Elon Musk คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในทศวรรษที่ 21 นี้ ที่ตลอดปีที่ผ่านมามีชื่อของเขาอยู่ในสื่อหลักต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเขาได้ถูกขนานนามว่า เป็นต้นแบบของ Iron Man โดย ณ ปัจจุบันเขาถูกจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 24 ของโลก โดยมีทรัพย์สินล่าสุดอยู่ที่ 21.1 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ กว่า 6.6 แสนล้านบาท และนี่คือ 7 คำแนะนำจากมหาเศรษฐีรุ่นพี่ ที่รุ่นน้องควรนำไปใช้
1. จงเชื่อมั่นในความคิดของคุณ
จุดเริ่มต้นของ Elon Musk นั้น แรกเริ่มเขาทำเว็บไซต์ที่เป็นเว็บรวบรวมเว็บไซต์ประเภทต่าง ๆ ในปี 1995 นั่นก็คือ Zip2 (ที่คล้าย ๆ กับ yellow pages หรือสมุดหน้าเหลือง แต่เป็นในเวอร์ชั่นออนไลน์) ซึ่งสมัยก่อนนั้นการใช้อินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายและยังไม่เป็นที่นิยม การที่จะหาลูกค้ามาสนใจลงโฆษณาบนเว็บนั้นหาได้ยากมาก เขากับพี่ชายได้ช่วยกันหาลูกค้า ซึ่งพวกเขานั้นยังเชื่อมั่นในความคิดที่ว่าสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นมันจะต้องสำเร็จ โดย Elon Musk ทำงานอย่างหนักเพื่อให้งานของเขาสำเร็จในเร็ววันจนในบางวันเขาได้หลับคาโต๊ะทำงานที่บริษัท
จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 บริษัท AltaVista(ซึ่งในปัจจุบันได้ถูก Compaq ซื้อกิจการไป) ซึ่งเป็น Serch Engine ยักษ์ใหญ่ ณ ขณะนั้น ได้ทำการติดต่อและเข้าซื้อกิจการของ Zip2 โดยจ่ายด้วยเงินสดจำนวน 307 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 9,500 ล้านบาท) และอยู่ในรูปของหุ้นอีก 34 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 1,000 ล้านบาท) รวม ๆ แล้ว Zip2 สามารถทำเงินได้กว่าหมื่นล้านบาท ซึ่ง Elon Musk มีหุ้นส่วนในบริษัทอยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ เขาจึงได้รับส่วนแบ่งประมาณ 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 680 ล้านบาท
2. เริ่มต้นธุรกิจให้เร็วและเป็นคนแรก ๆ ที่ทำ
หลังจากที่ขายกิจการ Zip2 ไปแล้ว Elon Musk เอง ก็ได้เริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ในทันที โดยเขามีความคิดริเริ่มที่อยากจะสร้างธนาคารออนไลน์ขึ้น ในวันที่โลกของอินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายเลยด้วยซ้ำ โดยเขาได้ก่อตั้งเว็บไซต์ทำธุรกิจกรรมทางการเงินออนไลน์ที่มีชื่อว่า X.com แต่ด้วยความที่ตัวของเขาเองนั้น ยังไม่ค่อยมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการเงินด้วยซ้ำไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะนั่นมันนำพาไปเขาได้ไปพบกับ Peter Thiel ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินและร่วมกันก่อตั้งเว็บไซต์การทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ที่ชื่อว่า Paypal.com ซึ่ง eBay ได้เข้ามาซื้อกิจการ Paypal ไปในราคา 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 46,500 ล้านบาท) โดย Elon Musk ได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวน 180 ล้านเหรียญฯ (หรือราว ๆ 5,500 ล้านบาท)
3. หมั่นศึกษาและทำการบ้านอยู่เสมอ
หลังจากผ่านยุคของ Steve Jobs ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในการพัฒนาให้โลกก้าวหน้าไปแล้ว ก็มี Elon Musk ในยุคนี้นี่แหละ ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้กับโลกได้ โดยเขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น Zip2 ของวงการเว็บไซต์, Paypal ของวงการการเงินออนไลน์, Tesla Motors วงการยานยนต์ และ SpaceX วงการอวกาศ
ซึ่งเมื่อตอนที่เขาก้าวเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมอวกาศ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างดูแคลน Elon Musk ว่า เขามันก็แค่มหาเศรษฐีอีกคนหนึ่ง ที่อยากจะลงมาถลุงเงินเล่นในอุตสาหกรรมนี้ เพียงเพราะเห็นว่ามันเป็นแค่งานอดิเรกที่คูล ๆ ของมหาเศรษฐีก็เท่านั้นเอง
แต่ก็ต้องผิดคาด เมื่อ Elon Musk มาพร้อมกับการทำการบ้านและศึกษาในธุรกิจอวกาศนี้มาเป็นอย่างดี เปิดตัวธุรกิจกันที ถึงกับทำให้ยักษ์ใหญ่ในวงการทุกคนต้องสะเทือน และ SpaceX เอง ก็ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการอวกาศโลกไปในที่สุด
4. เชื่อมั่นในทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรง
ในการรับสมัครทีมงานไม่ว่าจะเป็นทั้ง Tesla หรือ SpaceX โดยเฉพาะในตำแหน่งวิศกร ทาง Elon Musk จะเป็นคนเข้าไปสัมภาษณ์ด้วยตัวของเขาเอง เขาเปิดใจรับคนรุ่นใหม่ ที่มีทักษะใหม่ ๆ ไม่ยึดติดกับแบบเดิม ๆ ซึ่งแม้ว่าโอกาสที่มือใหม่จะทำผิดพลาดนั้นมีสูง แต่โดยธรรมชาติของคนรุ่นใหม่นั้น มักมีพลังงานและมีภาวะผู้นำอยู่สูง ซึ่งนั่นมันก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดสิ่งก้าวหน้าใหม่ ๆ ขึ้นได้ในที่สุด
5. ลบล้างความคิดฝังหัวแบบเดิม ๆ
สาเหตุหนึ่งที่ธุรกิจอวกาศยังไม่เป็นที่แพร่หลายสำหรับบุคคลทั่วไป หนึ่งในสาเหตุหลักก็คือ มันมีต้นสูงในการบินแต่ละครั้งสูงมาก เพราะทุกครั้งที่จะทำการปล่อยจรวดขึ้นไปบนอวกาศนั้น สามารถใช้ได้ครั้งเดียว ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
แต่ในขณะที่ Elon Musk ปฏิวัติด้วยการคิดสวนทางว่า “ถ้าจรวดที่ปล่อยแต่ละครั้ง สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้น?”
