ทักษะอย่างหนึ่งที่สำคัญของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีและจำเป็นต้องใช้ให้คล่องก็คือ การ Leverage โดยหมายถึงการใช้พลังทวีคูณ หากแปลตรงตัวจะแปลว่าการงัด โดยให้เรานึกถึงคานงัดที่เราออกแรงเพียงนิดเดียวบวกกับคานงัด ก็จะทำให้เราสามารถยกสิ่งที่หนักกว่าเราได้ หรือในทางธุรกิจจะได้ยินคำว่า “ทำน้อยให้ได้มาก” อยู่บ่อย ๆ
โดยการใช้พลัง Lerverage นี้ จะช่วยให้ธุรกิจนั้น สามารถขยายและเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ ตัวอย่างการใช้พลังทวีคูณ เช่น
พลังทวี วิธีที่ 1 OPT : Other People’s Time
เราต่างก็รู้กันดีว่า ทุกคนนั้นเกิดมามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน ดังนั้นหากต้องการมีเวลาที่จะทำอะไรต่าง ๆ ได้มากขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาของคนอื่นแทน ยกตัวอย่างเช่น CEO ของบริษัท จะจ้างคนอื่นเพื่อมาช่วยเหลือทำงานในด้านต่าง ๆ แทนตนเอง เช่น ตำแหน่ง รปภ., แม่บ้าน, พนักงานต้อนรับ, พนักงานเอกสาร, พนักงานบัญชี, เลขา ฯลฯ
ซึ่งแม้ว่า ในตอนเริ่มต้นสร้างธุรกิจใหม่ ๆ นั้น ตัวผู้ก่อตั้งหรือตัวเราที่เป็น CEO นั้น อาจจะทำงานทั้งหมดที่ว่าไปนั้นด้วยตัวคนเดียวทั้งหมด เพราะยังไม่มีทุนมากพอที่จะจ้างใครได้ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น และมีสิ่งสำคัญที่ทำได้เฉพาะ CEO เท่านั้น ให้คนอื่นทำแทนไม่ได้ ดังนั้น CEO จึงจำเป็นที่จะต้องโฟกัสในงานที่สำคัญที่สุด แล้วให้คนอื่น ๆ มาช่วยทำงานแทนในพาร์ทอื่นที่สามารถทำแทนได้
โดยการจ้างคนอื่นมาทำงานแทนเรานั้น มีหลักการคำนวณง่าย ๆ ก็คือ เมื่อรายได้ต่อชั่วโมงของเรามีมากกว่าคนที่เราจ้างมา ก็สามารถจ้างให้มาทำงานในตำแหน่งนั้นแทนเราได้ เพื่อแลกกับเวลาให้เราไปทำสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า เช่น จากเดิมที่เราไปส่งของให้ลูกค้าที่ไปรษณีย์เอง ต้องเสียเวลาเดินทาง เข้าแถวต่อคิวยาวเหยียด และแจ้งเลขพัสดุแก่ลูกค้า ซึ่งจะว่าไป อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะทำเสร็จ ซึ่งในเวลาหนึ่งวันที่เสียไปนี้ หากเราเอามาโฟกัสที่การขายของหรือคุยกับลูกค้าเพื่อปิดการขาย น่าจะคุ้มค่า ดังนั้น เราอาจจ้างพนักงานหนึ่งคนเพื่อให้รับผิดชอบเรื่องการส่งสินค้าไปเลย ซึ่งอาจเสียค่าจ้างเพิ่มเดือนละ หลักพันปลาย ๆ หรือหลักหมื่นต้น ๆ แต่คุณในฐานะเจ้าของธุรกิจ ในเวลาหนึ่งวันคุณมีโอกาสหาได้มากกว่านั้นอยู่แล้ว ซึ่งพอคำนวณแล้วมันก็คุ้มค่าที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับเวลาที่เพิ่มมากขึ้น
พลังทวี วิธีที่ 2 OPK : Other People’s Knowledge
แน่นอนว่า ในฐานะการเป็นนักธุรกิจ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ และจำเป็นที่จะต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ตัวคุณสามารถจะเรียนรู้เรื่องอะไรก็ได้ในโลกนี้เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่า คนเรามีเวลาจำกัดวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน ดังนั้น การที่เราเกิดมาชีวิตหนึ่ง เราจำเป็นที่จะเลือกเรียนรู้บางอย่างบางเรื่อง ที่เราชอบและสำคัญกับเรามาก ๆ เท่านั้น
ดังนั้น การอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญจากผู้อื่น จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมหาศาล ซึ่งคุณรู้ไหมว่า ขนาดมหาเศรษฐีพันล้าน หมื่นล้าน แทบทุกคน ต่างมีที่ปรึกษาและอาจารย์เป็นของตนเองแทบทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ มักมีที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งสามารถช่วยวางแผนเรื่องภาษีให้กับธุรกิจคุณได้เป็นอย่างดี คุณอาจจะจ้างที่ปรึกษาเป็นเงินหลักแสนต่อเดือน แต่ด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญของเขา เขาอาจช่วยให้ธุรกิจคุณประหยัดภาษี(ที่ถูกต้องตามกฏหมาย) ได้เป็นล้านบาท นั่นหมายถึงว่า หากคุณไม่มีที่ปรึกษาทางการเงินคนนี้ คุณอาจจะต้องเสียภาษีเป็นล้านแทนที่จะเสียเพียงค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญแค่แสนเดียว
พลังทวี วิธีที่ 3 OPM : Other People’s Money
