Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

5 บทเรียนล้ำค่าที่ Elon Musk ใช้เปิดตัว Cybertruck สร้างมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ใน 48 ชม. โดยไม่เสียค่าตลาดแม้แต่บาทเดียว

Elon Musk ได้ทำทั้งโลกฮือฮาอีกครั้งกับการเปิดตัว Cybertruck กระบะทรงล้ำยุคจากอนาคต ที่มีคนจองล่วงหน้าแบบพรีออเดอร์กว่า 146,000 คัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทางการตลาดที่สูงถึง 8,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือราว ๆ 240,000 ล้านบาท แถมยอดจองนี้เกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากที่ Elon Musk ได้เปิดตัว Cybertruck อย่างเป็นทางการ และ ณ ปัจจุบันนี้ก็มียอดจองหลั่งไหลเข้ามาไม่ต่ำกว่า 250,000 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พ.ย. 2019) แถมยังได้เงินดาวน์ที่ได้ล่วงหน้ามาจากการโอนจองของลูกค้ามาเข้ากระเป๋าของเขาในทันทีที่เป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือราว ๆ  750 ล้านบาท โดยที่ Elon Musk ไม่เสียค่าตลาดเลยแม้แต่บาทเดียว และนี่คือบทเรียนที่คุณสามารถเรียนรู้ได้จาก Elon Musk ว่าเพราะเหตุใด การเปิดตัวสินค้าใหม่ของเขาถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นนี้ แล้วเราจะนำเอาไปปรับใช้กับตัวเราหรือธุรกิจของเราอย่างไรได้บ้าง

บทเรียนที่ 1 – จงใจให้เกิดข้อถกเถียงกันในกระบวนการขาย Controversy Sells

ก่อนที่ Elon Musk จะจัดงานเปิดตัว Cybertruck นั้น เขาก็ได้สร้างกระแสมาตลอดผ่าน Twitter ส่วนตัวของเขา ยกตัวอย่างการ Tweet ว่า “Tesla made 0 cars in 2011, but will make around 500k in 2019” ที่แปลได้ว่า “ในปี 2011 Tesla ผลิตรถได้ศูนย์คัน แต่ในปี 2019 คาดว่าจะผลิตรถได้ราว ๆ ห้าแสนคัน” ที่สื่อต่าง ๆ ก็นำไปเล่นข่าวอยู่ในพื้นที่สื่อต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันที่เปิดตัว Cybertruck ด้วยดีไซน์และรูปทรงที่แปลกแหวกแนวแบบสุดขั้ว สวนทางกับดีไซน์ของรถทั้งโลกนั้น ก็ทำให้เกิดกระแสเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน คือถ้าคนไม่ชอบดีไซน์นี้ ก็จะเกลียดกันไปเลย บ้างก็ว่า นี่มันไม่ใช่รถของมนุษย์โลก มันเป็นรถของมนุษย์ชาวดาวอังคารมากกว่า (ซึ่งไม่แน่ อาจจะแผนที่ Elon Musk เตรียมรถดังกล่าวไปใช้ในการตั้งรกรากถิ่นฐานบนดาวอังคารก็เป็นได้) บ้างก็ว่าดีไซน์อย่างกับรถเลโก้ยังไงยังงั้น ไม่ก็เหมือนรถที่ออกมาจากเกม minecraft แต่ไม่ว่าผู้คนจะพูดถึงมันอย่างไร แต่คีย์ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าใครบนโลกใบนี้ ต่างก็พูดถึงแต่เรื่องของ Cybertruck ทำให้ Elon Musk ได้ออกสื่อสาธารณะแบบฟรี ๆ ทั่วโลก โดยไม่ได้จ่ายเงินให้พวกเขาเหล่านั้นเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งถ้าคิดจะจ่ายเงินเพื่อให้เข้าถึงคนได้ขนาดนี้ ต่อให้มีเงินเป็นล้านล้านบาทก็อาจจะไม่เพียงพอในการจ่ายค่าประชาสัมพันธ์ด้วยซ้ำไป มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะชื่นชม ด่าทอ แต่ขออย่างเดียวคืออย่าเมินเฉย

