Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Interview

สัมภาษณ์ Elon Musk ในงาน World Government Summit 2023 | Blue O’Clock Podcast EP. 47

Elon Musk ได้ให้สัมภาษณ์ในงาน World Government Summit 2023 ที่จัดขึ้นที่ประเทศดูไบ ผ่านระบบ Streaming ที่มีผู้เข้าร่วมงานที่เป็นผู้นำ คณะรัฐบาล และ CEO มากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก เข้ามาร่วมฟังบรรยายเกี่ยวกับหัวข้อของ Twitter, อนาคตของเทคโนโลยี, ปัญญาประดิษฐ์, การศึกษา, การทำงานหนัก และเอลี่ยน

Twitter

ทำไมไม่สร้างโซเชียลมีเดียอันใหม่ขึ้นมาเอง?

คำถามแรกที่พิธีกรได้ถามกับ Elon Musk ก็คือ ทำไมคุณถึงเข้าซื้อกิจการของ Twitter ทั้ง ๆ ที่ถ้าคุณสร้างเอง น่าจะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่านี้สำหรับคุณ?

โดย Elon Musk ได้ให้คำตอบว่า การเริ่มต้นอะไรจากศูนย์นั้น มันเป็นเรื่องที่ยากและใช้เวลาหลายปีกว่าที่มันจะโต ซึ่งการเข้าซื้อ Twitter นั้นจะเป็นเสมือนการเพิ่มอัตราเร่งให้เร็วยิ่งขึ้นในเฟสถัดไป โดยจะช่วยประหยัดเวลาได้ราว ๆ 3-5 ปี

เพราะเทคโนโลยีในยุคนี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ดังนั้นระยะเวลา 3-5 ปี มันเป็นเวลาที่มีค่าเอามาก ๆ

และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เขาต้องการให้สื่อโซเชียลมีเดียนั้น ไปในทิศทางที่เห็นถูกเห็นควรมากกว่านี้ โดยเขาอยากให้มันเป็นพื้นที่ที่ทุกคนบนโลก สามารถแสดงความเห็นได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกแบนหรือปิดกั้นจากแพลตฟอร์ม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การแสดงความเห็นดังกล่าว ก็จะต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายของแต่ละรัฐ แต่ละประเทศด้วย ซึ่งกฎหมายแต่ละแห่งก็มีความแตกต่างกันออกไป

อนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าของ Twitter

ส่วนวิสัยทัศน์ของเขาที่มีต่อ Twitter ในอีก 5 ปี ข้างหน้านั้น Elon Musk เขาบอกว่า เขาจะทำให้ Twitter มันเป็น Everything App หรือก็คือแอพพลิเคชั่นที่สามารถทำได้อย่างหลากหลาย

แต่เขาก็มีไอเดียที่เคยทำเอาไว้กับ X.com ที่เป็นระบบจ่ายเงินออนไลน์ ที่มีไอเดียบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ เพราะได้ผันไปเป็นระบบชำระเงินออนไลน์อย่าง paypal แล้วขายกิจการไปให้กับ eBay เสียก่อน

ดังนั้น เขาเลยคิดว่าจะนำไอเดียระบบ payment ออนไลน์ มารวมเข้ากับ Twitter

และนอกจากนั้น เขายังต้องการให้ Twitter เป็นสื่อที่รวบรวมข่าวสารที่เป็นความจริง เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง รวมไปถึงสื่อให้ความบันเทิงต่าง ๆ และเขาต้องการให้ Twitter เป็นระบบการสื่อสารที่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน

หรือพูดรวม ๆ ก็คือ อะไรที่มันอยู่ในรูปของดิจิตอล เขาก็จะยัดลง Twitter ให้หมดนั่นเอง ตามคอนเซ็ปต์ The everything App และเจ้า Twitter นี่แหละจะเข้ามาช่วยเร่งให้สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้เร็วยิ่งขึ้น

