Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

4 ความลับของมหาเศรษฐี 4 คน ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาให้รวยไปตลอดกาล

หากถามว่า อะไรคือคำแนะนำที่คุณเคยได้รับ แล้วมันส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณในทางที่ดีขึ้น โดยสิ่งนั้นมันทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปตลอดกาล และนี่ก็คือ 4 ความลับ จากคนร่ำรวยและคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้ง 4 คน ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาให้รวยไปตลอดกาล

ความลับที่ 1 – การเพิ่มคุณค่า Add Value

Tony Robbins Life Coach นักเขียน นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังอันดับต้น ๆ ของโลก ที่ ณ ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 15,000 ล้านบาท ได้เล่าว่า เขาได้รับคำแนะนำจาก Mentor หรือพี่เลี้ยงที่ปรึกษาอย่าง Jim Rohn ที่เป็นเขียน และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่เมื่อสมัยเขายังมีชีวิตอยู่ สามารถสร้างทรัพย์สินอยู่ที่ราว 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ให้คำแนะนำกับ Tony Robbins ในวัยหนุ่มว่า “Tony สิ่งที่คุณจะต้องโฟกัสมากที่สุดในชีวิตของคุณก็คือการเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้คนให้มากกว่าใคร ๆ ที่เคยทำเอาไว้ แล้วคุณก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นใดเลยอีกตลอดชีวิตนี้ จงทำเพื่อคนอื่นให้มากกว่าใคร ๆ”

และนอกจากนั้น Jim Rohn ยังกล่าวเอาไว้อีกว่า มันก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้อื่นได้นั่นก็คือ การที่คุณทำงานอย่างหนัก ทุ่มสุดตัวเพื่อพัฒนาตนเองให้แก่งขึ้น ฉลาดขึ้น รอบรู้มากยิงขึ้น ลงมือทำและมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อคุณเก่งขึ้น คุณก็สามารถถ่ายทอดความรู้ ความเชี่ยวชาญให้แก่ผู้อื่นได้มากขึ้นได้เช่นกัน

ความลับที่ 2 – ลิ้มรสและสัมผัสชีวิตในทุก ๆ วัน Touch Lives Every Day

Oprah Winfrey เศรษฐีนีชาวอเมริกันผิวสีที่ติดอันดับ Top 10 ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ได้เล่าให้ฟังว่า ในตอนที่เธอเริ่มสร้างโรงเรียนของเธอเองขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นมรดกตกทอดให้กับเด็ก ๆ รุ่นหลัง เธอได้มีโอกาสพูดกับเพื่อนสนิทอย่าง Maya Angelou ที่เป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคมและนักกวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวผิวสีของอเมริกาโดย Oprah ได้กล่าวอย่างพากย์ภูมิใจว่า ฉันภูมิใจมากที่ได้สร้างโรงเรียนให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี ซึ่งสิ่งนี้ฉันถือได้ว่าเป็น Legacy หรือของมรดกตกทอดอันล้ำค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันเลย

จนกระทั่ง Maya พูดออกมาว่า Oprah เธอนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลย โดย Maya ได้ให้ความหมายของคำว่า Legacy ว่า มรดกตกทอดที่ล้ำค่าที่สุดนั้นมันไม่ใช่สิ่งของที่คุณสร้างขึ้น แต่มรดกตกทอดที่ยิ่งใหญ่กว่าคือการที่ตัวคุณได้สัมผัสและลิ้มรสชาติของชีวิตต่างหาก และด้วยประโยคนี้จาก Maya ทำให้ Oprah ได้เปลี่ยนมุมมองของเธอไปตลอดกาลเกี่ยวกับ ของขวัญล้ำค่า มรดกตกทอด ที่เธอตั้งใจที่จะทำทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง

โดย Maya ได้บอกกับเธอว่า ตลอดหลายปีที่ผู้คนได้ดูรายการ The Oprah Winfrey Show ที่เป็นรายการทอล์กโชว์เบอร์ต้น ๆ ของอเมริกาตลอดหลายสิบปีนั้น เมื่อผู้คนได้ดูรายการของเธอ หลายคนได้ข้อคิดที่ดีต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเมื่อฟังรายการเธอแล้วหลายคนเห็นถึงความสำคัญของการเรียนจนอยากกลับไปเรียนให้ได้วุฒิสูง ๆ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, หลายคนได้แรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดี, หลายคนจะเลิกตีหรือทำร้ายร่างกายเพื่อสั่งสอนลูกตัวเอง

