Kevin O’Leary มหาเศรษฐีชื่อดังจากรายการ Shark Tank โดยในปี 2021 นี้เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $400 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 13,000 ล้านบาท โดยคอนเท้นต์นี้เป็นการสัมภาษณ์จากช่อง Youtube ของ Lewis Howes มีเขาได้สัมภาษณ์โดยตรงกับ Kevin O’Leary โดยถามเขาว่า ถ้าให้บอก Habits หรืออุปนิสัยสัก 3 ข้อ ที่ส่งผลให้คุณประสบความสำเร็จอย่างสูงมาจนถึงทุกวันนี้นั้นมีอะไรบ้าง
อุปนิสัยที่ 1 – Writing 3 things To-Do List Before Bed ก่อนนอนให้เขียนสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ 3 สิ่งในวันพรุ่งนี้
โดย Kevin ได้ตอบว่า ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาที่เขาได้ลงทุนไปในบริษัทต่าง ๆ อย่างมากมาย เขาได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจาก CEO ของแต่ละบริษัทเป็นอย่างมาก โดยเขายกตัวอย่างจาก CEO คนหนึ่ง โดยถามเธอว่า เธอทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างมากมายขนาดนี้ ซึ่งสิ่งที่เธอบอกนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ มากเสียจนดูน่าเบื่อซะด้วยซ้ำ
โดยเธอจะเขียนสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำด้วยกันอยู่ 3 สิ่ง ลงบนกระดาษโน้ต post-it แล้วแปะมันเอาไว้ที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งของเธอ ซึ่งสิ่งนั้นอาจจะไม่ต้องเกี่ยวกับธุรกิจอย่างเดียวเสมอไป แต่อาจเป็นเรื่องที่ค้างคาที่กะว่าจะทำเมื่อนานมาแล้วก็ได้ โดยเธอจะเขียนมันในทุก ๆ คืนก่อนนอน ซึ่งมันแค่ใช้ปากกากับกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีใด ๆ เลย ไม่ต้องใช้โทรศัพท์ ไม่ต้องใช้แท็ปเล็ต ไม่ต้องใช้ซอร์ฟแวร์ให้ยุ่งยาก
ซึ่ง Kevin ก็นำเทคนิคของเธอมาปรับใช้กับตนเอง แล้วเขาก็พบว่า เมื่อเขาตื่นนอนขึ้นมา เขาก็จะเห็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำบนกระดาษโน้ต ทำให้เขาโฟกัสใน 3 เรื่องนี้เท่านั้น ที่เขาจะต้องทำมันให้เสร็จก่อนที่จะไปลุยงานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เช็คข้อความ อ่านอีเมล หรือโทรศัพท์ ซึ่งตัวเขาเองพบว่า เขาใช้เทคนิคนี้แล้ว ทำให้การทำงานของเขามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจนเหลือเชื่อ เพราะในหัวของเขาจะจดจ่อและโฟกัสทำงาน 3 สิ่งนี้ให้เสร็จก่อน เพราะในโลกของเรานั้น มีสิ่งรบกวนสมาธิเป็นอย่างมาก ซึ่งหลายคนอาจจะพบว่า บางครั้งกว่าจะได้ทำงานหลักจริง ๆ ก็ปาเข้าไปบ่ายสามเข้าไปแล้ว เพราะช่วงเช้าหมดกับกิจกรรมอย่างอื่นที่ถูกแทรกเข้ามาระหว่างวันจนงานที่จำเป็นจะต้องทำจริง ๆ นั้นยังไปไม่ถึงไหนสักกะที และก็อย่างที่รู้ ๆ ช่วงบ่าย ๆ หลังที่กินข้าวเที่ยงมาอิ่ม ๆ แล้วนั้นก็จะพบว่า ร่างกายของคุณเริ่มเอื่อย อืดอาด ยืดยาด ง่วงหงาวหาวนอน
อุปนิสัยที่ 2 – Experience make you who you are ประสบการณ์จะหล่อหลอมให้กลายเป็นตัวตนของคุณ
