Noah Kagan อดีตพนักงานคนที่ 30 ของ Facebook ที่ถูกไล่ออกแบบสายฟ้าแล่บ เพราะไม่ลงรอยกับทีมผู้บริหาร จนถูกยึดหุ้น Facebook คืน ซึ่งคิดเป็นมูลค่า ณ ตอนนั้นกว่า 170 ล้านเหรียญฯ หรือกว่า 5,440 ล้านบาท โดยเขาได้แชร์ประสบการณ์อย่างละเอียดในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า How I Lost 170 Million Dollars: My Time as #30 at Facebook
ส่วนในโพสต์นี้ Noah Kagan จะมาแชร์ประสบการณ์และความรู้ที่เขาใช้ในการนำพาตัวเอง ที่เริ่มต้นจากพนักงานออฟฟิศธรรมดา ๆ สู่การเป็นเจ้าของกิจการเงินล้านได้ในที่สุด โดย ณ ปัจจุบันเขาเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Appsumo.com ที่เป็นเว็บขายดีลเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ ที่ใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำการตลาดและการขายเป็นหลัก เช่น ซอร์ฟแวร์ช่วยในการสร้างเว็บไซต์, รูปภาพถูกลิขสิทธิ์ออนไลน์, ซอร์ฟแวร์ตกแต่งภาพดิจิตอล, ซอร์ฟแวร์การทำการตลาดออนไลน์ ฯลฯ
โดย 1 ล้านดอลล่าร์ ถ้าตีเป็นเงินไทยก็ตกอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านกว่าบาท โดย Noah Kagan ได้แจกแจงให้ดูว่า แหล่งรายได้หลักของเขานั้น มาจากช่องทางใดบ้าง
- รายได้ช่องทางที่ 1 เงินเดือนจากบริษัท AppSumo 175,000 ดอลล่าร์ต่อปี เฉลี่ยเดือนละ $14,585.33 ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณปีละ 5.3 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 4.4 แสนบาท ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อปีแรกที่เขาพึ่งเริ่มก่อตั้ง Appsumo นั้น เงินเดือนที่เขาได้รับคือเดือนละ 0 บาท และกว่าจะได้เงินเดือนที่จุดนี้ก็ใช้เวลาไปกว่า 7 ปีด้วยกัน ซึ่งเงินเดือนระดับนี้ ก็ถือได้ว่าค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อกับที่เขาตรากตรำทำงานมา
- รายได้ช่องทางที่ 2 เงินโบนัสปลายปีจาก Appsumo ซึ่งเมื่อปี 2017 เขาได้รับเป็นเงินสดอยู่ที่ประมาณ 800,000 ดอลล่าร์ในช่วงสิ้นปี ตีเป็นรายได้รายเดือนก็ประมาณ $66,666,66 คิดเป็นเงินไทยก็จะได้ประมาณปีละ 24 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 2 ล้านบาทต่อเดือน เช่นเดียวกันช่วงปีแรก ๆ เขาไม่ได้เงินก้อนนี้เลย เพราะเขานำกำไรที่บริษัททำได้ ไปลงทุนต่อในตัวของบริษัท Appsumo เพื่อให้มันเติบโตมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
- รายได้ช่องทางที่ 3 Real estate หรือจากอสังหาริมทรัพย์ โดยเขามีทรัพย์สินอยู่ด้วยกัน 5 ชิ้น แบ่งเป็น
- ออฟฟิศ 3 แห่ง ซึ่งบริษัทเขาก็ใช้เองนี่แหละ แต่ก็มีบางส่วนที่ทำเป็น Co-woring space ที่เปิดให้บุคคลภายนอกมาเช่าใช้พื้นที่และอุปกรณ์ภายในออฟฟิศของเขา คิดเป็นรายได้เฉลี่ยเดือนละ $10,000 หรือ $120,000 ต่อปี คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ เดือนละ 3 แสนบาท หรือปีละ 3.6 ล้านบาท ซึ่งอย่าลืมว่าตัวของออฟฟิศนั้นก็มีค่าใช้จ่ายรายเดือนเช่นกัน ตกอยู่ที่เดือนละประมาณ $6,000 ดังนั้นเงินสุทธิที่เขาได้จากการให้เช่าออฟฟิศจะอยู่ที่เดือนละ $4,000 หรือประมาณ 1.2 แสนบาท
