราะมันจำเป็นที่จะต้องอาศัยการมีวินัย การโฟกัส การทำงานอย่างหนัก การปรับตัว และความสามารถในการเอาชนะความท้าทายและอุปสรรคต่าง ๆ ในระหว่างการลงมือทำเพื่อให้เกิดขึ้นจริง แต่การลงมือทำในไอเดียที่ห่วยแตก ก็จะทำให้คุณไปไม่ถึงไหนเช่นกัน
- เวลาที่คุณตั้งเป้าหมายให้ตั้งไปเลยว่า คุณจะเป็นมือโปรที่เจ๋งที่สุดในโลก เพราะแม้ว่าคุณจะไปไม่ถึงจุดที่ดีที่สุดในสายอาชีพ แต่อย่างน้อยคุณก็จะยังปิดจ็อบในตำแหน่งที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
- การมาของ AI นั้น อาจจะนำไปสู่จุดจบของโลกเรา แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็จะก่อกำเนิดบริษัทที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
- ความเสี่ยงที่แท้จริงของ AI นั้น ไม่ใช่ในเรื่องของการมุ่งร้าย แต่เป็นความสามารถของ AI สุดล้ำ พวกมันจะเก่งมากในเรื่องของการทำให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งถ้าเป้าหมายเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของพวกเรา นั่นแหละที่จะทำให้พวกเรานั้นมีปัญหา
- Sam Altman บอกว่า เขาจินตนาการถึงวันที่โลกของเรานั้น จะมีพวก AI เข้ามาทำงานให้เราได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น ทำให้พวกเรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น และทำให้โลกของเรามีพลังงานสะอาดใช้
- Sam บอกว่าเขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการมาของเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะในเรื่องของการนำ AI ไปใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน และวิธีการที่เหล่าบรรดาเผด็จการใช้พลังของปัญญาประดิษฐ์ ที่อาจจะละเมิดสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล แม้ว่าการมาของ AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ แรงงาน และการศึกษา ให้ดีขึ้นได้
- จงอย่าปล่อยให้ตัวเองหาข้อแก้ตัวเพื่อที่จะไม่ยอมลงมือทำในสิ่งที่ตัวคุณต้องการทำ อย่ามัวหาข้ออ้างต่าง ๆ นา ๆ
- การประเมินระดับสติปัญญาของใครสักคนนั้น สามารถวัดได้จากการนั่งสนทนากับคน ๆ นั้นสัก 10 นาที ก็สามารถที่จะประเมินได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ความมุ่งมั่นนั้นกลับวัดค่าได้ยากกว่า เพราะมักจะต้องวัดผ่านการกระทำของคน ๆ นั้น การอุทิศตนของคน ๆ นั้นในระยะยาว และการตอบสนองต่อความท้าทายใหม่ ๆ และวิธีการตอบสนองต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้นของคน ๆ นั้น
- ส่วนตัวของ Sam Altman นั้น เขาเชื่อว่า อะไรก็ตามที่คนฉลาดและคนที่มีความทะเยอทะยานสูง กำลังทำอยู่นั้นจะกลายเป็นเทรนด์แห่งอนาคตของโลกเรา และมันคุ้มค่าที่จะคิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนว่า โลกในอนาคตนั้นจะเป็นอย่างไร
- จงอย่าจัดลำดับความสำคัญของคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนสำคัญของคุณ เอาไว้ในรายการท้าย ๆ ตาราง เพราะคนรู้จักที่สนิทใจกันจริง ๆ เพียงแค่หยิบมือนั้น ย่อมมีค่ามากกว่าคนนับร้อยที่รู้จักแค่เพียงแค่ผิวเผิน
- Sam บอกว่า ส่วนตัวของเขานั้น เขาเชื่อมั่นในเรื่องของอนาคต และการที่จะเป็นนักลงทุนที่ดีนั้น คุณก็จำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นในอนาคตด้วยเช่นกัน
- การที่คุณจะประสบความสำเร็จได้นั้น คุณจำเป็นที่จะต้องสร้างในสิ่งที่ตลาดต้องการจริง ๆ เท่านั้น เพราะถ้าหากคุณไปขยันทำงานอย่างหนักในสิ่งที่ตลาดไม่ต้องการแล้วล่ะก็ ก็จะไม่มีใครมาสนใจคุณหรอก
- ในสักวัน การทำธุรกิจ คุณจำเป็นที่จะต้องสร้างธุรกิจที่ลอกเลียนแบบได้ค่อนข้างยาก นี่คือส่วนประกอบที่สำคัญของไอเดียที่ดี
- การทำอะไรก็ตามให้ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้นั้น จะมีกุญแจสำคัญอยู่สองประการก็คือ 1) คุณสามารถระบุได้ว่าตัวของคุณนั้นจะต้องลงมือทำอะไรและอย่างไรบ้าง 2) คุณสามารถทำมันให้สำเร็จได้