เมื่อตอนที่ Kevin อยู่ในวัยเรียนนั้น เขากำลังคิดว่ากำลังจะศึกษาต่อในด้านถ่ายรูปไม่ก็ด้านดนตรีโดยเฉพาะกีต้าร์ เพราะเขาชอบทั้งสองสิ่งนี้เป็นอย่างมาก จนพ่อของเขาออกปากเบรคเอี๊ยดกับเขาว่า แกมันห่วยทั้งสองอย่างที่ว่ามานั่นแหละ สิ่งที่แกควรเรียนก็ให้เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจจะดีกว่า จนเขาก็ได้ไปลงเรียน MBA จนจบการศึกษา และในวันก่อนจบการศึกษา จะมีการจัดเวทีรวมตัวนักศึกษาที่ ณ วันนั้นมีประมาณกว่าร้อยคน แล้วจู่ ๆ ก็มี Professor เดินเข้ามาบนกลางเวที แล้วมองไปยังบรรดานักศึกษาเหล่านั้น แล้วพูดว่า “พวกคุณคิดว่าพวกคุณเจ๋ง พวกคุณเก่ง พวกคุณร้อนแรงไฟแรง สินะ ที่ได้เรียนจบ MBA จากที่นี่จนได้” “แต่จะบอกอะไรให้นะ ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น โลกไม่ได้สนใจพวกคุณเลยแม่แต่น้อย เมื่อคุณออกจากโรงเรียนนี้ไปโลกที่แท้จริงจะบดขยี้พวกคุณเละยิ่งกว่าขี้ซะอีก” “พวกคุณไม่มีค่าอะไรเลย พวกคุณไม่เคยทำงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันที่ใช้ได้ในโลกจริง ๆ เลยสักอย่าง พวกคุณมีแค่กระดาษแผ่นนึงที่เขียนว่าจบ MBA แล้ว ซึ่งมันไม่มีค่าอะไรเลยสักนิด”
นั่นทำให้ทั้งหอประชุมรวมถึง Kevin ด้วย ถึงกับผงะและอ้าปากค้างตกตะลึงไปตาม ๆ กันกับโอวาทที่ Proseesor พูดมาประโยคแรก ซึ่งเขาจำได้ไม่เคยลืม แถม Kevin เขายังกระซิบกับเพื่อนินทา Professor คนนี้ กับเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยว่า “หมอนี่มันบ้า หมอนี่มันตูดหมึกชะมัด พูดบ้าอะไรกัน”
จนกระทั่งในปัจจุบันที่เขาประสบความสำเร็จและถูกเชิญให้ไปพูดที่มหาวิทยาลัย Harvard สิ่งที่ Kevin พูดนั้น พูดเหมือนกับ Professor เมื่อสิบปีที่แล้วเป๊ะ แน่นอนว่าเขาก็คงถูกนักศึกษานินทาลับหลังว่าเขาเป็นไอ้ตูดหมึกอย่างแน่นอน
โดยสิ่งที่ Professor คนนั้นพยายามจะสื่อก็คือ สิ่งที่สำคัญกว่าใบปริญญาก็คือ การลงมือทำงานจริง เห็นผลลัพธ์จริง ต่างหากที่จะพิสูจน์ได้ว่าเรามีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน โดยคนเรานั้นก็จะมีศักยภาพตามที่เราได้สั่งสมประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และประสบการณ์เหล่านั้นก็จะหล่อหลอม และคอยชี้ทางนำทางให้เราเป็นตัวเราในทุกวันนี้
อุปนิสัยที่ 3 – Finding The Right Partner จงตามหาคู่ครองที่เหมาะสม
ครั้งหนึ่ง Kevin ได้มีโอกาสไปบรรยายให้กับนักศึกษาฟัง โดยก่อนจบการสอน ก็ได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นและถามกับ Kevin ว่า เขามีเรื่องขอคำปรึกษาอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งเขาคิดไม่ตก โดยเขาจะจบการศึกษาในปีนี้ และระหว่างนี้เขาก็ได้สร้างซอร์ฟแวร์ตัวหนึ่ง ที่ให้บริการกับบริษัท Hedge Fund หรือบริษัทกองทุนบริหารความเสี่ยง ที่มีขนาดน้อยกว่า 250 ล้านดอลล่าร์ฯ โดยเขาเก็บค่าบริการแบบรายปี โดยในแต่ละปีมีรายได้อยู่ราว ๆ 5 ล้านดอลล่าร์ฯ
ซึ่งพอ Kevin ได้ฟังดังนั้นก็คิดในใจว่า ทุกอย่างก็ดูไปได้สวยนี่ ที่เด็กหนุ่มคนนั้นสามารถสร้างรายได้ได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบซะด้วยซ้ำ