- บ้านสำหรับให้เช่าบนเว็บไซต์ Airbnb.com ซึ่งเขาได้วางเงินดาวน์ไว้ที่ $60,000 หรือประมาณ 1.8 ล้านบาท และปล่อยให้เช่าได้ค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ $10,000 ต่อปี ซึ่งหากคิดอัตราผลตอบแทนเขาจะได้ผลตอบแทนอยู่ที่ปีละ 16% ซึ่งเฉลี่ยได้กำไรเดือนละประมาณ $800 หรือประมาณเดือนละ 24,000 บาท แต่เมื่อเกิดวิกฤตไวรัส Covid-19 เงินก้อนนี้ก็กลายเป็นศูนย์ทันที แถมยังต้องหาเงินไปผ่อนธนาคารเฉลี่ยเดือนละ $2,000 หรือประมาณ 60,000 บาท เพราะไม่มีใครมาเช่าอีกต่อไป ก็เลยต้องควักเนื้อตัวเองในทุก ๆ เดือน
- และบ้านสำหรับอยู่อาศัยอีก 1 แห่ง ซึ่งเอาไว้ใช้อยู่เอง ไม่มีค่าเช่า
- รายได้ช่องทางที่ 4 – ลงทุนในหุ้น ตลาดเงิน กองทุนดัชนี (Stocks, Money Market, Index Funds) เขาได้รายได้เฉลี่ยเดือนละ $5,000 หรือประมาณ 1.5 แสนบาท ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากเงินปันผล โดยเงินก้อนนี้เขาไม่ได้โฟกัสมากนัก เพราะแทบจะไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย แต่มันก็ยังสร้างผลตอบแทนกลับมาใช้ได้เลยทีเดียว
- รายได้ช่องทางที่ 5 โฆษณาจาก Youtube ช่อง Noah Kagan ซึ่ง ณ วันที่ 27 ก.ค. 2020 เขามี Subscribers อยู่ที่ประมาณ 65,400 คน โดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณเดือนละ $1,500 หรือประมาณ 45,000 บาท ซึ่งอันที่จริงเงินก้อนนี้เกือบทั้งหมด ก็จ่ายให้กับทีมงานตัดต่อวีดีโอลงช่อง Youtube นี่แหละ เงินก้อนนี้แทบไม่ได้เข้ากระเป๋าของเขาเลย
- รายได้ช่องทางที่ 6 เงินลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ โดยเขาได้ลงทุนไปกับ 3 บริษัทด้วยกันคือ Buffer, Huckberry และ Teachable โดยการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ ไม่มีผลตอบแทนเป็นรายได้รายเดือน แต่เขาต้องใส่ไว้ เพื่อให้ผู้อื่นรับรู้ว่าเขานำเงินไปลงกับส่วนนี้เอาไว้ แต่ในส่วนของ teachable ก็มีได้เงินมาบ้างในช่วง 6 ปีล่าสุด เฉลี่ยเดือนละ $200 หรือประมาณ 6,000 บาท
- รายได้ช่องทางที่ 7 Affiliate หรือค่านายหน้าออนไลน์ ซึ่งตัวเขาเองก็มี Blog หรือเว็บไซต์ส่วนตัวอยู่ที่ชื่อว่า okdork.com ซึ่งก็มีการโปรโมทลิงค์ให้คนไปซื้อหนังสือ, กล้องถ่ายรูปและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ Amazon.com ก็จะได้อยู่ที่ประมาณ $50 – $500 ต่อเดือนหรือประมาณ 1,500 – 15,000 บาทต่อเดือน
- รายได้ช่องทางที่ 8 ขาย Ebook ผ่านบนเว็บไซต์ Amazon.com มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ $300 หรือประมาณ 9,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเขามีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ 2 เล่มคือ
- รายได้ช่องทางที่ 9 Freecallsto.com ที่เป็นเว็บไซต์หน้าตาหยั่งกับเว็บ spam ที่เขาสร้างเอาไว้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่ก็ดันยังทำเงินจากโฆษณาในเว็บไซต์ได้อยู่เฉลี่ยเดือนละ $50 หรือประมาณ 1,500 บาท