บทเรียนที่ 2 – ยกระดับแบรนด์ส่วนบุคคลในพื้นที่สาธารณะ Leverage Your Personal Brand

หากตอนนี้มีคนถามคุณว่า

  • คุณรู้ไหมว่า ใครคือ CEO ของ Ferrari
  • คุณรู้ไหมว่า ใครคือ CEO ของ Mercedes Benz
  • คุณรู้ไหมว่า ใครคือ CEO ของ Ford
  • แล้วคุณรู้ไหมว่า ใครคือ CEO ของ Tesla ก็ Elon Musk ไง

เพราะอะไร ทำไมคนถึงรู้จัก Elon Musk ในฐานะ CEO ของ Tesla แต่กลับไม่รู้จัก CEO ของแบรนด์อื่น ๆ เลย นั่นก็เป็นเพราะ พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยคิดที่จะสร้างและยกระดับ Personal Brand เลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่ Elon Musk นั้นทำ และการที่สร้างและยกระดับ Personal Brand มันส่งผลให้การออกสื่อต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก โดยจะได้รับเชิญไปในรายการทีวีต่าง ๆ เช่น รายการสัมภาษณ์, รายการพอร์ดแคส, รายการทีวีโชว์ หรือแม้กระทั่งเป็นนักแสดงรับเชิญในละคร แถมเป็นการเชิญไปออกสื่อฟรี ที่มีค่าตัวให้อีกด้วย แต่ในขณะที่หากแบรนด์องค์กรต้องการเข้าถึงสื่อเหล่านี้ กลับต้องจ่ายเงินเป็นผู้สนับสนุนเป็นแสนเป็นล้าน เพื่อที่จะได้ออกโฆษณาในรายการนั้น ๆ

ดังนั้นแทนที่ CEO จะหลบฉากอยู่หลังแบรนด์บริษัท แต่ Elon Musk กลับกระโดดออกมาฉากหน้าด้วย Personal Brand เฉกเช่นเดียวกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่าง Warren Buffett ก็ออกมาโปรโมท Berkshire Hathaway หรืออย่าง Richard Brandson ก็ออกมาโปรโมท Virgin โดยมีคำกล่าวที่น่าสนใจจากเหล่าบรรดานักธุรกิจที่ออกมาสร้าง Personal Brand ก็คือ  “When you have a strong personal brand, you could go to places that other people cannot go.” หมายถึง ชื่อเสียงที่คุณสั่งสมมานี้ มันจะนำพาคุณไปในที่ที่เงินหรือคนทั่วไปไม่สามารถไปได้

และในโลกยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สินค้าบางอย่างที่ปังในวันนี้ ไม่ได้การันตีว่ามันจะปังตลอดไป ดังนั้นหากไม่มีการสร้าง Personal Brand เวลาที่สินค้าเลิกฮิตหรือเลิกได้รับความสนใจจากตลาดไปแล้ว ก็อาจจะทำให้ธุรกิจล่มได้ แต่ในขณะที่การสร้าง Personal Brand อย่าง Elon Musk นั้น ในวันนี้เขาสามารถขายสินค้ารถไฟฟ้าอย่าง Tesla ได้ปัง ต่อมาอีก 2 เดือนหากเขาเปิดขายเที่ยวบินไปดาวอังคารกับ SpaceX ก็สามารถทำได้ในทันที เพราะผู้คนมักจะซื้อสินค้ากับคนที่พวกเขารู้จัก ผู้คนที่พวกเขาชื่นชอบและผู้คนที่พวกเขาเชื่อมั่น

ดังนั้นหากสร้าง Personal Brand ได้อย่างแข็งแกร่ง คุณจะสามารถทำอะไรให้ปังบนโลกใบนี้ก็ย่อมได้