- หากคุณกำลังใช้คำอธิบายที่ยาวกว่า 1 ประโยค เพื่อสื่อสารในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ นั่นแสดงว่า เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า คุณกำลังทำในสิ่งที่ซับซ้อนจนเกินไป ดังนั้น จงอธิบายธุรกิจของคุณ หรืองานของคุณ ให้ได้ใจความภายใน 1 ประโยค ที่ผู้อื่นสามารถเข้าใจได้
- คุณควรให้พนักงานมีส่วนในหุ้นของบริษัท ความหมายก็คือ เมื่อพนักงานได้รับส่วนของผู้ถือหุ้นที่หมายถึงความเป็นเจ้าของในบริษัท เพราะเมื่อพนักงานมีความเป็นเจ้าของในบริษัท พวกเขาก็จะมีแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นที่จะช่วยกันผลักดัน และทุ่มเทให้กับบริษัทเพื่อให้บริษัทก้าวหน้าและเติบโตมากยิ่งขึ้นในระยะยาว
- ให้คุณศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จที่คุณรู้จัก แล้วคุณจะพบว่า พวกเขาเหล่านั้นมีความกระตือรือร้นในการทำงานเป็นอย่างมากและตื่นเต้นกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ และที่สำคัญ มันเหมือนเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้น จะทำให้ผู้คนรอบ ๆ ตัว รู้สึกตื่นเต้นไปกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ได้ด้วย
- ไม่มีกลยุทธ์ใดช่วยให้บริษัทเติบโตได้ ไม่มีการตลาดหรือวิธีการขายใด ๆ ที่ทำให้บริษัทสามารถเติบโตในระยะยาวได้ หากคุณไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ดีมากพอ
- วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ก็คือ การเรียนรู้จากการลงมือทำ
- ลูกค้าคนแรกและสำคัญมากที่สุดก็คือ ตัวของคุณเอง ความหมายก็คือ เขาทำความเข้าใจและตอบสนองกับความต้องการของตัวคุณเองด้วยความหลงใหลก่อนเป็นอันดับแรกสุด ในฐานะลูกค้ารายแรก จากนั้นเมื่อสามารถแก้ไขปัญหาของคุณเองได้ คุณจะสามารถสร้างบางสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ที่คุณจะใช้สิ่งนั้นเป็นรากฐานสำคัญในการส่งมอบคุณค่าให้กับผู้อื่นต่อไปในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
- บริษัทสตาร์ทอัพ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งและความก้าวหน้าให้แก่โลกใบนี้
- การทำบริษัทสตาร์ทอัพนั้น คุณจำเป็นที่จะต้องเต็มใจที่จะทำผิดพลาดและเรียนรู้จากผิดพลาดเหล่านั้น
- เมื่อคุณล้มเหลว จงเรียนรู้จากความล้มเหลวเหล่านั้น แต่อย่ามัวจมปรักอยู่กับความล้มเหลวดังกล่าว จงลุกขึ้นก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและพยายามทำมันต่อไปอย่างไม่ลดละ
- อย่าปล่อยให้ความกลัวที่จะล้มเหลวมาขัดขวางคุณจากการพุ่งชนความเสี่ยง
- การสร้างบริษัทสตาร์ทอัพ มันก็เหมือนกับการกระโดดลงหน้าผาและพยายามประกอบเครื่องบินให้เสร็จก่อนที่จะตกลงถึงพื้นนั่นแหละ
- หากคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จ คุณจะต้องเตรียมพร้อมที่เสียสละและพร้อมที่จะทำงานอย่างหนัก หนักกว่าครั้งไหน ๆ ที่เคยผ่านมา
- โลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่าน ๆ มา และเหล่าบรรดาสตาร์ทอัพนั้นก็คือแนวรบแนวหน้าสุดของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น
- ตอนนี้ตัวของ Sam Altman เขาเชื่อว่า เจ้าปัญญาประดิษฐ์อย่าง chatGPT นั้น ได้มาถึงจุดที่สามารถโต้ตอบได้ในระดับเดียวกันเหมือนกับที่มนุษย์พูดคุยกันผ่านแชทได้แล้ว แม้ว่าเจ้า AI มันอาจจะตีความที่แตกต่างออกไปจากกระบวนการความคิดแบบมนุษย์อยู่