หากรวมรายได้ทุกช่องทางแล้ว เขาก็จะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ $83,333 หรือประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งคุณจะสังเกตได้ว่า รายได้กว่า 97% นั้นมาจาก Appsumo เป็นหลัก ก็ตามกฎ 80/20 หรือจะ 90/10 ที่รายได้ส่วนใหญ่กว่า 80-90% นั้นมาจาก 1-2 แหล่ง นั่นเท่ากับว่าแต่ละคนหากโฟกัสที่การทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เจ๋ง ๆ ไปเลยก็มีรายได้มากพอแล้ว เช่น Mark Zuckerberg ก็มี Facebook อย่างเดียวก็เหลือแหล่แล้ว
ส่วนถ้าใครมองว่าจู่ ๆ เขาก็ได้เป็นเศรษฐีเงินล้านขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็วแล้วนั้นไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะหากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงหลังเรียนจบ เมื่อตอนที่เขาอายุได้ประมาณยี่สิบต้น ๆ หลังจากเรียนจบเขาได้เข้าทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศก่อน
- ปี 2004 (อายุ 22 ปี) เข้าทำงานที่บริษัท Intel โดยมีรายได้ประมาณ $50,000/ปี เฉลี่ยเดือนละ $4,166.67 หรือประมาณ 1.25 แสนบาท ดูเหมือนจะเยอะสำหรับเด็กจบใหม่ แต่อย่าลืมว่าค่าครองชีพที่ต่างประเทศนั้นสูงกว่าบ้านเรามาก
- และต่อมาเงินเดือนที่ Intel ก็อัพขึ้นเนื่องจากเขาได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นทำให้มีรายได้อยู่ที่ $55,000/ปี หรือเฉลี่ยเดือนละ $4,583.33 ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1.38 แสนบาท
- ปี 2005(อายุ 23 ปี) ก็ได้ย้ายไปทำงานกับ Facebook มีรายได้อยู่ที่ $65,000/ปี หรือ $5,416.67/เดือน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.63 แสนบาท แต่แล้วก็โดนไล่ออก แถมยังโดนยึดหุ้น Facebook คืน ที่ ณ ตอนนั้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 170 ล้านเหรียญฯ หรือกว่า 5,440 ล้านบาทอีกด้วย แต่ตกงานอยู่ไม่นาน
- ปี 2006 (อายุ 24 ปี) เขาก็ได้ไปทำงานที่ mint.com โดยได้รับรายได้อยู่ที่ $100,000/ปี หรือ $8,333.33/เดือน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2.5 แสนบาท จนบริษัทถูกขายกิจการไป เขาก็ลาออกมา
- ปี 2007-2010 (อายุ 25-28 ปี) ในปีนี้นี่เอง ที่เขามีความฝันอยากจะลองมีธุรกิจเป็นของตัวเองดูบ้าง เลยลองสร้าง Game ดูก็ปรากฎว่า ในปีที่ 1 สามารถทำเงินได้กว่า $40,000/ปี และในปีถัดมาก็ทำเงินได้กว่า $75,000/ปี และต่อมาในปีที่สาม ก็มีรายได้ราว ๆ $120,000/ปี ตีเป็นเงินไทยช่วงนี้เขาก็มีรายได้ในช่วง 1 – 3 แสนบาท/เดือน แต่ก็ยังไม่ได้เงินก้อนแบบเป็นกอบเป็นกำอะไรสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเขาก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า จะทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือเอายังไงต่อดี ซึ่งเขาก็ได้คำตอบจากการคุยกับตัวเองว่า ตัวเขาเก่งเรื่องอะไรและสนใจเรื่องอะไรมากที่สุด 3 อันดับแรก นั่นก็คือ marketing, promoting และ good deals ทำให้
