Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

3 เคล็ดลับในการตั้งเป้าหมายไปให้ถึงฝั่งฝัน by Dan Lok ที่ปรึกษานักธุรกิจร้อยล้าน

การตั้งเป้าหมายนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ล่องลอยสำหรับใครหลาย ๆ คน ที่เมื่อถึงวันปีใหม่ ต่างก็ประกาศว่า ฉันจะต้องผอม ฉันจะต้องรวย ฉันจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงวันสิ้นปี แล้วก็พบว่า เป้าหมายและความฝันที่ตั้งเอาไว้นั้น ยังไปไม่ถึงไหนเลย และนี่ก็คือคำแนะนำจาก Dan Lok ที่ปรึกษานักธุรกิจร้อยล้าน ที่เขาได้เรียนรู้มาตลอดระยะเวลา 15 ปีในการทำเป้าหมายให้สำเร็จลุล่วง

เคล็ดลับที่ 1 – จงตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนอย่าคลุมเครือ (Be Specific Not Vague)

Dan ได้ยกตัวอย่างเรื่องของรายได้ เช่น ฉันต้องการที่จะมีรายได้เดือนละ 1 แสนบาทภายใน 12 เดือนข้างหน้านับจากนี้ ซึ่งการตั้งเป้าหมายแบบมีตัวเลขนั้น จะช่วยให้เรามีที่ตั้งและจุดยึดเหนี่ยวที่ชัดเจน การที่บอกว่า ฉันอยากมีรายได้เยอะ ๆ มีเงินเยอะ ๆ อยากรวย มีเงินมาก ๆ นั้นดูเป็นอะไรที่ล่องลอยเอามาก ๆ เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คุณไปเบิกเงินที่ธนาคารแล้วบอกว่า “ขอเบิกเงินเยอะ ๆ หน่อยครับ” ซึ่งพนักงานธนาคารก็จะถามกลับมาว่า “ต้องการเบิกเท่าไหร่คะ” เราก็ยังยืนยันตอบกลับไปว่า “เยอะ ๆ น่ะครับ” สุดท้ายพนักงานอาจตอบคุณกลับมาว่า “เชิญไปเล่นตรงนู้นก่อนนะคะ”

โอเค ทีนี้กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อ สมมติว่าเราตั้งเป้าหมายโดยต้องการมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 1 แสนบาท ภายใน 12 เดือนนับจากนี้ นั่นคือเป้าหมายรายปี ทีนี้สิ่งที่เราต้องทำต่อมาก็ต่อ การคิดแบบ “Revers Engineering” หรือการคิดย้อนกลับแบบเป็นขั้นเป็นตอนมีเหตุและผลอย่างที่วิศกรเขาทำกัน เช่น หากวิศวกรต้องการสร้างบ้านสักหลังนึง เขาจะเริ่มคิดก่อนเลยว่า มีงบประมาณเท่าไหร่, ที่ดินมีความกว้างความยาวและพื้นที่ใช้สอยแค่ไหน, บริเวณทำเลที่ตั้งเป็นอย่างไร, ต้องการโครงสร้างบ้านแบบไหน ชั้นเดียวหรือสองชั้น, แบบบ้านเป็นอย่างไรบ้าง, ต้องใช้วัสดุอะไรบ้างและวัสดุแต่ละอย่างราคาเท่าไหร่, ค่าแรงคนงานก่อสร้างเท่าไหร่ ฯลฯ จะเห็นได้ว่า การที่เราจะบอกวิศกรว่า “ต้องการบ้านหลังใหญ่ ๆ” นั้นดูเป็นเรื่องที่วิศวกรคนไหนก็ไม่อาจตอบโจทย์คุณได้ จนกว่าคุณจะระบุบางอย่างให้ชัดเจน อย่างน้อย ๆ ก็ควรระบุว่าคุณมีงบประมาณในการสร้างบ้านเท่าไหร่ เป็นต้น

ทีนี้ เมื่อคุณได้เป้าหมายรายปีแล้ว ต่อมาสิ่งที่ต้องทำก็คือ เป้าหมายรายเดือน, เป้าหมายรายสัปดาห์ และเป้าหมายรายวัน เพราะปกติแล้วหากใครเคยสังเกตช่วงตอนปีใหม่ หลาย ๆ คนชอบตั้งเป้าหมายกันเอาไว้ แล้วจบลงด้วยสิ้นปีแล้วก็ยังทำตามเป้าหมายนั้นไม่ได้เลย นั่นเป็นเพราะ คุณขาดเป้าหมายรายวัน

ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องรอดูถึงสิ้นปี คุณก็สามารถรู้ได้แทบจะในทันทีว่า หากเป้าหมายรายวันยังทำไม่ได้ มันก็จะส่งผลไปถึงเป้าหมายรายสัปดาห์ก็ไม่ได้ เป้าหมายรายเดือนก็ไม่ได้ และแน่นอนว่าเป้าหมายรายปีไม่ต้องพูดถึง

ต่อมาสิ่งที่คุณต้องคิดถึงก็คือ แล้วการที่จะไปถึงเป้าหมายได้นั้น จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนทักษะอะไรเพิ่มเติมบ้าง ต้องมีกระบวนการคิดอย่างไรบ้าง ซึ่งแม้ว่าการพัฒนาทักษะต่าง ๆ อาจไม่ได้การันตีว่าเป้าหมายจะสำเร็จ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ คุณจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของตัวคุณเอง และนั่นมันจะสร้างโอกาสให้คุณได้เข้าใกล้เป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น

เคล็ดลับที่ 2 – ตั้งเป้าหมายในทุก ๆ ด้านของชีวิต

Dan Lok แนะนำให้ตั้งเป้าหมายอย่างน้อย 4 อย่างในการใช้ชีวิตของคุณ

เป้าหมายที่ 1 : ด้านสุขภาพ – แน่นอนว่า หากร่างกายคุณไม่แข็งแรง เจ็บป่วยบ่อย คุณไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลย ดังนั้น สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกสุด

เป้าหมายที่ 2 : ด้านชีวิตส่วนตัว – อาจจะเป็นเรื่องของการพบปะเพื่อนฝูง, การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและคนที่คุณรัก, การพักร้อนและการท่องเที่ยว, การทำงานอดิเรกหรืออะไรก็ตามที่คุณชอบทำแล้วรู้สึกสนุกไปกับมัน

เป้าหมายที่ 3 : ด้านการเงิน – แน่นอนว่า หากคุณทำธุรกิจ คุณต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเงินอย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับเรื่องเงินแล้ว คุณจะต้องตั้งเป้าหมายว่า คุณจะทำเงินได้เท่าไหร่, คุณจะเก็บออมเท่าไหร่, ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนเท่าไหร่ เป็นต้น

เป้าหมายที่ 4 :  ด้านการช่วยเหลือผู้อื่น – แน่นอนว่าเมื่อคุณทำธุรกิจหรือแม้ว่าคุณจะเป็นส่วนหนึ่งในฟันเฟืองของธุรกิจนั้น ๆ มันจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้คนคนอื่น ๆ อยู่เสมอ การช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ดิบได้ดีนั้น นอกจากจะทำให้สภาพแวดล้อมและสังคมเราน่าอยู่ขึ้นแล้ว มันยังช่วยเติมเต็มจิตใจให้คุณเป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คุณอาจจะตั้งเป้าว่า จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานให้มีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น, ช่วยให้ลูกค้ามีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดี, ช่วยให้ผู้ชมหรือคนที่ติดตามคุณได้รับความรู้มากยิ่งขึ้น เป็นต้น

แต่เดี๋ยวก่อน…

โดยปกติแล้วคนเรานั้น ไม่สามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้อย่างสมดุลและสมบูรณ์แบบ เช่น คุณไม่สามารถแบ่งเวลาและพลังงานไปในแต่ละเป้าหมายอย่างละเท่า ๆ กันได้

ดังนั้นสเต็ปต่อไปที่คุณควรทำก็คือ การตั้งคำถามกับตัวเองว่า เป้าหมายในข้อใด หากฉันเลือกที่จะโฟกัสและทุ่มเทพลังงานเพื่อลงมือทำอย่างสุด ๆ แล้ว มันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อื่น ๆ ตามมา ซึ่งกฏนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ กฏ 80/20 ซึ่งสำหรับ Dan ในสมัยตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่นพึ่งเริ่มทำงานนั้น เขาเลือกที่จะโฟกัสด้านการเงินก่อนเป็นอันดับแรกสุด เพราะเนื่องจากตอนนั้นเขายังมีร่างกายที่แข็งแรง จึงยังไม่ต้องการพักร้อนมากมายนัก แถมยังมีเงินไม่พอที่จะส่งเงินกลับให้ที่บ้านอีกด้วย