- ผู้คนมักจะกลัวเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่เครื่องคิดเลขเข้ามาใหม่ ๆ ผู้ปกครองหลายต่อหลายคนก็กลัวและกังวลว่า ลูก ๆ ของพวกเขา จะมีปัญหาในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เพราะเครื่องคิดเลขมันสามารถคำนวณแทนได้เกือบหมด หลายคนบอกว่า เราควรทำลายเครื่องคิดเลขทุกเครื่องบนโลกใบนี้ซะก่อนที่มันจะทำให้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ของคนเรานั้นล่มสลาย แต่ในปัจจุบันเราก็จะเห็นได้ว่าการมาของเครื่องมือต่าง ๆ นั้น มันเข้ามาช่วยทำให้เพิ่มศักยภาพของคนเราสามารถทำในสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ได้มากยิ่งขึ้น
- กว่าที่บริษัท OpenAI จะสร้างไอเดียให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริงชิ้นแรกนั้น ก็ใช้เวลากว่า 4 ปี ที่จะได้ผลิตภัณฑ์ออกมา ซึ่งในระหว่างนั้น พวกเขาก็ประสบปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เงินทุนจะหมด, คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้ ไม่มีเงินซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่, ไม่มีเงินว่าจ้างโปรแกรมเมอร์เก่ง ๆ เข้ามาทำงานที่บริษัท และปัญหาต่าง ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งสิ่งที่จะได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามานั้น ก็คือการเรียนรู้วิธีการที่จะรับมือกับเรื่องต่าง ๆ เพื่อผ่านมันไปให้ได้
- ในยุคต่อไปของ AI จะไม่หยุดอยู่ที่โมเดลภาษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันจะสามารถสร้างเสียง รูปภาพ และวีดีโอได้ และมันจะสามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ หรือแก้สมการและทฤษฎีทางฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ ที่มนุษย์ยังไม่สามารถแก้สมการได้ ซึ่งจากเดิมที่มันทำได้แค่เพียงประมวลผลจากข้อมูลที่มนุษย์ป้อน data เข้าไปให้ได้เพียงอย่างเดียว โดยเมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้า chatGPT เวอร์ชั่น 4 ล่าสุดที่ดูสุดเจ๋งนั้น จะกลายเป็นเหมือนของเด็กเล่นกันเลยทีเดียว
- การมาของปัญญาประดิษฐ์นั้น จะทำให้อัตราความก้าวหน้าจากเดิมที่อาจใช้เวลาถึง 500 ปีในการพัฒนา อาจใช้เวลาเหลือเพียงแค่ 5 ปี ซึ่งมันจะทำให้โลกของเราก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นเอามาก ๆ
- การมาของเทคโนโลยีนั้น จะทำให้มนุษย์เราไม่ต้องไปเสียเวลาในการจดจำในสิ่งต่าง ๆ ให้มันรกสมอง ไม่จำเป็นต้องท่องจำเหมือนแต่ก่อน เราจึงสามารถไปโฟกัสในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ และการคิดค้นหาไอเดียใหม่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น
- ถ้า Sam Altman เขาสามารถย้อนกลับไปอยู่ในวัยนักเรียน นักศึกษาได้อีกครั้ง เขาสนใจที่จะเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ ไม่ก็สาขาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เพราะเขาคิดว่า มันเป็นสาขาที่สอนกรอบความคิดวิธีในการเรียนรู้ที่ดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นสาขาใดก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะมีส่วนที่ต้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีกันแทบทุกสาขาวิชาอยู่แล้ว ส่วนทักษะที่สำคัญอื่น ๆ ที่เขาคิดว่าจำเป็นในยุคนี้ก็คือ ความคิดสร้างสรรค์, การปรับตัว, การมีความยืดหยุ่น และเรียนรู้วิธีการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
- การสร้างทีมงานที่สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีนั้น ทาง Sam เขาบอกว่า มันง่ายมากถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีเป้าหมายเดียวกัน และมีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี อย่างเช่น ที่บริษัท OpenAI พวกเขามุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันก็คือ การพัฒนา AGI: Artificial General Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์อีกขั้นที่มันสามารถคิดค้นไอเดียใหม่ ๆ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวมันเอง ซึ่งนั่นคือแรงจูงใจที่ทำให้พนักงานทุกคนมีแรงผลักดันที่จะทำงานในทุก ๆ วันจนกว่ามันจะสำเร็จ