- ปี 2010 เริ่มต้นสร้าง Appsumo.com ขึ้นมา โดยในปีแรกนั้นเขาไม่มีเงินเดือนเลย เลยต้องประทังชีวิตด้วยการรับจ้างเป็นที่ปรึกษาในเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์อย่าง speeddate.com เพื่อให้เขาไม่ต้องกังวลว่าในแต่ละเดือนจะเอาเงินที่ไหนมาใช้
- ปี 2011 Appsumo.com $75,000/ปี หรือ $6,250/เดือน ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1.88 แสนบาทต่อเดือน
- และตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นไป เขาก็มีรายได้จาก Appsumo.com ทะลุ $100,000/ปี หรือ $8,333/เดือน ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 2.5 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งเขาจำกัดเงินเดือนตัวเองไว้ให้อยู่ในช่วง $100,000 – $150,000/ปี เพราะต้องการนำกำไรที่ทำได้ไปลงทุนให้บริษัทเติบโตให้มากที่สุดในระยะเวลาที่สั้นที่สุด แถมยังได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีได้อย่างมหาศาล จนกระทั่งในปีที่ 7
- ปี 2017 เงินโบนัสก้อนแรกของเขาก็ออกมา เพราะเขาสามารถทำให้บริษัทมีกำไรได้อย่างมากมาย เขาได้รับเป็นเงินสดอยู่ที่ประมาณ 800,000 ดอลล่าร์ในช่วงสิ้นปี บวกกับเงินเดือนจาก Appsumo.com อีก 175,000 ดอลล่าร์ต่อปี รวมเป็น $975,000/ปี และเมื่อรวมรายได้ทุกช่องที่กล่าวมาแล้ว นั้นก็ส่งผลให้เขา กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ในที่สุดนั่นเอง
โดย Noah Kagan ให้ได้ข้อคิดว่า “Play the long game reinvest your profits” หมายถึง จงเล่นเกมธุรกิจในระยะยาว จงนำผลกำไรที่บริษัทคุณทำได้นำไปลงทุนต่อภายในบริษัทให้เติโตอย่างรวดเร็ว แข็งแกร่งและมั่งคง
ซึ่งถ้านับตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน กว่าที่เขาจะกลายเป็น Millionaire หรือเศรษฐีเงินล้านนั้นเขาต้องใช้เวลาทำงานจริงจังอยู่ถึง 14 ปีเต็มด้วยกัน มันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า success overnight หรือรวยข้ามคืนเลยแม้แต่น้อย
และนี่คือ 8 กุญแจสำคัญ ที่ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ในที่สุด
กุญแจดอกที่ 1 – Low cost of living ใช้จ่ายให้น้อยเข้าไว้
โดยกุญแจสำคัญก็คือ ค่าเช่าบ้าน ค่าเช่ารถ ค่าเดินทางนั้น พยายามทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยส่วนตัวของ Naoh Kagan นั้น เขาอาศัยอยู่บ้านเช่าเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ มาก ๆ
ส่วนรถยนต์ก็ใช้รถเก๋งธรรมดา กันแดด กันฝนได้ก็พอ แถมถ้าได้ที่พักที่ใกล้กับที่ทำงานได้จะยิ่งดีมาก เพราะจะประหยัดได้ทั้งเวลาและค่าเดินทาง ซึ่งออฟฟิศของ Noah Kagan นั้นอยู่ใกล้กับที่ทำงานมาก โดยเขาใช้รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันเล็ก ๆ ที่สามารถขี่ไปทำงานได้ในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย
กุญแจดอกที่ 2 – The ten years rule กฎเหล็ก 10 ปี
จากเรื่องราวการเป็นเศรษฐีเงินล้านข้างต้นของเขา คุณก็จะเห็นได้ว่า เขาใช้เวลาเกินกว่า 10 ปี ที่กว่าจะมายืน ณ จุด ๆ นี้ได้ มันไม่ใช่การรวยแบบชั่วข้ามคืน ซึ่งกฎ 10 ปี นี้ ถือได้ว่าเป็นกฎเหล็กที่เขายึดถือให้เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด โดยมีกุญแจสำคัญที่จะทำให้กฎนี้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบนั่นก็คือ