วิธีจัดการกับความขัดแย้ง ข้อมูลเท็จ บน Twitter

พิธีกรได้ถามกับ Elon Musk ว่า จะจัดการกับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือข้อมูลเป็นเท็จได้อย่างไรบ้าง เพราะตัวของพิธีกรเอง เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีกับข้อมูลที่เป็นเชิงลบบน Twitter ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเชื้อชาติ ความเชื่อ

ซึ่งทาง Elon Musk ตอบว่า เขาพยายามผลักดันสิ่งที่เรียกว่า community notes ที่เป็นชุมชนที่เปิดให้สมาชิกในกลุ่มพูดคุยในหัวข้อห้อเฉพาะเรื่อง เฉพาะอย่าง

ที่ตอนนี้จะยังมีแค่ภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในอนาคตเขาก็จะพยายามที่จะขยายให้คลอบคลุมทุก ๆ ภาษา

ซึ่งพยายามที่จะผลักดันให้สมาชิกนั้น แข่งขันกันให้ข้อมูลที่เป็นความจริง มากกว่าที่จะเปิดให้โหวตว่าใครมีคะแนนมากกว่ากัน

ส่วนถ้าให้ตรวจสอบการระบุตัวตนของแต่ละไอดีนั้น อันที่จริงแล้ว มันสามารถตรวจสอบได้ว่า ไอดีดังกล่าว แท้จริงแล้วเป็นใคร หรืออยู่ภายใต้อำนาจหรือเกี่ยวข้องกับอิทธิพลของใครอยู่หรือไม่ ซึ่งมันค่อนข้างที่จะทำระบบหลอกได้ยาก และด้วยความที่ Influencers แต่ละคนต่างก็ต้องการที่จะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ด้วย

ดังนั้นพวกเขาก็เลือกที่ปกป้องชื่อเสี่ยง มากกว่าการทำลายมัน

คำถามก็คือ แล้วอะไรล่ะคือความจริง?

เพราะความจริงของคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งอาจจะมองว่ามันไม่ใช่ความจริงก็ได้ ดังนั้นทาง Twitter ก็จะพยายามประเมินค่าให้ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งแน่นอนว่า มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ มันอาจจะไม่เพอร์เฟ็คท์หรอก แต่มันก็เดินไปในทิศทางที่ดีหากเดินไปในทิศทางนี้

ส่วนจำนวนเวลาที่ผู้คนได้ใช้อยู่บนแพลตฟอร์มนั้น แม้ว่าอยู่นานก็ยิ่งดี แต่ Elon Musk เขาเคยได้ยินผู้ใช้งานบน Tiktok ที่ใช้เวลาเฉลี่ยวันละ 1-2 ชั่วโมง เคยพูดว่า พวกเขารู้สึกผิดที่ใช้เวลาเสพย์คอนเท้นต์บนแพลตฟอร์มดังกล่าว

ดังนั้นตัวของ Elon Musk ก็อยากจะเอาบทเรียนตรงนี้ไปปรับใช้กับ Twitter ว่า อยากให้ผู้คนหันมาใช้ อาจจะแค่สักครึ่งชั่วโมงต่อวัน แต่รู้สึกว่าเข้ามาแล้วมีประโยชน์ ได้ความบันเทิง และได้สิ่งดี ๆ กลับไป

ส่วนคนที่มีอำนาจ คนที่อยู่ในรัฐบาล คนใหญ่คนโตนั้น ทาง Elon Musk ก็แนะนำว่า อยากให้ Tweet ข้อความด้วยตนเองมากกว่าจ้างทีมงานทำให้ และให้พยายามสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และเป็นตัวของตัวเอง เพื่อที่จะนำเสนอนโยบายใหม่ ๆ หรือข้อความที่อยากจะสื่อสารกับประชาชน