- การเลือกโครงการที่จะทำ งานที่เหมาะสมกับตัวคุณและทีมงานของคุณนั้น คือเคล็ดลับในการสร้างแรงจูงใจอย่างยั่งยืน เพราะแรงจูงใจนั้น มันมีขึ้นมีลงอยู่ตลอด แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณไม่มี motivation หรือแรงจูงใจในเรื่องดังกล่าวแล้วนั้น เป็นไปได้ว่าคุณกำลังเลือกทำงานที่ผิดอยู่
- ในช่วงตอนเริ่มต้นสร้างบริษัท OpenAI นั้น Sam เล่าว่า ในตอนนั้นมีแต่คนบอกว่า ไม่มีทางทำมันได้หรอกไอ้เจ้า AGI: Artificial General Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์อีกขั้นที่มันสามารถคิดค้นไอเดียใหม่ ๆ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวมันเอง ในช่วงร้อยปีนี้ ซึ่งเขาก็ค่อนข้างหมดกำลังใจอยู่เหมือนกัน แต่คุณก็จะไม่มีทางรู้ได้หรอกว่ามันจะทำได้จริงไหม จนกว่าคุณจะลองลงมือทำมันจริง ๆ จนกระทั่งพวกเขาสามารถสร้างอัลกอลิทึ่มที่ทำให้ปัญญาประดิษฐ์ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวมันเองได้อย่างแท้จริง Sam เขาจึงเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากว่า การสร้าง AGI นั้น จะสำเร็จในเร็ววัน โดยที่ไม่ต้องรอให้ถึงร้อยปีอย่างที่คนอื่นเขาบอกกัน
- ภายในอีก 5-10 ข้างหน้านี้ การมาของ AI จะทำให้งานหลายตำแหน่งนั้นหายไป และงานใหม่ ๆ ก็จะเกิดขึ้นมา ส่วนงานปัจจุบันที่ใครก็ตาม นำเจ้าปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยเหลือนั้น จะทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น 20-30 เท่าจากเดิมได้เลยทีเดียว ซึ่งถ้าเราลองย้อนกลับไปถามผู้คนเมื่อพันปีที่แล้ว พวกเขาก็คงไม่คิดเช่นกันว่า งานที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้มันจะเป็นเรื่องจริง
- การมาของเทคโนโลยีอย่าง AI นั้น จะเข้ามาช่วยทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมลดลง มันจะช่วยให้ผู้คนที่อยู่ในเกณฑ์รายได้ต่ำนั้น สามารถใช้เทคโนโลยี AI ให้ประโยชน์ได้ในราคาที่ถูกแสนถูก หรือเกือบฟรีได้ ยกตัวอย่างเช่น หาก AI สามารถพัฒนาคำแนะนำทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี ก็จะทำให้คนที่มีรายได้ต่ำนั้น สามารถเข้าถึงคำแนะนำทางการแพทย์ได้ในราคาถูก หรืออย่างการในเรื่องของการศึกษานั้น การศึกษาในระดับที่ดีนั้น ส่วนใหญ่ ณ ปัจจุบัน จะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะคนที่มีรายได้สูง เฉพาะคนรวย แต่ในขณะที่การมาของ AI นั้น จะทำให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำ สามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ได้ฟรี ซึ่งจะทำให้ผู้คนทั่วโลกมีความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น
- Sam บอกว่า ทักษะที่สำคัญหากคุณต้องการทำงานใน Silicon Valley ในอนาคตนั้น คือการที่คุณจะต้องเก่งในด้านการเขียนโปรแกรม และการที่สามารถคิดวิเคราะห์ในระบบที่มีความซับซ้อนได้เป็นอย่างดี โดยจะดีมากหากคุณมีความรู้กว้าง ๆ ในหลากหลายเรื่อง เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น และมีความรู้เฉพาะทางในบางสาขาวิชา แล้วให้คุณเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือต่าง ๆ ช่วยให้การทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
- วิธีการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญ ๆ นั้น Sam บอกว่า ถ้าให้ดีก็ควรจะตัดสินจากข้อมูลที่มีอยู่ ซึ่งจะตัดสินใจผิดพลาดบ้างบางครั้งก็ไม่เป็นไร แต่เขาโชคดีที่มีทีมงานที่ยอดเยี่ยม ที่สามารถตัดสินใจแทนเขาในหลาย ๆ เรื่องที่สำคัญ ๆ ได้เยอะ จึงทำให้เรื่องที่เขาต้องทำการตัดสินใจเองนั้น มีค่อนข้างน้อย และทุก ๆ ครั้งก่อนที่เขาจะทำการตัดสินใจ เขาก็จะถามความเห็นจากทีม และรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาเหล่านั้น เพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่อีกเรื่องที่เขาใช้ในการตัดสินใจก็คือ การใช้สัญชาตญาณ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยาก และสอนกันได้ยาก โดยเขาจะใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจเวลาที่จะทำการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ว่า บริษัทดังกล่าว จะสามารถโตแบบก้าวกระโดดได้หรือไม่ ถ้าคาดว่าได้ก็จะทำการลงทุน