การใช้เงินคนอื่น จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดที่สุดก็คือ การใช้เงินจากธนาคารในการขยายธุรกิจ เช่น หากต้องการขยายสาขาธุรกิจ คุณอาจจะต้องใช้เงินหลายล้านในการสร้างสาขาใหม่ แต่หากคุณมีเครดิตที่ดีจากสาขาแรก คุณสามารถไปต่อรองแบงค์เพื่อขอกู้เงินในการขยายธุรกิจได้ ซึ่งหากรอเอากำไรของสาขาแรก ไปขยายสาขาที่สอง อาจจะต้องใช้เวลานานจนไม่ทันการ เช่น สมมติว่า การขยายสาขา จำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวน 1 ล้านบาท โดยสาขาแรกนั้น ทำกำไรได้เดือนละ 1 แสนบาท ดังนั้นกว่าจะเก็บเงินได้ 1 ล้าน ก็ต้องใช้เวลาเก็บเงินถึง 10 เดือน ซึ่งหากเดินบัญชีและมีเครดิตที่ดีกับธนาคาร คุณอาจใช้การเดินบัญชี 6 เดือน ในการยื่นกู้ (แต่ส่วนใหญ่ในนามนิติบุคคล จะกู้แบงค์ได้ อย่างน้อยต้องดำเนินกิจการมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี) จะเห็นได้ว่า ร่นระยะเวลาในการขยายสาขาที่ 2 ลงหลายเดือน หรือถ้าดีกว่านั้น อาจได้เงินกู้ที่สามารถขยายสาขาที่ 3 ที่ 4 ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันเลยก็เป็นได้
หรือหากเป็นธุรกิจ Startup รุ่นใหม่ ๆ เพียงแค่มีไอเดียเจ๋ง ๆ และการพรีเซนต์ที่ดี ก็สามารถดึงดูดเงินจากนักลงทุนมาเริ่มต้นธุรกิจได้เลย โดยไม่ต้องรอเงินหยอดกระปุก (ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว จะมีสักกี่คนที่เก็บเงินได้เป็นล้านแล้วค่อยเริ่มต้นธุรกิจกันเชียว หรือถ้าเก็บเงินกันจริง ๆ อาจใช้เวลาหลายปีอยู่เหมือนกันกว่าจะได้เริ่มต้นธุรกิจ)
พลังทวี วิธีที่ 4 OPR : Other People’s Relationships
การใช้พลังจากความสัมพันธ์ของคนอื่น ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงของ Facebook ที่ Mark Zuckerberg ได้มีโอกาสรู้จักกับ Sean Parker ที่นำพาให้เขาได้ไปรู้จักกับ Peter Thiel ซึ่งกลายมาเป็นนักลงทุนคนแรกของ Facebook ด้วยเงินจำนวนกว่า 500,000 ดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ กว่า 15 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่า เงินจำนวนนี้ ส่งผลให้ Facebook จากเดิมที่เติบโตเฉพาะในกลุ่มนักศึกษามหา’ลัย กลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คสำหรับคนทั่วไปทั้งโลก โดยเงินทุนก้อนนี้ ทำให้ Facebook เติบโตจนมีสมาชิกเกิน 1 ล้านคนแรก ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งหากไม่มีเงินทุนก้อนนี้ Facebook อาจจะไม่ได้เติบโตรวดเร็วขนาดนี้ และนั่นคือการใช้ประโยชน์จากคอนเนคชั่นของคนอื่น ซึ่งแน่นอนว่าการที่จะทำแบบนี้ได้นั้น ธุรกิจของคุณก็จำเป็นที่จะต้องเป็นธุรกิจที่ดีเสียก่อน
พลังทวี วิธีที่ 5 Technology
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ รู้จักการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น การใช้ระบบ Automation การใช้ Sofeware เข้ามาช่วยในการทำงาน หรือแม้กระทั่งการใช้สมาร์ทโฟนเครื่องเดียว ก็สามารถจัดการงานได้หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่า มีหลายธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะมั่นคง แต่ไม่สนใจเรื่องของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทให้ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทเหล่านั้นต้องล้มหายตายจากไป เพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีในปัจจุบันได้ ยกตัวอย่างเช่น Kodak ที่แม้จะเป็นบริษัทแรก ๆ ที่สามารถคิดค้นการถ่ายภาพแบบดิจิตอลได้ แต่ด้วยความที่กลัวว่ามันจะกระทบกับยอดขายม้วนฟิล์มถ่ายภาพ จึงตัดสินใจที่จะไม่พัฒนากล้องดิจิตอลต่อ ซึ่งกลายเป็นว่า ในเวลาต่อมาไม่นาน คนทั้งโลกก็หันไปใช้กล้องดิจิตอลกันเกือบหมด จนแทบไม่มีใครซื้อม้วนฟิล์มอีกเลย ครั้นบริษัทจะปรับตัวก็ไม่ทันซะแล้ว จนบริษัทต้องล้มละลายในที่สุด เพียงเพราะผู้บริหารขาดวิสัยทัศน์ในเรื่องของเทคโนโลยี
และอีกไม่นานก็จะมาถึงยุคของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งคำถามก็คือ เราจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ว่านี้ มาช่วยให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างไรกันได้บ้าง
Resource:
- What Really Separates The Rich From The Poor And Middle Class – https://www.youtube.com/watch?v=RrUfXZPaxGE