ซึ่งแน่นอนว่า แม้แต่ตัวของเขาเองก็มักจะถูกวิพากย์วิจารณ์อยู่บ่อย ๆ บน Twitter แต่ส่วนตัวเขามองว่ามันเป็นเรื่องผิวเผิน และไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากนัก เพราะบางครั้ง คนเราก็สื่อสารผิดพลาดกันได้ มันเป็นเรื่องปกติที่มีถูกมีผิด

แต่สิ่งสำคัญก็คือ เขาอยากให้พยายามใช้มันในการสื่อสารให้มาก ๆ เข้าไว้

Elon Musk จะลาออกจากการเป็น CEO Twitter

ซึ่งทาง Elon Musk ก็บอกว่า เขาจะลงจากตำแหน่ง CEO ของ Twitter ปลายปี 2023 นี้ แต่ก่อนนั้น เขาจะต้องทำให้บริษัทมีเสถียรภาพเสียก่อน มีสถานะทางการเงินที่ดี และทำให้มั่นใจว่าแนวทางของผลิตภัณฑ์จะไปถูกทิศทาง แล้วเดี๋ยวเขาจะหาคนที่เหมาะสมมาบริหารต่อแทน

อนาคตของเทคโนโลยีอีก 10 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?

โดย Elon Musk ก็บอกว่า การที่จะให้ทำนายอนาคตเทคโนโลยีอีก 10 ปี นับจากนนี้นั้น มันค่อนข้างที่จะทำนายได้ยาก ในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้

ยุคของ Sustainable Energy

แต่แนวโน้มของโลกตอนนี้เห็นได้ชัดว่า กำลังเข้าสู่ยุคของ sustainable energy ยุคของพลังงานยั่งยืน อย่างเช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ใช้แบตเตอร์รี่ และรถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

ยุคของรถไฟฟ้า

ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่าเปอร์เซ็นต์ในการเติบโตของรถไฟฟ้านั้นมันสูงมาก และมันจะค่อย ๆ เข้ามาแทนที่รถยน์ที่ใช้น้ำมันเกือบทั้งหมดในอีกราว ๆ 20 ปีข้างหน้านี้

ออกกฎควบคุม AI

ส่วนในระยะสั้น ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นแล้วก็คือเรื่องของ AI ปัญญาประดิษฐ์ ที่แม้ว่าตัวของ Elon Musk เองนั้น เขาจะมีส่วนร่วมในการร่วมก่อตั้ง OpenAI ที่เป็นบริษัทแม่ของเจ้า chatGPT ที่โด่งดัง ณ ขณะนี้ ซึ่งแต่เดิมทีที่เขาร่วมก่อตั้งมันขึ้นมานั้น มันก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็น open source แบบ non-profit หรือตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนทั่วโลกช่วยกันพัฒนาแบบไม่แสวงหาผลกำไร

แต่ตอนนี้ก็อย่างที่เห็นมันได้กลายเป็นบริษัทที่แสวงหาผลกำไร เริ่มเก็บเงินจากผู้ใช้งานแล้ว ซึ่ง ตอนนี้ส่วนตัวของ Elon Musk เองนั้น เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเจ้า chatGPT แล้ว เพราะเขาไม่ได้มีตำแหน่งใด ๆ ในบริษัท และไม่ได้เป็นประธาน กรรมการ หรือผู้บริหารกับที่นี่แล้ว

ซึ่งสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือ ผู้คนยังให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับ AI น้อยเกินไป ซึ่งคุณจะเห็นได้จากสิ่งที่เจ้า chatGPT สามารถทำได้ว่า มันมีความสามารถสูงแค่ไหน และอันที่จริงนั้น มันมีเวอร์ชั่นที่มีความสามารถขั้นสูงกว่าที่ปล่อยออกมาใช้อีกมาก

ดังนั้นเรื่องที่เร่งด่วนที่เราควรรีบทำเลยก็คือ การออกกฎควบคุม AI อย่างจริงจังและรัดกุม

เพราะเทคโนโลยีใดก็ตามที่มีโอกาสสร้างความเสี่ยงให้แก่พลเรือนได้นั้น จำเป็นต้องมีการควบคุม เฉกเช่นเดียวกับ วงการรถยนต์ เครื่องบิน หรือยารักษาโรค เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อสาธารณะชน