- กรณีศึกษาที่น่าสนใจที่สุดที่ผู้คนนำ chatGPT ไปประยุกต์ใช้เข้ากับงานก็คือ การเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ ที่เจ้า chatGPT มันสามารถช่วยเขียนโค้ดได้ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือช่วยลดระยะเวลากว่าครึ่งในการทำงาน
- เหตุผลที่ทำให้ AI นั้นทรงพลังนั้นก็เป็นเพราะว่า AI มันสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ โดยผ่านการจดจำรูปแบบของชุดข้อมูลขนาดใหญ่
- ข้อด้อยของ AI ในปัจจุบันนั้น มันยังไม่เก่งในการเข้าใจโลก การใช้เหตุผลเชิงตรรกะ และสามัญสำนึกที่มนุษย์มี
- ตลอดหลายปีที่ผ่านมาของโลกเรา กฎระเบียบมักจะตามหลังเทคโนโลยีอยู่ร่ำไป แต่สำหรับปัญญาประดิษฐ์แล้ว Sam เขาแนะนำว่า กรณีนี้เราควรออกกฎหมายก่อนที่ AI มันจะโตไปมากกว่านี้ เพราะมันอาจจะสายเกินไปแล้ว หากรอให้มันโตกว่านี้ก่อนแล้วค่อยออกกฎหมายตามมา
- Sam บอกว่า เขาเติบโตมากับแนวคิดที่ว่า ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์เรานั้นเป็นสิ่งพิเศษ ที่ไม่เหมือนกับสิ่งใดบนโลกนี้ แต่หลังจากที่เขาหมกมุ่นเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์มากยิ่งขึ้น เขาก็ตระหนักได้ว่า ความเฉลียวฉลาดนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ในเฉพาะมนุษย์อีกต่อไป อย่างที่เราทราบว่า ยิ่งเราศึกษามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกได้ว่ามนุษย์นั้นไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลนี้
- AI จะอันตรายเป็นอย่างมากหากตกไปอยู่ในมือของพวกเผด็จการที่ใช้มันในทางที่ผิด
- Sam เขาหวังเอาไว้ว่า ในอนาคต มนุษย์ทุกคนคงจะไม่ได้ไปตกหลุมรักพวกหุ่นยนต์ไปซะหมด เพราะสิ่งที่เขาหวังเอาไว้ก็คือ การมาของเทคโนโลยี AI นั้น จะช่วยให้มนุษย์สามารถเป็นตัวของตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดได้ และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น
- ทักษะที่สำคัญสำหรับมนุษย์ที่ยังคงความได้เปรียบในยุคที่ AI ยังมีข้อจำกัดอยู่ อย่างเช่น การมีทักษะเกี่ยวกับ ความฉลาดทางด้านอารมณ์(EQ), การวางแผนในระยะยาว และการมีกลยุทธ์ในระยะยาว เป็นต้น
- เรื่องของปัญญาประดิษฐ์นั้น มันทำให้ Sam เขาถึงกับต้องเลิกเป็นนักลงทุน เพื่อมาทุ่มเวลาให้กับการผลักดัน AI อย่างเต็มตัวกันเลยทีเดียว
- สิ่งสำคัญของ chatGPT ก็คือ มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างสรรค์ในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จงใช้มันในฐานะที่เป็นผู้ช่วยข้างกายที่เก่งกาจ
- เวลาที่คุณพยายามที่จะสร้าง AI ที่สุดยอดขึ้นมานั้น หากคุณไม่พูดถึงเรื่องความอันตรายที่ว่า AI จะกำจัดมนุษย์ เลยนั้น นั่นแสดงว่า คุณไม่จริงจังกับเรื่องของความปลอดภัยมากพอ
- ในความคิดของ Sam นั้น เขาคิดว่า การที่เปิดให้มีการใช้ AI แบบ Opensource หรือเปิดให้ใช้แบบสาธารณะนั้น เป็นเรื่องที่อันตราย เพราะมันไม่มีการควบคุม และเราก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หาก AI ตัวนั้น ไม่ได้ถูกควบคุมเอาไว้
- เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่คุณอื่นทำได้ แต่เราสามารถควบคุมในสิ่งที่ตัวเราเองทำได้ เช่น ทดลองลงมือทำ ทดลองสร้างในสิ่งใหม่ ๆ แล้วพร่ำคิดถึงเกี่ยวกับสิ่งนั้น ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ มีอิทธิพลต่อผู้อื่น มอบคุณค่าและ system ที่ดีให้แก่โลกใบนี้