บทเรียนที่ 3 – เป็นผู้นำในตลาดของคุณ Be a Leader in Your Market

ในกรณีแบรนด์รถยนต์เจ้าอื่น ๆ เวลาที่ออกสินค้าใหม่และต้องการโปรโมทสินค้านั้น ๆ พวกเขาจะต้องใช้การจ่ายเงินเพื่อลงโฆษณาตามช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โฆษณาบนทีวี, โฆษณาบนวิทยุ, โฆษณาบนหนังสือพิมพ์ หรือโฆษณาตามป้ายบิลบอร์ดต่าง ๆ โดยป่าวประกาศเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะหรือฟังก์ชั่นของตัวสินค้าเป็นหลักซะมากกว่า แต่ไม่ใช่การ Launch หรือการเปิดตัวอย่างที่ Elon Musk ทำกับ Cybertruck ที่เขาไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวสินค้าแต่เป็นการเปิดตัวบอกให้โลกนี้รับรู้ว่า กระบะยุคใหม่ที่มีดีไซน์ล้ำยุคได้ออกมาให้ชาวโลกได้ยลโฉมทั่วหน้าแล้ววันนี้

เฉกเช่นเดียวกันกับการ Launch หรือการเปิดตัวสินค้าอย่างที่ Steve Jobs เคยทำกับ iPod เอาไว้ โดยใช้วลีระดับตำนานด้วยประโยคว่า “1000 Songs in Your Pocket” แปลเป็นไทยได้ว่า “พันเพลงในกระเป๋าของคุณ”

แต่ที่ล้ำไปกว่านั้นก็คือ Cybertruck จะยังไม่เข้ากระบวนการโปรดักชั่นหรือเข้าสู่สายพานการผลิตจนกว่าจะเข้าสู่ปี 2021 และจนถึง ณ ตอนนี้มีการคาดการณ์ว่า น่าจะมียอดจอง Cybertruck เข้ามาแล้วไม่ต่ำกว่า 250,000 คัน โดยเปิดให้พรีออเดอร์หรือจองเข้าได้ด้วยเงินจองเพียง 100 ดอลล่าร์ฯ นั่นเท่ากับว่าตอนนี้ Elon Musk ได้เงินสดจากการขาย Cybertruck อยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว 25,000,000 ดอลล่าร์ฯ หรือประมาณ 750 ล้านบาท และหากทำสินค้าเสร็จแล้วส่งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะได้เงินทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตีเป็นเงินไทยก็ราว ๆ 3 แสนล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ยังมีรถตัวต้นแบบอย่างเดียวเท่านั้น โดยมีให้เลือกโมเดลรถอยู่ 3 แบบ 3 ราคา ก็คือ

  • Single Moter RWD $39,900
  • Dual Motor AWD $49,900
  • Tri Motor AWD $69,900

ซึ่งการมีตัวเลือก 3 ช้อยแบบนี้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายธุรกิจใช้กันอย่างแพร่หลายและประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อมีให้เลือก 3 ราคา ทางจิตวิทยาแล้ว ผู้คนก็มักจะเลือกราคากลาง ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็คือราคาที่ $49,900 ซึ่งจะทำให้ค่าเฉลี่ยต่อการเปิดบิลหนึ่งคนสูงขึ้นจากราคา $39,900 ถึง $10,000 เลยทีเดียว

และก็เป็นไปตามคาด เพราะยอดที่สั่งจองเข้ามาสัดส่วนแบ่งเป็น

  • Single Moter RWD : 17%
  • Dual Motor AWD : 42%
  • Tri Motor AWD : 41%

แต่ยิ่งไปกว่ายอดจองอย่างถล่มทลายที่เข้ามานั้น Elon Musk ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำพูดของนักการตลาดที่บอกว่า ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบรถกระบะนั้นจริงหรือไม่? ซึ่งจากตัวเลขยอดจองก็จะเห็นได้ว่า ผู้คนไม่ได้ไม่ชอบรถกระบะ แต่พวกเขาไม่ชอบรถกระบะที่มีอยู่ในท้องตลาดเท่านั้นเอง ดังนั้น Demand หรือความต้องการในท้องตลาดมีอยู่ และถ้าหากธุรกิจของคุณหาช่องว่างตรงนั้นเจอ นั่นแหละคือขุมทรัพย์ใหม่ของธุรกิจคุณเลยทีเดียว

