Site icon Blue O'Clock

กฎเหล็ก 5 ข้อ เพิ่มพลังทวีใช้สร้างธุรกิจเงินล้านแบบกระจุยกระจาย | Blue O’Clock x Kim Property Live

Kim Property Live

สำหรับบทความนี้ เป็นการถ่ายทอดบทเรียนจากคุณ คิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ เป็นนักลงทุน เเละ ผู้ประกอบการในอสังหาริมทรัพย์ จากช่อง Kim Property Live จะมาถ่ายทอดความรู้ที่ใช้ประโยชน์จากพลังทวีให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด

ในยุคปัจจุบันที่เป็นยุครุ่งเรืองของอินเตอร์เน็ต ทำให้การทำธุรกิจหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป จากเดิมคนที่จะร่ำรวยได้นั้น จะต้องมีที่ดิน มีทรัพย์สิน มีทรัพยากรอย่างมหาศาล แต่ในขณะที่โลกยุคนี้ กลับเกิดคนร่ำรวยอย่างมากมายที่เริ่มได้ด้วยตัวคนเดียว แต่สิ่งที่จะต้องระวังเป็นอันดับแรกก็คือการแยกแยะระหว่างธุรกิจจริง ๆ กับธุรกิจที่หลอกลวง ซึ่งหากใครมาชวนคุณแล้วบอกว่ามีวิธีรวยง่าย ๆ รวยไม่ยาก ไม่ต้องทำอะไร อยู่บ้านกระดิกนิ้วแล้วก็ได้เงิน ต้องให้คุณระวังไว้ก่อนเลยว่า ธุรกิจนั้นอาจจะเป็นธุรกิจที่หลอกลวงและกำลังต้มตุ๋นคุณให้ตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ก็เป็นได้ ซึ่งคนที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยตนเองนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ผ่านความยากลำบากมากันแทบทั้งสิ้น ดังนั้น ให้คุณท่องประโยคนี้ให้ขึ้นใจเลยว่า “ธุรกิจนั้นรวยเร็วได้ แต่รวยง่าย ๆ ไม่มี”

ยกตัวอย่างเช่น

J.K. Rowling นักเขียนนิยายชื่อดังเจ้าของผลงานระดับโลกอย่าง Harry Potter ที่กว่าผลงานเธอจะได้รับการยอมรับให้ถูกตีพิมพ์ เธอก็ถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธไปกว่า 12 แห่ง แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้จนกระทั่งสำนักพิมพ์แห่งที่ 13 ที่ชื่อ Bloomsbury Publishing (บลูมบิวส์รี) ได้รับผลงานของเธอไปตีพิมพ์ และส่งผลให้เธอกลายเป็นนักเขียนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในเวลาต่อมา โดย ณ ปัจจุบันเธอมีรายได้อยู่ที่ 92 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 2,800 ล้านบาท

Ryan Kaji ยูทูปเบอร์วัย 8 ปี ที่ครองแชมป์ Youtuber ที่ทำเงินได้สูงที่สุดของโลก 2 สมัยซ้อนในปี 2018-2019 โดยในปี 2019 ปีเดียวเขาโกยรายได้ไปกว่า 26 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 800 ล้านบาท ที่เริ่มต้นมาจากการที่ทำรายการรีวิวของเล่นบนช่อง Youtube

ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่า มีคนทำมาได้มาก่อนแล้ว จากการที่พวกเขาเหล่านั้นก็เริ่มต้นจากคนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราก็สามารถเรียนรู้และทำตามได้เช่นกัน

โดยสิ่งที่เอื้ออำนวยให้คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว ก็คือการใช้พลังทวีหรือ Leaverage ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด โดยพลังทวีหรือ Leaverage นั้น ก็เปรียบเสมือนคุณมีไม้คานที่สามารถใช้งัดหินหรือวัตถุก้อนที่ใหญ่มากได้อย่างง่ายดาย หรือจะเรียกว่า ทำน้อยให้ได้มากก็ได้เช่นกัน และพลังทวีในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ก็คือโลกของอินเตอร์เน็ต ที่เมื่อคุณโพสต์คอนเท้นต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์คเพียงครั้งเดียว แต่อาจมีโอกาสที่คนทั่วโลกจะได้เห็นโพสต์นั้นของคุณนับหมื่น นับแสนหรือนับล้านคน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสมัยก่อนที่จะมีอินเตอร์เน็ตนั้น การที่จะส่งสารไปยังผู้คนนับล้านด้วยต้นทุนเกือบศูนย์บาทนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าคุณไม่ใช่คนที่มีอิทธิพลในยุคนั้นจริง ๆ หรือต่อให้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ๆ ก็อาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะหากพึ่งการออกสื่อหลักอย่างทีวี วิทยุหรือหนังสือพิมพ์ เพื่อเข้าถึงคนนับล้านคนนั้น ค่าใช้จ่ายไม่ได้ใกล้เคียงกับศูนย์บาทเลยแม้แต่น้อย