- ส่วนตัวแล้ว Sam ไม่เชื่อว่า จู่ ๆ จะมีใครสักคนตื่นขึ้นมาแล้วก็พูดขึ้นว่า ฉันจะใช้ AI ทำลายโลกนี้ซะ
- สำรับ Sam แล้ว เขาบอกว่า แม้ว่าจะมีข่าวโจมตีเขาอย่างมากในทางที่ไม่ดีที่พยายามจะสร้างความเกลียดชังหรือใส่ร้ายเขาว่าจะสร้าง AI ที่อันตรายขึ้นมานั้น เขากังวลน้อยมาก เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพัฒนา AI เพื่อทำในสิ่งดี ๆ ซะมากกว่า
- Sam บอกว่าบริษัท OpenAI นั้น ตัวเขากับ Elon Musk ร่วมกันก่อตั้งกันขึ้นมา จนกระทั่งมีความเห็นที่ขัดแย้งกันจน Elon Musk ถอนตัวออกไป เพราะไม่เห็นด้วยกับการเร่งสร้าง AGI: Artificial General Intelligenc ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงที่มีสติปัญญาเทียบเท่าหรือเหนื้อกว่ามนุษย์เร็วเกินไป ซึ่งทาง Sam ก็เล่าว่ามันก็น่าจะคล้าย ๆ กับตอนที่ Elon Musk พยายามสร้างบริษัท SpaceX ที่พยายามจะส่งยานอวกาศไปยังดาวอังคาร ที่ช่วงแรก ๆ นั้น เหล่าบรรดาฮีโร่ของ Elon Musk ก็ไม่มีใครเห็นด้วยเลย แถมยังด่าทอ โจมตี จนเขาต้องเสียน้ำตา ซึ่ง Sam เขาก็บอกว่า กรณีนี้ก็เช่นกัน ที่ตัวของเขานั้น มองว่า Elon Musk คือฮีโร่ของเขาที่ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนา AGI
- Sam บอกว่า ในฐานะที่เป็นมนุษย์ร่วมโลก เขานับถือ Elon Musk ในฐานะที่มีส่วนช่วยให้โลกพัฒนาไปข้างหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น เช่น การผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า การผลักดันอุตสาหกรรมยานอวกาศ แม้ว่าบน Twitter เขาจะดูงี่เง่าไปสักหน่อยก็ตามที
- Sam บอกว่า เวลาที่มีคนโจมตีเขานั้น จริง ๆ แล้ว เขาควรจะออกมาตอบโต้ในทันที แต่นั่นไม่ใช่สไตล์ของเขา แต่สักวันหนึ่งที่ผลลัพธ์มันออกมาแล้วนั้น ก็ค่อยว่ากันอีกที
- Sam บอกว่า ไมว่าบริษัท OpenAI จะพัฒนาเจ้าปัญญาประดิษฐ์ chatGPT เวอร์ชั่นใดก็ตาม ก็จะมีคนวิพากย์วิจารณ์อยู่เสมอ เป็นเรื่องที่ปกติ ที่จะมีคนไม่เห็นด้วยไปซะทั้งหมด
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นจะต้องอาศัย feedback จากผู้ใช้งาน ซึ่ง Sam เขาบอกว่า เขามักจะใช้คำแนะนำจากบทสนทนากันแบบพูดกันต่อหน้า มากกว่าจะไปหาจากคอมเม้นท์บนโลกอินเตอร์เน็ต
- การพัฒนา AI อย่างเจ้า chatGPT นั้น Sam บอกว่า มันจะมีอคติน้อยกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไป นั่นหมายถึงว่า มันจะมีอีโก้ มีความเป็นกลางมากกว่าเมื่อเทียบกับคน เพราะไม่มี Emotion หรืออารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
- หน้าที่ของการเป็น CEO ที่ดีนั้น คือจะต้องมีความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม บวกเข้ากับการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในองค์กรได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย
- Sam Altman เขายอมรับว่า แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็น CEO ที่ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่อะไรเลยที่บริษัท OpenAI แต่ข้อดีส่วนตัวของเขาที่ถือว่าเป็นจุดแข็งเลยก็คือ ตัวของเขานั้น ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจากแรงกดดันจากภายนอกที่ถาโถมเข้ามา
- Sam บอกว่า ข้อเสียใหญ่ของเขาเลยก็คือ เขาเป็นคนที่พูดในที่สาธารณะไม่ค่อยเก่งเลย โดยเฉพาะในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเขาคิดว่ามีคนที่ทำได้ดีกว่าเขา ชอบพูดคุยในเรื่องนี้ มีคาแรคเตอร์น่าดึงดูด พูดอะไรใครก็ฟังมากกว่านี้ และสามารถต่อติด เชื่อมต่อกับคนอื่น ๆ ได้ดีกว่านี้