บทเรียนที่ 4 – การขายโดยเปรียบเทียบความแตกต่าง Selling Against

ลูกค้ากว่า 250,000 คันที่จับจองรถ Cybertruck เข้ามานั้น ล้วนแล้วแต่โดนปิดการขายโดย Elon Musk ที่เขาขึ้นพูดอยู่บนเวที ซึ่งสิ่งที่ทำให้เขาสามารถปิดการขายได้นั้น เขาไม่ได้ใช้วิธีบอกว่ามีอะไรในรถกระบะคันนี้บ้าง แต่เขาใช้วิธีการบอกเล่าด้วยการเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างระกระบะคันอื่น ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาดแทน ด้วยวิธีการสาธิตสมรรถภาพของรถ Cybertruck กับรถกระบะยี่ห้ออื่น โดยการเริ่มต้นที่การออกแบบดีไซน์ว่า กว่าร้อยปีมาแล้ว กระบะก็ยังคงเป็นดีไซน์แบบเดิม ๆ ไม่ว่ากระบะรุ่นไหนยี่ห้อไหน ก็หน้าตาเหมือนเดิมกันเป๊ะ ถ้ามองผ่าน ๆ นี่ไม่รู้เลยว่าคันไหนเป็นยี่ห้อไหนหรือรุ่นไหนด้วยซ้ำ แต่ในขณะที่ Cybertruck นั้น มีการออกแบบแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ที่เรียกได้ว่า หากเห็นครั้งแรกแล้ว ยังไม่คิดว่ามันเป็นรถกระบะด้วยซ้ำไป โดย Elon Musk ให้เหตุผลการออกแบบด้วยความ Minimal ว่า เขานำส่วนที่ไม่จำเป็นออกตัวรถออกเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะห้องโดยสารภายใน จึงทำให้ Cybertruck นั้น สามารถบรรจุที่นั่งผู้โดยสารได้ถึง 6 ที่นั่ง ที่สามารถนั่งได้แบบสบาย ๆ ไม่ต้องเบียดเสียดกัน

ต่อมาเขาได้ให้ทีมงานสาธิตการทุบประตูรถด้วยค้อนปอนด์ ที่รถกระบะทั่วไปไม่ต้องเดาก็รู้ว่ายุบอย่างแน่นอน แต่ในขณะที่ Cybertruck ไม่มีขีดข่วนเลยแม้แต่น้อย โดย Elon Musk ยังบอกอีกว่า ชิ้นส่วนโลหะของ Cybertruck นั้น เป็นวัสดุชนิดเดียวกันกับที่เอาไว้สร้างจรวดยานอวกาศที่เขาใช้กับ SpaceX อีกด้วย

ต่อมาเขาได้เทสกระจกรถกระบะ ด้วยการนำก้อนเหล็กมาเขวี้ยงใส่กระจกรถ โดยครั้งแรกทดสอบกับกระจกตัวต้นแบบปรากฏว่าไม่แตกในขณะที่กระจกที่ใช้กับรถทั่วไปแตก แต่เมื่อวิศวกรของเขาได้ขว้างลูกเหล็กใส่กระจกรถของ Cybertruck กลับแตกซะอย่างงั้น แถมแตกซ้ำซ้อนถึงสองครั้ง เล่นเอา Elon Musk หน้าเสียกันเลยทีเดียว

และหนึ่งในการเปรียบเทียบสมรรถภาพของรถที่กลายเป็นไวรัลโด่งดังอย่างการชักกะเย่อกันระหว่าง Cybertruck กับ รถกระบะของ Ford ที่ Elon Musk สื่อให้เห็นว่า Cybertruck มีแรงขับเคลื่อนชนะแบบใส ๆ โดยจงใจให้ Cybertruck ออกตัวก่อนเพื่อให้เกิดกระแสวิพากย์วิจารณ์ (แถมยังจงใจเอียงมุมกล้องให้ลาดเอียงเพื่อที่ Elon Musk จะเล่นมุกว่า “เห็นไหมเราดึงขึ้นเขายังดึงรถกระบะ Ford ได้อย่างสบาย ๆ”) จนในที่สุดชาวเน็ตก็แห่กันวิพากย์วิจารณ์กันทั่วโลกว่า แน่จริงลองใหม่แล้วออกตัวดึงเชือกพร้อม ๆ กันสิ แล้วค่อยตัดสินใหม่ว่ารถกระบะใครแรงกว่ากัน จนเกิดข่าวโคมลอยขึ้นว่า ทาง Ford จะมีการทดสอบเอาคืน แต่สุดท้าย Ford ก็ออกมาบอกว่าไม่มีการทดสอบเอาคืนแต่อย่างใด แต่นั่นก็ไม่ใช้ประเด็น เพราะประเด็นที่แท้จริงคือ การที่มีผู้คนพูดถึง Cybertruck ไปทั่วโลกต่างหาก โดย Cybertruck ได้ออกสื่ทีวีแทบทุกช่องแบบฟรี ๆ แถมเหล่าบรรดาเซเล็ปที่มีโซเชียลมีเดียที่มีผู้คนติดตามนับล้านก็เอาประเด็นนี้ไปเล่นแบบไม่ต้องจ่ายค่าจ้างเลยด้วยซ้ำ นั่นแหละคือประเด็นที่แท้จริง