เพราะสังคมมนุษย์เรานั้นมีความสำคัญมากกว่าเทคโนโลยีอย่าง รถยนต์ เครื่องบิน และยารักษาโรค ดังนั้น AI ก็จำเป็นต้องมีกฎควบคุมมันด้วยเช่นเดียวกัน

ยกตัวอย่างจากเครื่องบินก่อนที่จะมีการออกกฎควบคุมอย่างเข้มงวดนั้น มันมีเหตุการณ์เครื่องบินตกบ่อยมากและทำให้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมีการออกกฎควบคุมก็ทำให้การเดินทางด้วยเครื่องบินปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

หรืออย่างในกรณีของรถยนต์นั้น กว่าที่จะมีมาตรการเรื่องของการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยนั้น มันก็ไม่ได้มีขึ้นมาแต่แรก แต่ผ่านไปกว่า 10-20 ปีนู่น ที่กว่าจะออกกฎเรื่องของการติดตั้งเข็มขัดนิรภัย และยิ่งติดตั้งถุงลมนิรภัยเข้าไปอีก ก็ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์ในปัจจุบันนั้นมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นสิ่งที่เขากังวลมาก ๆ เลยก็คือ ถ้าหาก AI มีความผิดปกติเกิดขึ้น เหล่าผู้ออกกฎนั้น จะมีการตอบสนองที่ช้าเกินไป จนอาจจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงไปแล้ว

ซึ่งแน่นอนว่า วลีที่สวยหรูของการมาของปัญญาประดิษฐ์นั้นก็คือ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

แต่อย่าลืมว่า ถ้าเอาประโยคนี้ไปใช้กับวงการฟิสิกส์ ที่คิดค้นนิวเคลียร์ขึ้นมาได้แล้วนั้น ข้อดีของมันก็คือ มันเป็นพลังงานสะอาดและเป็นพลังงานที่ยั่งยืนของโลกได้ แต่ข้อเสียของมันก็อย่างที่เราเคยรู้กันมาก็คือ มันเป็นอาวุธนิวเคลียร์ยิงถล่มใส่กันที่เกิดความเสียหายในวงกว้างได้ด้วย

ว่าด้วยเรื่องของการศึกษา

ด้านการศึกษาในระบบโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่เรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ปี ชั้นประถมศึกษา 6 ปี ชั้นมัธยมอีก 6 ปี จนไปถึงระดับมหาวิทยาลัยอีก 4 ปี รวมเป็น 19 ปี (ถ้ารวมเตรียมอนุบาลอีก 1 ปี ก็จะเป็น 20 ปีพอดี) นั้น

เรียนเรื่องเหล่านั้นไปทำไม?

ทาง Elon Musk เขามองว่า ไม่ว่าจะระดับชั้นใด สิ่งที่สำคัญก็คือ ผู้สอน จะต้องอธิบายให้เด็ก ๆ เข้าใจให้ได้ถึงความสำคัญของวิชาที่จะทำการสอนได้ว่า วิชาเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างไร และเรียนรู้ไปทำไม เรียนรู้ไปเพื่ออะไร

เพราะโดยปกติแล้ว สมองและจิตใจของคนเรานั้น มักจะถูกทำให้ลืมในเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญต่อชีวิต ดังนั้นถ้าผู้เรียนไม่เห็นความสำคัญของวิชาดังกล่าว พวกเขาก็จะลืมไปในที่สุด ซึ่งระบบความจำของสมองคนเรานั้น มีความจำที่แย่มาก เมื่อเทียบกับสมา์ทโฟนที่จำได้ทุกตัวอักษรที่อยู่ในสารานุกรมความรู้รอบโลกทุกเล่ม ทุกบรรทัด