และปัญหาที่ว่าก็คือ เมื่อเช้าแฟนสาวของเขาเดินเข้ามาพูดกับเขาว่า เขาจะต้องเลือกว่าเรื่องระหว่างเราจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะที่ผ่านมา เขาไม่เคยใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์กับเธอเลย เวลาที่ครอบครัวของแฟนชวนไปปิกนิกกินข้าวกันนอกบ้านก็ไม่เคยไป ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะในแต่ละวันเขาก็หมดเวลาไปกับการเรียนและการเขียนโค้ดิ้งซอร์ฟแวร์ก็หมดวันแล้ว ซึ่งบางครั้งเขาก็พยายามชวนแฟนสาวมาที่นอนที่ออฟฟิศของเขา ซึ่งมันไม่เวิร์คเอาซะเลย ผมควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดี
โดย Kevin ก็คิดสักครู่แล้วก็ถามคำถามกลับไปว่า “ระหว่างธุรกิจกับแฟนสาวคนนั้น สิ่งที่ใดถูกแทนที่ได้ง่ายกว่ากัน” ซึ่งโอเคแหละว่า คำถามของ Kevin ดูจะรุนแรงไร้หัวใจกับชายหนุ่มคนนั้น แต่สิ่งที่ Kevin คิดก็คือ ณ ตอนนี้ธุรกิจของชายหนุ่มวิศวกรคนนี้นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่เขาอาจจะกำลังใช้ชีวิตผิดคู่ผิดฝาอยู่ก็เป็นได้ เพราะเธอคนนั้นไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกับเขาได้ ซึ่งหากยื้ดดื้ดึงต่อไปจนถึงวันแต่งงาน ก็อาจมีโอกาสเกิดการหย่าร้างกันในภายหลังได้สูง เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันดีกว่า ชายหนุ่มคนนี้เขาทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่ ทำงานอย่างบ้าคลั่ง เรียกได้ว่า ทำงานวันละ 25 ชั่วโมง 8 วันต่อสัปดาห์ เพราะเขาก็ต้องการที่จะดูแลลูกค้าของเขาเป็นอย่างดีไปด้วย
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำก็คือ การหาใครสักคนที่เข้าใจเรา ชอบเราอย่างที่เราเป็น มันคงจะอึดอัดน่าดูถ้าหากเราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากเพื่อเอาใจใครสักคน
โดย Kevin ได้เสริมต่อว่า ประสบการณ์ที่เขาคลุกคลีอยู่ในธุรกิจเกี่ยวกับ Wedding มาหลายปีก็พบว่า ปัญหาการหย่าร้างของคูแต่งงานใหม่นั้น กว่าครึ่งมักไม่เลิกกันด้วยการที่นอกใจกัน แต่กว่าครึ่งมักมาจากปัญหาเรื่องของการเงินที่ไปด้วยกันไม่ได้ และแน่นอนว่า การหย่าร้างมันเป็นปัญหาใหญ่ มันส่งผลให้เกิดความเครียดที่สูง และแน่นอนมันส่งผลมาถึงธุรกิจที่คุณทำด้วย แค่เขามองตาก็อยู่ในทันทีว่าใครกำลังเครียดเพราะกำลังมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคู่ครองอยู่
แม้จะดูโหดร้าย หากต้องการที่จะให้ชีวิตหลังแต่งงานไม่มีปัญหาเรื่องการเงินกัน ก็ควรคุยกันให้จบตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ซึ่งมันอาจเป็นคำถามที่ไม่น่าฟังนักสำหรับคนรักคุยกัน แต่มันจำเป็น เช่น คุยกันเรื่องเป้าหมายทางการเงินในอนาคต คุยกันเรื่องสร้างครอบครัว คุยกันเรื่องแผนการเกษียณอายุการทำงาน คุยกันเรื่องหนี้สิน คุยกันเรื่องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ คุยกันเรื่องส่งเงินให้พ่อแม่ของแต่ละฝ่ายใช้ ซึ่งหากคู่ของคุณถามกลับมาว่า “ทำไมคุณถึงถามเรื่องเหล่านี้?” คุณก็ลองถามเขากลับไปว่า “ทำไมเรื่องเหล่านี้คุณถึงตอบไม่ได้กันล่ะ?”
เพราะอย่าลืมว่า คุณต้องใช้ชีวิตร่วมกันไปอีก 50 ปี ดังนั้นเรื่องเงินเอาให้เคลียร์ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตคู่ของคุณอาจจบลงด้วยการกลายเป็นบุคคลล้มละลายทั้งคู่ก็เป็นได้
และนี่ก็คือ 3 สิ่งที่ Kevin O’Leary อยากฝากเอาไว้ให้คิดกัน
Resources