บทเรียนที่ 5 – ยอมรับข้อผิดพลาดอย่างเปิดเผย Reveal Your Flaws

จากข้อผิดพลาดในระหว่างการทดสอบความทนทานของกระจกรถ Cybertruck ที่แตกถึงสองครั้งในระหว่างงานการเปิดตัวแบบถ่ายทอดสดไปทั่วโลกในวันที่ 21 พ.ย. 2019 นั้น Elon Musk จึงไม่มีข้อแก้ตัวอย่างอื่น นอกจากยอมรับข้อผิดพลาดนั้น และเขาก็ให้คำมั่นว่าเขาจะนำไปปรับปรุงให้มันดียิ่งขึ้น จนกระทั่งในวันรุ่งขึ้นของวันที่ 22 พ.ย. 2019 เขาก็ได้โพสต์วีดีโอลง Twitter เพื่อทดสอบความแข็งแรงของกระจกรถอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ทีมงานวิศวกรก็ได้แก้ไขปัญหาที่ว่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่แรกเดิมทีกลายเป็นเรื่องขำขันบนโลกโซเชียลที่ Elon Musk หน้าแหกกลางงานแถลงข่าวสด แต่เมื่อชาวเน็ตได้เห็นวีดีโอที่แก้ไขปัญหาดังกล่าว ก็ต่างกลับพากันมาชื่นชม Elon Musk กันยกใหญ่ว่า เขาได้ทำตามที่พูดเอาไว้ได้จริง แต่ไม่ว่าการทำกระจกแตกกลางงานแถลงข่าวสดจะเป็นเพียงอุบัติเหตุหรือเป็นฉากที่จงใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดไวรัล แต่นั่นมันก็ทำให้ Cybertruck ถูกพูดถึงไปทั่วโลกอีกเช่นเคย โดยที่มีทั้งคนด่าและขำขันอย่างมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ได้วิกฤตในครั้งนี้เปลี่ยนให้เป็นโอกาสได้ในทันทีทันควัน เพราะหลังจากที่เขาแก้ปัญหาดังกล่าวได้นั้น ก็มียอดจองหลั่งไหลพรั่งพรูตามมาอีกบาน โดยในวันที่ 23 พ.ย. 2019 มีออเดอร์เข้ามากว่า 146,000 คัน โดยที่ไม่มีการลงโฆษณาหรือจ่ายเงินค่าประชาสัมพันธ์ใด ๆ เลยแม้แต่บาทเดียว เพราะผู้คนเชื่อมั่นว่า ก่อนที่ Elon Musk จะเอา Cybertruck คันจริง ๆ มาให้ขับ เขาจะต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน


และหากคุณเริ่มซีเรียสและจริงจังกับการเรียนรู้จากคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จอย่างสูง วันนี้คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลพรีเมี่ยมคอนเท้นต์ได้แล้วบน Blue O’Clock Academy ใน ซีรี่ย์ Top 10 Mentors : 10 สุดยอดบทเรียนจากมหาเศรษฐีรุ่นพี่สอนว่าที่มหาเศรษฐีรุ่นน้องคนต่อไป โดยคุณสามารถลงทะเบียนได้ในราคาพิเศษตามรายละเอียดที่ลิงค์ด้านล่างวีดีโอนี้ได้เลยครับ

Resources