โดยหลายสิ่งหลายอย่างที่ว่ามานี้ เป็นประสบการณ์ตรงของ Oprah Winfrey ที่ได้เล่าผ่านรายการของเธอเอง ที่เธอเคยผ่านการลิ้มรสการใช้ชีวิตและสัมผัสมันมาก่อน แต่เธอก็สามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องแย่ ๆ เหล่านั้นมาได้ และเมื่อเธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ออกไป นั่นแหละมันคือมรดกตกทอดที่แท้จริง โดยเป็นมรดกทางความคิดที่สามารถส่งต่อตกทอดให้แก่คนรุ่นหลัง ที่ช่วยให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ซึ่งหลายคนอาจจะนึกถึงแต่เรื่องของการทำบุญทำทานและช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีงามต่อโลกนี้เป็นอย่างยิ่ง แต่นอกจากปัจจัยภายนอกหรือสิ่งของเหล่านั้นแล้ว คุณสามารถมอบเรื่องราวและประสบการณ์ในชีวิตของคุณที่ผ่านมาส่งต่อให้แก่ผู้อื่น เพื่อเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่คนที่กำลังประสบปัญหาเหล่านั้นเฉกเช่นเดียวกับที่ตัวคุณเคยเจอปัญหาเหล่านั้นมาก่อนแล้วสามารถก้าวข้ามผ่านเรื่องเลวร้ายนั้น ๆ มาได้ นี่แหละคือ Legacy ที่แท้จริง

ความลับที่ 3 – คิด วิเคราะห์ แยกแยะ Think Critically

Elon Musk ผู้ก่อตั้ง SpaceX ธุรกิจอวกาศและ Tesla Motors ผู้นำรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของโลก ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เขากำลังเรียนอยู่ในสาขาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย เขาได้รับการปลูกฝังว่า การทำงานของนักฟิสิกส์ที่ดีนั้น จะเริ่มต้นด้วยการกำหนด framework หรือขอบเขตโครงสร้างของสิ่งที่ต้องการพิสูจน์ โดยสร้างสมมติฐานและหลักการที่วิเคราะห์ขึ้นจากเหตุผลและความเป็นไปได้ขึ้นมา แล้วค่อย ๆ บีบกรอบความเป็นไปได้ให้เล็ก ๆ ลงเรื่อย ๆ เจาะลึกลงไป แล้วเหลือเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันจริง ๆ เท่านั้น โดยตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไปทีละจุด

เฉกเช่นเดียวกันกับที่นักฟิสิกส์ได้ค้นพบและสร้างหลักการของ quantum mechanics หรือกลศาสตร์ควอนตัม ที่สามารถนำมาเป็นหลักการที่แทนที่หลักการเดิมอย่าง กลศาสตร์นิวตัน และ กลศาสตร์ไฟฟ้าของแม็กซ์เวลล์ หรืออาจเรียกรวม ๆ ว่ากลศาสตร์ดั้งเดิม ที่ไม่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ในวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าอะตอมได้ แต่กลศาสตร์ควอนตัม สามารถคำนวณได้แม่นยำกว่ามาก หรือจะเรียกได้ว่า สามารถใช้หลักการนี้คำนวณได้ค่าแม่นยำและใกล้เคียงกับความจริงได้มากกว่าทฤษฎีอื่น ๆ นั่นเอง

ดังนั้นหากคุณสามารถคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ ในกรอบ framework ที่ถูกต้องเหล่านั้น ในท้ายที่สุดคุณก็จะเข้าใกล้คำตอบที่กำลังตามหาจนได้

ความลับที่ 4 – ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข Unconditional Love

Warren Buffett มหาเศรษฐีนักลงทุนอันดับ 1 ของโลก เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway ที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในการครอบครองมากกว่า 60 บริษัท โดย ณ ปัจจุบันมีทรัพย์สินอยู่ที่ 87.7 พันล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 2.63 ล้านล้านบาท ได้เล่าให้ฟังว่า ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเขานั้น เขาได้รับการเลี้ยงดูและปลูกฝังสิ่งดี ๆ หลายสิ่งหลายอย่างจากคุณพ่อของเขา โดยบทเรียนต่าง ๆ ที่เขาได้รับจากคุณพ่อนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการสั่งให้ทำนู่นนี่นั่น แต่พ่อของเขามักจะลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่างซะมากกว่า แต่หากให้บอกว่า อะไรคือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาได้เรียนรู้จากคุณพ่อ สิ่งนั้นก็คือ ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่ง Warren Buffett บอกว่าในโลกนี้ไม่มีพลังใดที่เหนือไปกว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนที่คนเป็นพ่อเป็นแม่มอบให้แก่ลูก ๆ ของพวกเขา ซึ่งไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเจอศึกหนักแค่ไหนก็ตามที แต่บ้านของพ่อแม่ก็ยังคงให้ความรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ให้เราสามารถกลับมาได้เสมอไม่ว่าเวลาใดก็ตาม


และหากคุณเริ่มซีเรียสและจริงจังกับการเรียนรู้จากคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างสูง วันนี้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลพรีเมี่ยมคอนเท้นต์ได้แล้วบน Blue O’Clock Academy ใน ซีรี่ย์ Top 10 Mentors : 10 สุดยอดบทเรียนจากมหาเศรษฐีรุ่นพี่สอนว่าที่มหาเศรษฐีรุ่นน้องคนต่อไป โดยคุณสามารถลงทะเบียนได้ในราคาพิเศษตามรายละเอียดที่ลิงค์ด้านล่างวีดีโอนี้ได้เลยครับ

Resources