- การมาของ AI อย่าง chatGPT นั้น ไม่ได้ทำให้งานในตำแหน่ง programmer ลดน้อยลง เพราะมันจะช่วยทำให้คุณสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเป็น 10 เท่า ดังนั้น คุณสามารถเขียนโค้ดโปรแกรมได้เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ด้วยต้นทุนที่เท่าเดิม
- Sam เชื่อว่า การมาของ AI จะทำให้งานในตำแหน่งของบริการลูกค้า หรือในตำแหน่งซับพอร์ทลดน้อยลง โดยเฉพาะการตอบกลับแบบส่งข้อความหากัน
- แน่นอนว่าการมาปัญญาประดิษฐ์นั้นจะทำให้งานหลายตำแหน่งหายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา แต่ในท้ายที่สุด ตำแหน่งงานต่าง ๆ ก็จะถูกพัฒนาขึ้น ทำงานได้ดียิ่งขึ้น สนุกในงานทำงานมากขึ้น และได้รับค่าตอบแทนสูงมากขึ้นตามไปด้วย ในตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
- Sam เขาค่อนข้างแปลกใจมากที่ผู้คนส่วนใหญ่กลัวว่า chatGPT จะไปแย่งงานของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบงานที่ตัวเองทำอยู่ก็ตามที มันน่าตลกดี
- มันน่ากลัวมาก กับการที่ประเทศอย่างฝรั่งเศส พยายามที่จะเพิ่มอายุเกษียณของคนวัยทำงานให้นานมากยิ่งขึ้น ซึ่งมันสวนทางกับโลกที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว คนเราควรทำงานให้น้อยลงแทนที่จะมากขึ้น
- มันจะดีกว่ามากถ้าเราได้ทำงานที่รัก ไม่ใช่ทำงานเพียงเพื่อให้มีกินมีใช้ไปวัน ๆ
- Sam Altman เขาค่อนข้างเห็นด้วยกับนโยบาย UBI: Universal Basic Income สวัสดิการประกันรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ที่เป็นนโยบายให้ประชาชนมีรายได้ที่พอเพียงกับค่ากินอยู่ จะทำให้คนนั้นไม่ต้องกังวลในการทำงานเพื่อหาเช้ากินค่ำ ทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว เพราะเขาเชื่อว่า คนแต่ละคนนั้น จะได้มุ่งหน้าหางานที่เหมาะกับตนเอง ทำงานนั้นได้ดีเยี่ยม โฟกัสในสิ่งที่ชอบทำ ซึ่งในท้ายที่สุดมันจะส่งให้ผู้คนร่ำรวยมากยิ่งขึ้นด้วย
- Sam คิดว่า ถ้าโลกของเราสามารถขจัดความยากจนได้ จะเป็นสิ่งที่ดีต่อโลกมาก ๆ ดังนั้น ถ้ามีโอกาสทำให้ความยากจนหมดไปจากโลกนี้ก็ควรลองทำดู
- Sam บอกว่า เขากำลังรันโปรเจคที่ชื่อว่า Wolrd Coin ที่เป็นเงินทุนสนับสนุนด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับผู้คนทั่วโลกอยู่ ที่เป็นเงินทุนสนับสนุนจากบริษัท OpenAI
- การมาของปัญญาประดิษฐ์ จะส่งผลต่อทางเศรษฐกิจโลก อย่างเห็นได้ชัด โดย Sam บอกว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในวงการ AI นั้น มีอยู่สองเรื่องก็คือ 1) ต้นทุนของการได้มาซึ่งสติปัญญานั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่ลดลงเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีความสามารถในการเขียนโปรแกรมอยู่แล้ว จะสามารถสร้างสิ่งใหม่ที่มีอยู่นอกเหนือจากเดิมขึ้นมาได้อีกอย่างมากมาย และจะส่งผลให้สังคมร่ำรวยขึ้น 2) ต้นทุนพลังงานกำลังจะลดต่ำลงเป็นอย่างมากในไม่อีกกี่ทศวรรษข้างหน้านี้
- เขาไม่เชื่อว่าการปกครองแบบคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่ดี เพราะเขาเชื่อว่า ความเป็นปัจเจกนิยม คือการที่มนุษย์มีเจตจำนงในการมุ่งทำบางอย่างตามความต้องการของตนเอง ความสามารถในการเป็นตัวของตัวเองได้มากยิ่งขึ้น จะเป็นสิ่งสำคัญ ในการพยายามที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาบนโลกใบนี้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรได้รับอนุญาตจากใคร
- Sam เขาเชื่อว่า มนุษย์เรานั้น ส่วนใหญ่เป็นคนดี อย่างน้อยก็เท่าที่เขาได้เคยคุยกับผู้คนแบบเจอต่อหน้า กับชาว Twitter แต่ก็ดีไม่ตลอด เพราะบางครั้งมนุษย์เราก็ชอบเข้าไปทดลองในสิ่งที่มันดาร์ค ๆ แล้วก็ค้นหาแสงสว่างอันน้อยนิดที่มีอยู่ในนั้น
- สิ่งที่ Sam Altman เขาเชื่อว่ามันคือความแท้จริงที่สามารถพิสูจน์ได้ นั่นก็คือ เรื่องของหลักทางคณิตศาสตร์ ที่สามารถคำนวณได้อย่างมีที่มา อย่างตรงไปตรงมา