- Realize ตระหนักรู้ – เมื่อแผนอนาคตคือช่วงเวลา 10 ปี มันจะทำให้คุณต้องเริ่มคิดและตระหนักอย่างถี่ถ้วนว่า คุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมใด ต้องการไปยืน ณ จุด ๆ ใดในวงการนั้น ๆ
- Exciting สิ่งที่น่าเร้าใจน่าตื่นเต้น – งานอะไรก็ตามที่คุณได้ทำแล้วรู้สึกตื่นเต้นรู้สึกสนุกไปกับมันได้ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีก็ไม่มีเบื่อ มันจะทำให้คุณมีพลังล้นเหลือ ไม่หมดไฟง่าย ๆ สามารถทำได้แบบลืมเหนื่อยไปเลย
- Do it now ทำทันที – ลงมือทำเดี๋ยวนี้เลย อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่ง
กุญแจดอกที่ 3 – Business is no limit to the amount of money ธุรกิจไม่มีเพดานรายได้
การทำงานประจำนั้นมีข้อจำกัดเรื่องรายได้ เพราะต่อให้คุณขยันมากแค่ไหน รายได้มันก็จะมีเพดานของมันอยู่ ยกเว้นในบบริษัทนั้นคุณจะได้รับผลประโยชน์จากการถือหุ้น หรือไม่ก็ทำในตำแหน่งที่หาเงินเข้าบริษัทอย่างเช่น นักขาย ที่แม้มีเงินเดือนไม่สูงมากนัก แต่หากยิ่งขายได้เยอะ รายได้ก็จะเยอะตามไปด้วย แต่ค่าคอมมิชชั่นหรือส่วนแบ่งค่านายหน้าจากเปอร์เซ็นต์การขายนั้น
ในขณะที่การสร้างบริษัทของตัวเองนั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณเลยว่า หากสามารถหาลูกค้าได้เยอะ ช่วยเหลือ ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้เยอะมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้รับรายได้มากขึ้นเท่านั้น
กุญแจดอกที่ 4 – Leverage ใช้พลังทวี
หลัก ๆ การใช้พลังทวีในการขยายธุรกิจให้เติบโตจนสามารถเป็นเศรษฐีเงินล้านได้นั้น เขาใช้อยู่ด้วยกันสองวิธีก็คือ
- วิธีที่ 1 – ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้งานทุกอย่างใกล้เคียงกับคำว่าอัตโนมัติมากที่สุด ออกแรงน้อยที่สุด จะเป็นซอร์ฟแวร์หรือเครื่องออนไลน์ตัวใดก็ได้ ที่ช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น มันจะส่งผลให้คุณมีเวลาเพิ่มมากขึ้น
- วิธีที่ 2 – ใช้ผู้คนมาช่วยทำงาน บริษัทคือการรวมตัวของกลุ่มคน ดังนั้น งานทุกอย่างภายในบริษัทหากคุณทำเองคนเดียวทั้งหมด มันจะเติบโตไปได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่า เวลาของเราในแต่ละวันมีเท่าเดิมนั่นก็คือ 24 ชั่วโมง ดังนั้น หากคุณต้องการเวลาเพิ่ม คุณจะต้องหาคนมาช่วยทำงานในแต่ละส่วน เพื่อให้คุณเหลือเวลาไปทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่มีเฉพาะคุณคนเดียวในบริษัทเท่านั้นที่ทำได้ แต่สิ่งนั้นมันจะส่งผลดีต่อบริษัทมากที่สุด
กุญแจดอกที่ 5 – Enjoy จงหาธุรกิจที่คุณสนุกกับการหาเงินจากมัน
ส่วนตัวของ Noah Kagan นั้น เขาไม่ได้ชอบหรือสนุกกับการลงทุนในหุ้นเหมือนอย่างที่ Warren Buffett รักเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นอย่าฝืนในสิ่งที่คุณไม่ชอบและไม่ถนัด ดังนั้นในส่วนของการลงทุนในหุ้น คุณก็อาจจะจ้างและมอบหมายให้ใครสักคนที่เก่งในด้านนี้ดูแลแทนคุณจะดีกว่า