โดยคุณคิม บอกเอาไว้ว่า หากต้องการใช้พลังทวีให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ธุรกิจของคุณจะต้องเข้าเกณฑ์ในข้อใดบ้าง ซึ่งกฎเหล่านี้คุณคิม ได้พูดถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือที่ชื่อ The Millionaire Fastlane(เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี) ที่เขียนโดย MJ DeMarco สรุปใจความได้ 5 ข้อดังนี้

กฎข้อที่ 1 – กฎแห่งความต้องการ (NEED)

การทำสิ่งที่รักสิ่งที่หลงใหลนั้น อาจจะไม่เพียงพอในการประสบความสำเร็จ เพราะหากสิ่งที่คุณชอบทำนั้น คนอื่นเขาไม่ได้ชอบด้วยกับคุณ ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องบาลานซ์กันระหว่างสิ่งที่รักและสิ่งที่ผู้คนต้องการ ซึ่งภาษากฤษใช้ว่า WANT นั้นหมายถึงต้องการแต่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ในขณะที่ NEED แปลได้ว่า ต้องการแบบขาดไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่า ต่อให้ของคุณดีแค่ไหน ของคุณเจ๋งแค่นั้น แต่ถ้าคนอื่นไม่ได้ต้องการ พวกเขาก็ไม่ยอมที่จะนำเงินมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการของคุณ

ยกตัวอย่างจาก Mark Zuckerberg ที่เขามีวิสัยทัศน์และมองเห็นว่าผู้คนแต่ละคนนั้นต้องการเชื่อมต่อถึงกัน เขาจึงมีคอนเซ็ปต์ในสร้างโซเชียลมีเดียซึ่งในตอนนั้นใช้ชื่อเว็บไซต์ว่า FaceMash.com ที่สร้างมาเพื่อให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เชื่อมเข้าหากัน เพราะ Mark รู้ว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ ในแต่ละมหาวิทยาลัยต่างต้องการเชื่อมโยงเข้าถึงกัน แต่มันก็ยังคงเป็นการเชื่อมต่อในวงแคบ จนกระทั่งเขาได้ขยายผลต่อโดยคิดว่า แล้วถ้าไม่ใช่การเชื่อมต่อเฉพาะนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่เป็นการเชื่อมต่อผู้คนทั่วทั้งโลกล่ะ มันจะเจ๋งขนาดไหน และในปัจจุบัน Mark Zuckerberg ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้คนทั่วโลกต่างต้องการเชื่อมต่อเข้าหากันจริง ๆ ด้วยตัวเลขจำนวนผู้ใช้งานบน Facebook.com ในปี 2019 ที่ผ่านมานั้นสูงถึง 2,500 ล้านคน หรือหากเปรียบ Facebook เป็นประเทศของโลกจะถือว่าเป็นประเทศที่มีประชากรใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกเลยทีเดียว

กฎข้อที่ 2 – กฎแห่งการเข้าถึง (ENTRY)

ธุรกิจหรืองานประเภทใด ที่ผู้คนสามารถเข้ามาร่วมแข่งขันได้ง่ายนั้น ย่อมทำให้เกิดคู่แข่งอย่างมหาศาล ทำให้โอกาสในการเติบโตในธุรกิจนั้น ๆ เป็นไปได้ยาก เพราะท้ายที่สุดจะเกิดการแข่งขันด้วยสงครามราคา ตัดแข้งตัดขากันจนแทบไม่เหลือกำไร ดังนั้นให้พิจารณาดูว่า ธุรกิจที่คุณจะเข้าไปเล่นนั้นมันทำได้ง่ายหรือยาก เพราะถ้าทำได้ยาก มันจะเป็นเสมือนกำแพงด่านแรกที่จะกรองผู้เล่นที่จะมาเล่น ๆ เพื่อหวังกอบโกยในระยะสั้นออกไป จนเหลือแต่ผู้เล่นไม่กี่คนที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถทำธุรกิจแบบยืนระยะยาว ๆ อย่างมั่นคงได้