- chatGPT เป็นเพียงแค่เครื่องมือ ที่สามารถใช้ทำในเรื่องที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ Sam บอกว่า เขาจะพยายามทำให้ chatGPT มุ่งสร้างแต่ในเรื่องที่ดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- แนวทางการพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์อย่างเจ้า chatGPT นั้น Sam บอกว่า เขาสนใจที่จะพัฒนาให้มันเก่งในเรื่องของสติปัญญา ความรู้ อย่างเช่น เรื่องของฟิสิกส์ หรือการพิสูจน์ทฤษฎีต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้ถูกแก้ไขปริศนา มากกว่าที่จะพัฒนาไปในเรื่องของ การใช้ AI ไปในเรื่องความรัก ใช้ chatGPT เป็นเพื่อนคุยยามเหงา หรือเอามันไปใส่ไว้ในสัตว์เลี้ยงที่เป็นหุ่นยนต์
- จงใช้เวลาครุ่นคิดให้ถี่ถ้วนว่า ในชีวิตนี้เราจะใช้เวลาของเรานั้น ไปทำอะไร เพื่ออะไร ทำประโยชน์สิ่งใด ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับใคร เพราะเวลาของเรานั้นมีค่า และเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด
- โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่ใครหลาย ๆ คนจะปรับตัวเข้ากับมันได้อย่างทันท่วงที
- เวลาที่บริษัทเราจะสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ในตลาดได้นั้น คุณจำเป็นที่จะต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีมากพอ ที่จะทำให้ผู้ใช้งานหรือลูกค้าบอกต่อกับเพื่อน ๆ ของพวกเขา
- Sam คิดว่า ทุกคนควรได้งานที่ดี จากบริษัทที่ดี อย่างเช่นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่มีออฟฟิศในฝันของคนวัยทำงาน ที่แต่ละคนก็มีทักษะที่ยอดเยี่ยม ได้รับค่าตอบแทนที่สูง กินดีอยู่ดี หมดปัญหาอดมื้อกินมื้อ
- นิยายวิทยาศาสตร์ มักเป็นนิทาน เป็นต้นกำเนิดให้แรงบันดาลใจกับใครอีกหลายคน ในการมุ่งสู่ความฝัน เพื่อสร้างให้มันกลายเป็นจริงขึ้นมา
- ส่วนที่ยากที่สุดในการเริ่มต้นบริษัทก็คือ การตัดสินใจที่จะเริ่มต้นนี่แหละ
- ยุคนี้เป็นยุคที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่คุณอยู่ในยุคเริ่มต้นของยุคเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งมีไม่บ่อยนักที่จะมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ อุบัติขึ้นในช่วงอายุขัยของคนรุ่นหนึ่ง ดังนั้น จงสนุกไปกับมัน เรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้มันให้เกิดประโยชน์ต่อโลกใบนี้
- โดย Sam Altman ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “คำแนะนำที่ดีที่สุดของเขานั้น มันอาจจะใช้ได้ผลที่ดีกับตัวของเขา แต่คำแนะนำนั้น มันอาจจะใช้ได้ไม่ดีกับคนอื่น เพราะแต่ละคนนั้นมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป” “ดังนั้น คำแนะนำของเขาก็คือ ถ้าอยากได้ดีในแบบของตนเอง คุณก็ไม่ควรที่จะฟังคำแนะนำจากคนอื่นมากจนเกินไป ดังนั้น จงวิเคราะห์และระวังเมื่อได้รับคำแนะนำจากคนอื่น”
Resources
- https://youtu.be/L_Guz73e6fw
- https://www.azquotes.com/author/43236-Sam_Altman
- https://fortune.com/2023/06/08/sam-altman-openai-chatgpt-worries-15-quotes/
- https://aigeeked.com/sam-altman-quotes-this-guys-vision-is-amazing/
- https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-future-brain/201805/20-great-quotes-artificial-intelligence
- https://fortune.com/2023/06/08/sam-altman-openai-chatgpt-worries-15-quotes/
- https://www.cnbc.com/2023/06/13/the-whole-world-wants-ai-and-the-market-will-deliver-sam-altman-says.html
- https://www.supplychaintoday.com/best-chatgpt-quotes/
- https://twitter.com/sama/status/1601731295792414720
- https://www.brainyquote.com/authors/sam-altman-quotes
- https://www.azquotes.com/author/43236-Sam_Altman
- https://youtu.be/lq-3T5t0p3U
- https://youtu.be/_hpuPi7YZX8