โดยการที่จะประเมินว่า อะไรคือสิ่งที่คุณทำแล้วคุ้มมากที่สุด ให้วัดผลจาก ROI – Return On Investment ที่หมายถึง เมื่อลงทุน ลงเงิน ลงมือทำงานชิ้นนั้นแล้ว การทุ่มเวลา ทุ่มพลังงาน และแฮปปี้ที่จะทำนั้น มันส่งผลลัพธ์หรือสร้างรายได้ ได้คุ้มค่าหรือไม่ เพราะโดยปกติของคนเรานั้น หากทำอะไรด้วยความสนุก มันจะส่งผลให้ทำงานนั้น ๆ ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ และเมื่องานมันออกมาดีกว่าคนอื่น ๆ คุณก็มีสิทธิที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าคนอื่น ๆ นั่นเอง
กุญแจดอกที่ 6 – Double down แทงเพิ่มสองเท่า
นี่คือกลยุทธ์หลักที่ Noah Kagan ใช้ในการทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน นั่นก็คือการ Re-investment หรือการเพิ่มเงินลงทุนในธุรกิจ Appsumo ในตลอดช่วง 7 ปีแรกของการทำบริษัท ที่เขาไม่รับเงินโบนัสเลย ซึ่งแน่นอนว่าการเพิ่มเงินลงทุนมันก็มีความเสี่ยง แต่มันคุ้มที่จะเสี่ยง เพราะคุณรู้ดีว่า สิ่งนั้นมันมีโอกาสเติบโต และเป็นแหล่งสร้างรายหลักตามกฎ 80/20 หรือกฎ 90/10 ที่ Appsumo ของเขานั้น เป็นแหล่งรายได้หลักกว่า 97% เมื่อเทียบกับรายได้จากทุกช่องทาง
ดังนั้น คุณมีหน้าที่วิเคราะห์ว่า สิ่งใดที่คุณลงทุนแล้ว มีโอกาสสร้างผลลัพธ์ได้ดีที่สุด บางคนอาจเป็นอสังหาฯ บางคนอาจเป็นหุ้น บางคนอาจเป็นซอร์ฟแวร์ บางคนอาจเป็นการให้บริการ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จงลงทุนในสิ่งที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
กุญแจดอกที่ 7 – Solve your problem first เริ่มต้นที่การแก้ปัญหาให้กับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
จากกฎ 10 years rule นั้น ให้คุณเริ่มต้นที่ตัวของคุณเองก่อนว่า คุณสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษจริง ๆ อย่าทำตามกระแสเพียงเพราะเห็นคนนั้นคนนี้โพสต์ว่าเขาทำเงินได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะรวยจากการปลูกมะนาวขาย, บางคนขายครีมรวย บางคนทำอสังหาฯ รวย บางคนทำอีคอมเมิร์ซรวย ซึ่งหากคุณมีเป้าเพียงแค่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว คุณก็จะไขว้เขวเวลาที่เจอเรื่องราวแบบนี้ คุณก็จะไปทำอันนั้นทีอันนี้ที เปลี่ยนไปเรื่อย ไม่ประสบความสำเร็จสักกะที แล้วก็เกิดอาการซึมเศร้าว่าทำไมฉันทำไม่ได้อย่างเขาบ้าง
ในขณะที่อย่างน้อย คุณทำในสิ่งที่ตัวเองชอบตลอดระยะเวลา 10 ปี อย่างน้อยต่อให้คุณไม่ได้เงินจากมันเลย แต่คุณก็ยังคงมีความสุขที่ได้ทำมัน
กุญแจดอกที่ 8 – Surround yourself with the right people รายล้อมไปด้วยคนที่ใช่
โดย Noah Kagan แบ่งคนที่ใช่ออกเป็น 2 กลุ่มก็คือ
- กลุ่มที่ 1 – Rich people จงรายล้อมไปด้วยคนรวย เข้าหาคนรวย เพราะอย่าลืมว่าคนรวยก็มักจะหาคนที่ใช่ คนที่เก่ง คนที่สามารถทำให้เงินของเขางอกเงยได้ ดังนั้น คุณจะต้องรู้ว่า ตัวคุณสามารถทำอะไรให้พวกเขาได้บ้าง ที่คุณสามารถช่วยให้พวกเขามีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ซึ่งข้อดีก็คือ ต่อให้คุณไม่มีเงินในวันนี้เลยสักกะบาท แต่คุณมีไอเดีย มีแรงกาย แรงใจ และมีประสบการณ์ มีผลลัพธ์ที่ผ่านมาที่น่าสนใจ คนที่มีเงินก็พร้อมที่จะลงขันให้คุณด้วยเช่นกัน