กฎข้อที่ 3 – กฎแห่งการควบคุม (CONTROL)

ธุรกิจของเรา จะต้องอยู่ในการควบคุมของเราเอง ไม่ใช่จากผู้อื่นที่เราไม่สามารถควบคุมได้ โดยคุณ Kim ได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เขาเคยทำธุรกิจการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อมาขายในประเทศไทย ก็พบว่า ธุรกิจนี้ไม่เราไม่สามารถควบคุมได้เลยตั้งแต่

ซึ่งในบางเวลาของส่งมาจากต่างประเทศใช้เวลาไม่เท่ากัน ทำให้จำนวนสินค้าในสต็อคบางเวลามีมากเกินไป บางเวลาสินค้าก็ขาดสต็อค แถมตอนนั้นที่คุณขายของผ่าน Facebook ช่วงนั้น Facebook ก็ดันกำลังปรับอัลกอลิทึ่มหรือปรับการแสดงผลหน้าฟีดโดยเฉพาะสำหรับแฟนเพจที่ถูกลดการมองเห็น แถมยังมีค่าโฆษณาที่แพงขึ้นในขณะที่ต้นทุนขายก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน อะไร ๆ ก็ดูยากต่อการควบคุมไปซะหมด ทำให้ขาดโฟกัสในการคิดที่จะวางแผนและดำเนินการขยายธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

เปรียบเสมือนหน่วยงานแต่ละหน่วยที่เป็นฐานของปิรามิดทั้งสี่ด้านที่กำลังใช้พลังทวีส่งแรงให้ธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ซึ่งในขณะนั้นคุณอาจกำลังเพิ่มพลังทวีด้วยการอัดงบโฆษณาบน Facebook อย่างมาก และได้ออเดอร์เข้ามาอย่างมหาศาล แต่ตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้นกลับพบว่า มีอีเมลจากขนส่งแจ้งเข้ามาหาคุณว่า ตอนนี้เรือคว่ำสินค้าชำรุดไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันตามกำหนด ทำให้โดนลูกค้าด่ากระจาย

ในขณะที่ J.K. Rowling เจ้าของนิยายชื่อดังอย่าง Harry Potter เธอสามารถควบคุมได้ทั้งหมด เพราะงานที่สำคัญที่สุดก็ขึ้นอยู่กับการเขียนของตัวเธอเอง ดังนั้น จงหาธุรกิจที่คุณสามารถควบคุมมันได้ให้เจอ

กฎข้อที่ 4 – กฎแห่งขนาด (SCALE)

ต้องเป็นธุรกิจที่ขยายได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างในกรณีของร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่มีเพียงสาขาเดียวหรือมีไม่กี่สาขานั้น ต่อให้ขายดีมากแค่ไหน แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนที่นั่งที่สามารถรองรับลูกค้าที่ไม่เพียงพอ แต่ในขณะที่ธุรกิจแฟรนไชส์อย่าง ชายสี่บะหมี่เกี๊ยวนั้น สามารถขยายสาขาได้ไม่มีจำกัด เพราะเปลี่ยนจากการขายก๋วยเตี๋ยวมาขายแบรนด์ ขายวัตถุดิบ ขายสูตร ให้กับประชาชนได้ทั่วทั้งประเทศ

หรืออย่างในโลกอินเตอร์เน็ต ที่ในยุคนี้ คุณสามารถเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ โดยที่ไม่ต้องมีหน้าร้าน แต่สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าร้านขนาดใหญ่ที่มีแต่สาขาในตัวเมืองแบบออฟไลน์เพียงอย่างเดียว หรือตัวอย่างเว็บไซต์ข่าว ที่วันนี้แม้ว่าจะมีคนเข้าเพียง 100 คน หรือ 1,000 คน แต่ในอนาคตก็สามารถรองรับคนเข้าเป็นล้านคนก็ยังได้ ในขณะที่หนังสือพิมพ์แบบรูปเล่มนั้น หากต้องการเข้าถึงคน 1 ล้านคน ก็อาจจะต้องใช้เงินผลิตหนังสือพิมพ์จำนวน 1 ล้านฉบับ ซึ่งเป็นเงินที่มหาศาลมาก เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ ที่ใช้งบประมาณน้อยมาก ๆ