เคล็ดลับที่ 3 – การลงมือทำให้เป้าหมายกลายเป็นจริง

ทีนี้ เมื่อคุณรู้เคล็ดลับทั้ง 4 ข้อในการตั้งเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณต้องลงมือทำ ซึ่ง Dan ก็มีขั้นตอนเพื่อนำพาให้ตัวเราไปสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ให้สำเร็จด้วยกัน 4 ขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 – ตั้งเป้าหมาย (SET IT) ด้วยการจดเป้าหมายนั้นลงบนกระดาษด้วยปากกาหรือดินสอ จากมือของคุณเอง อย่าจดบันทึกในมือถือหรือพิมพ์ในคอม ให้จดเอาด้วยลายมือคุณ

ขั้นตอนที่ 2 – ตั้งเป้าหมายนั้นให้มองเห็นได้ง่ายอยู่ตลอดเวลา (SEE  IT) เพื่อที่ว่า ทุกครั้งที่คุณตื่นนอนขึ้นมา มันจะช่วยย้ำเตือนคุณว่า เป้าหมายของคุณคืออะไร และในแต่ละวันคุณจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น

ขั้นตอนที่ 3 – จงสัมผัสและลิ้มรสการใช้ชีวิต (LIVE IT) Dan บอกเอาไว้ว่า การที่คุณเขียนและมองเห็นรูปภาพของเป้าหมายในทุก ๆ วันนั้นเป็นเรื่องดี แต่ร่างกายและจิตใจของคุณอาจจะยังนึกไม่ออกว่า เมื่อคุณไปถึงเป้าหมายแล้ว ตัวคุณเองจะรู้สึกยังไง เพราะตัวเราเองก็ยังไม่เคยไปถึงจุดนั้นมาก่อน แต่ Dan บอกว่า คุณสามารถไปสัมผัสประสบการณ์กับเป้าหมายของคุณได้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือมีรถเบนซ์หรือบีเอ็มสักคัน ก็ให้คุณลองไปที่โชว์รูมเลย ลองนั่ง ลองสัมผัส ลองขับรถ(แต่เขาไม่ให้ลองขับ อย่างน้อยก็ควรให้เขาขับแล้วพาคุณนั่งไปด้วยให้ได้) แล้วจงจำสัมผัส จำกลิ่น จำเสียงเครื่องยนต์ จำประสบการณ์นั้นเอาไว้ แล้วเล่นภาพซ้ำในหัววันแล้ววันเล่า ราวกับว่ามันอยู่กับเราทุกวัน (เพราะเราไม่สามารถขอรถเขามาจอดไว้ที่บ้านเราได้)

ขั้นตอนที่ 4 – แบ่งปันเรื่องราวของคุณ (SHARE IT) ทันทีที่คุณตั้งเป้าหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว จงแบ่งปันความฝันนั้นให้กับคนที่คุณรู้จัก ซึ่งบางตำราก็บอกว่า อย่าเอาเป้าหมายของเราไปบอกใคร เพราะมันจะมีแต่คนหัวเราะเยาะไม่ก็ถากถางจนคุณหมดกำลังใจ แต่สาเหตุนั้นจริง ๆ แล้ว มันเกิดจากการที่คุณกลัวว่าคุณจะทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ต่างหาก ซึ่งหากคุณยังไม่มั่นใจเป้าหมายที่คุณเขียนขึ้นมาเอง แล้วใครจะเชื่อคุณ ดังนั้น คุณต้องเชื่อมั่นในตัวคุณเองก่อน แล้วจากนั้นให้ปฏิญาณกับตนเองว่า ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อไปถึงเป้าหมายให้ได้ (อย่างถูกกฏหมายและมีศีลธรรม)

Dan ได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

Live your life as if all your dreams have come true, and then challenge your reality to catch up

หมายถึง จงใช้ชีวิตของคุณราวกับว่าความฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมาแล้ว จากนั้นจงท้าทายและให้คำมั่นสัญญากับตัวเองในชีวิตจริงว่าฉันทำมันได้อย่างแน่นอน

– Dan Lok –

Resource