- กลุ่มที่ 2 – Inspiration people จงรายล้อมไปด้วยคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวคุณ ยกตัวอย่างจากตัวเขาเองเช่น
- Tim Ferriss ผู้เขียนหนังสือ The 4-hour workweek
- Ramit Sethi ผู้เขียนหนังสือ I will teach you to be rich
- Tucker Max ผู้เขียนหนังสือ Assholes Finish First
- Charlie Hoehn ผู้เขียนหนังสือ Play It Away
เพราะก่อนที่เขาจะกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านนั้น เขาได้ติดตามคนเหล่านี้ จนกระทั่งกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านขึ้นมาจริง ๆ และเขาก็ติดตามคนเหล่านี้ต่อไป
แล้วหลังจากที่กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วรู้สึกยังไง?
Noah Kagan เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน เขาก็ได้กลับไปเยี่ยมคุณพ่อที่บ้านแล้วก็บอกกับพ่อว่า “พ่อครับปีนี้ผมทำเงินได้ 1 ล้านดอลล่าร์ฯ ครับ” โดยพ่อของเขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงธรรมดา ๆ ว่า “โอเค Noah เยี่ยมมาก”
ซึ่งถามว่า หลังจากเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วนั้น ภาพฝันของเขาก็น่าจะประมาณว่า มีการจัดงานฉลองใหญ่โต มีป้ายแห่บนท้องถนนยินดีกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่า มันก็เป็นชีวิตที่คุณจะต้องดำเนินต่อไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายขนาดนั้น
ดังนั้นหากวันนี้ถ้าคุณคิดว่า คุณเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วจะมีความสุขมากขึ้น จะเอาเงินไปซื้อความสุข ซึ่งอันที่จริง ณ ตอนนี้ คุณสามารถมีความสุขได้ในทันที ได้มากเท่าที่คุณต้องการอยู่แล้ว เพราะความสุขในหลาย ๆ เรื่องไม่ต้องใช้เงินเลยก็มี
ดังนั้น หากในวันนี้คุณไม่ได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน ก็ไม่เป็นไร เพราะขนาดของความฝันแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนพอใจเงินแสน บางคนพอใจเงินหมื่น ให้คุณลองคำนวณดูว่า ความฝันของคุณต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ต้องมีเงินซับพอร์ทความฝันนั้นเท่าไหร่ก็หาเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้น ตลอดชีวิตของคุณก็จะเอาแต่ไล่ล่าหาเงินไม่มีจุดที่สิ้นสุด หลายต่อหลายคนก็โดนความโลภเข้าครอบงำ มีล้านอยากได้สิบล้าน มีสิบล้านอยากได้ร้อยล้าน มีร้อยล้านอยากได้พันล้าน มันไม่มีจุดสิ้นสุดจริง ๆ
คำถามที่ Noah Kagan ตั้งคำถามที่น่าสนใจมาข้อหนึ่งก็คือ ในเมื่อคนรวย ๆ อย่าง Warren Buffett, Bill Gates หรือ Mark Zuckerberg มีเงินอย่างมากมายชนิดที่ว่าใช้ในชาตินี้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่พวกเขาทำไมยังคงทำงานอยู่ ซึ่งนั่นก็เพราะ พวกเขารักในสิ่งที่ทำ ชอบทำ สนุกที่จะทำนั่นเอง
Resources