ยกตัวอย่างอีกสักตัวอย่างนึง หากธุรกิจของคุณคือ การรับจ้างเขียนซอร์ฟแวร์ให้กับบริษัทต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละบริษัทก็มีความต้องการในรายละเอียดที่แตกต่างกันไป หากมีลูกค้าเข้ามา 10 เจ้าก็ยังพอจะทำงานส่งลูกค้าได้ทัน แต่วันดีคืนดีจู่ ๆ ก็มีลูกค้าจากไหนไม่รู้หลั่งไหลเข้ามานับ 100 เจ้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คุณไม่สามารถรับงานทั้งหมดนั้นได้ จำใจจะต้องปฏิเสธงานเหล่านั้นไม่อย่างมากมาย เพราะไม่มีบุคคลากรที่สามารถรองรับลูกค้าจำนวนมากขนาดนั้นได้ ครั้นจะรับพนักงานเพิ่มเยอะขนาดนั้นก็ไม่มีเงินมากพอ แต่ในขณะที่ธุรกิจแพลตฟอร์มอย่าง Uber หรือ Airbnb ที่มีการเขียนซอร์ฟแวร์เช่นกัน แต่เน้นไปที่การเป็นแพลตฟอร์มที่อย่าง Uber ก็มีรถ Taxi เข้าร่วมนับแสนคัน โดยที่ Uber ไม่ได้เป็นเจ้าของรถเลยแม้แต่คันเดียว ในขณะที่อู่รถ Taxi ทั่วไปนั้น หากต้องการเติบโต ก็ต้องซื้อรถเพื่อมาทำ Taxi เพิ่มกลายเป็นยิ่งขยายธุรกิจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใช้เงินทุนมากเท่านั้น เช่นเดียวกันกับ Airbnb ที่เป็นธุรกิจที่รวบรวมที่พักไว้บนแพลตฟอร์มนับล้านแห่ง โดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าของห้องพักเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นธุรกิจที่พักที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

กฎข้อที่ 5 – กฎแห่งเวลา (TIME)

ธุรกิจที่สามารถส่งสินค้าหรือบริการได้โดยที่ไม่ต้องอ้างอิงกับเวลา เราลองมาดูตัวอย่างของการที่มีข้อจำกัดด้านเวลา ทำให้ธุรกิจไม่สามารถเติบโตได้มากอย่างที่ต้องการ ติดเพดานรายได้อยู่อย่างจำกัด เช่น คลีนิคหมอ ที่คุณหมอส่วนใหญ่ใช้เวลาหลังจากปฏิบัติหน้าที่ที่โรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็กลับมาใช้เวลารักษาคนป่วยรับลูกค้าที่คลีนิคต่อ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า คลีนิคแต่ละแห่งนั้นจะเปิดเป็นช่วงเวลา บ้างก็เปิดช่วงสายถึงเที่ยง แล้วก็กลับมาเปิดรอบสองอีกทีตอนช่วงเย็นถึงหัวค่ำ ซึ่งสิ่งที่คลีนิคคุณหมอตัวคนเดียวนั้นทำได้อย่างมาก ก็คือการบริหารเวลาในแต่ละนาที แต่ละชั่วโมง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้คุณอาจจะเคยเจอหมอที่คลีนิคพูดเร็วมาก บางทียังไม่ทันได้อ้าปากคุยกับคุณหมอ คุณหมอก็รีบเอ่ยปากอย่างรวดเร็วว่า ตรวจเสร็จแล้ว เชิญรับยาที่เค้าท์เตอร์ได้เลยนะ ซึ่งถ้าหากคุณหมอต้องการทลายข้อจำกัดด้านเวลาเพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโต อาจทำได้โดยสร้างสื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับการให้ความรู้ในการรักษาสุขภาพอาจอยู่ในรูปของหนังสือ podcast หรือวีดีโอ แล้วใช้สื่อเหล่านี้ ช่วยในการสร้างรายได้หลากหลายทาง มากยิ่งขึ้น และไม่มีข้อจำกัดด้านเวลามาปิดกั้นเพดานรายได้ของธุรกิจอีกด้วย

และนี่ก็คือสิ่งที่คุณ Kim จากช่อง Kim Property Live ได้ถ่ายทอดและเรียนรู้จากส่วนหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า The Millionaire Fastlane – เปลี่ยนเลนเป็นเศรษฐี ที่เขียนโดย MJ DeMarco

Resources

Exit mobile version