และในท้ายที่สุด หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นาน SpaceX ของ Elon Musk นั้น ก็สามารถสร้างจรวดอวกาศ ที่สามารถกลับมาลงจอดได้ใหม่หลังจากที่ถูกปล่อยออกไปแล้วได้สำเร็จ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ มันทำให้วงการอุตสาหกรรมอวกาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมันทำให้เข้าสู่ยุคที่ว่า ใคร ๆ ก็สามารถบินไปในอวกาศได้ กำลังเข้าใกล้มาถึงทุกขณะ
6. สู้ไม่ถอย ล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุย
Elon Musk เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ว่าจะเจออุปสรรคหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ตาม เขาจะไม่หนีและพร้อมจะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นทุกครั้งแทบจะในทันที
ตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่เขากำลังอยู่ในธุรกิจทำธุรกิจกรรมการเงินออนไลน์อย่าง Paypal.com ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาได้ปลีกตัวไปฮันนีมูนกับภรรยาที่ต่างประเทศ แต่ในขณะนั้นเอง ทางบอร์ดผู้บริหาร ก็ถือโอกาสนี้ ปลด Elon Musk ออกจากตำแหน่ง CEO ของบริษัท ซึ่งเมื่อ Elon Musk เมื่อได้ทราบข่าว ก็รีบบินกลับมาในทันทีที่ทราบเรื่อง และแม้ว่าตำแหน่ง CEO ของเขาจะหลุดมือไปแล้ว แต่เขายังคงเชื่อมั่นในตัวธุรกิจอยู่ และยังได้เพิ่มเงินลงทุนส่วนตัวของเขาลงในบริษัทเพิ่มเติมอีกด้วย
อีกเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อตอนที่เขาทำอยู่ที่ Tesla Motors ซึ่งเกิดวิกฤตที่เขาไม่สามารถผลิตรถส่งลูกค้าได้ทันตามกำหนด และบริษัทก็เริ่มเข้าสู่สภาวะใกล้ล้มละลาย ซึ่งทางบอร์ดผู้บริหารเอง ก็ต่างลงเสียงกันว่าจะไม่ระดมทุนต่อ ทาง Elon Musk จึงตัดสินใจนำทรัพย์สินของตัวเองที่มีอยู่เกือบทั้งหมดไปจำนองเพื่อนำเงินมาหมุนภายในบริษัท และในท้ายที่สุด บริษัทก็สามารถผ่านการล้มละลายและอยู่รอดได้ในที่สุด
7. จงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุก ๆ วันและดื่มด่ำเฉลิมฉลองกับความสำเร็จ
แม้ว่าตารางเวลาของเขาไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนก็ดูจะแน่นขนัดไปเสียหมด แต่ทุกครั้งที่เขาทำอะไรได้สำเร็จก็มักจะเฉลิมฉลองและให้รางวัลตัวเองอยู่เสมอ เช่น ในช่วงที่เขาขายบริษัท Zip2 ไปให้ Compaq และได้ส่วนแบ่งมาประมาณ 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 680 ล้านบาท จากเดิมที่เขาพักอาศัยอยู่กับเพื่อนอีก 3 คน ที่อพาร์เม้นท์ เขาก็ได้ย้ายไปคอนโดหรูที่มีขนาดกว่า 1,800 ตารางฟุตพร้อมกับรีโนเวทใหม่ทั้งหมด, ซื้อรถซุปเปอร์คาร์ Mclaren F1 ที่มีราคากว่า 1 ล้านเหรียญฯ ที่ผลิตขึ้นเพียง 62 คันบนโลกใบนี้และเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Dassault 900 ขนาด 12 ที่นั่ง อีกด้วย
และนี่ก็คือบทเรียนจาก Elon Musk ที่ส่งสารไปยังคนรุ่นใหม่ ที่หากต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจและหน้าที่การงาน ก็จงนำไปปรับใช้กับชีวิตของตนเอง
Resource