ดังนั้นหากผู้เรียนเห็นถึงความสำคัญของวิชาที่จะเรียน มันจะมีแนวโน้มในการจูงใจให้เด็ก ๆ อยากที่จะเรียนรู้เรื่องดังกล่าว

โดย Elon Musk เขาได้ยกตัวอย่างวิธีการเรียนรู้ว่า ให้ผู้สอนชี้ให้เห็นถึงปัญหา และความสำคัญของการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสียก่อนว่า ถ้าหากรับรู้ถึงปัญหา และมีความอยากที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เพื่อให้โลกดีขึ้น เพื่อให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้นได้นั้น มันก็น่าสนใจว่า เช่น สมมติว่า สอนเกี่ยวกับระบบการทำงานของเครื่องยนต์กลไกของยานพาหนะ ว่าเครื่องยนต์นั้นมีปัญหาอะไร ทำไปทำไม แล้วจะแก้ไขอย่างไรนั้น มันสำคัญกว่าการที่แยกมันออกมาเป็นส่วน ๆ ตั้งแต่แรก ยันประแจ ไขควง

แล้วจู่ ๆ ก็มีวิชา วิธีการใช้ประแจ วิธีการใช้ไขควง ขึ้นมา ก่อนสอนเรื่องกลไกนั้น ผู้เรียนก็จะไม่รู้ว่า จะเรียนมันไปทำไม เรียนเพื่ออะไร เรียนแล้วได้อะไร มันก็จะไม่มีแรงจูงใจในการเรียนเรื่องดังกล่าว

ก็เหมือนกับหลาย ๆ คนที่เคยเรียนคณิตศาสตร์ขั้นสูงไป ในปัจจุบันกลับพบว่า ลืมเนื้อหาเหล่านั้นไปเกือบหมดแล้ว แล้วก็ตั้งคำถามประมาณว่า เรียนเรื่องนั้นไปทำไมกัน

สอนการคิดแบบ Critical Thinking

การคิดแบบ critical thinking นั้น คือการคิดและตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ โดยอาศัยหลักของเหตุและผล โดยมีข้อมูล หลักฐาน หรือข้อสนับสนุนที่ปราศจาก จากการใช้อารมณ์หรืออคติส่วนตัวในการตัดสินเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องมากที่สุด

ซึ่งทาง Elon Musk เขาบอกว่า ควรสอนการคิดแบบ critical thinking ให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่ยังมีอายุน้อย ๆ ซึ่งมันจะเป็นเสมือการติดตั้ง firewall ทางความคิดให้กับเด็ก ๆ คือเด็ก ๆ จะมีระบบความคิดที่คอยกรองและตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับมานั้นก่อนตัดสินใจ ว่าข้อมูลดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะถูกต้อง หรือมีแนวโน้มที่จะไม่ถูกต้อง ได้

ส่วนเรื่องของการจำกัดการใช้โซเชียลมีเดียของลูกของเขานั้น เขาบอกว่าจริง ๆ แล้วควรมีการควบคุม แต่เขาก็ไม่ได้คุม นั่นคือความผิดพลาด ซึ่งเด็ก ๆ ควรจะมีข้อจำกัดในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เพราะอย่างเด็ก ๆ บางคน ก็เติบโตมาพร้อมกับวีดีโอบน Youtube อยากเป็น Youtuber กันตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งความเห็นของเขาก็คือ ดูได้ แต่เราก็ต้องคอยดูและคอยให้คำแนะนำกับเด็ก ๆ ระหว่างที่เด็ก ๆ กำลังดูวีดีโอเหล่านั้นด้วย

เพราะถ้าคุณรู้ว่า หลักการทำงานของอัลกอลิทึ่ม จากพวกซิลิคอลวัลเล่ย์ทำงานอย่างไรแล้วล่ะก็ คุณคงไม่อยากให้เด็ก ๆ ถูกควบคุมด้วยอัลกอลิทึ่มเหล่านั้นแน่ ๆ

ไม่มีมหาวิทยาลัยก็ยังได้

ส่วนถ้าถามความเห็นของ Elon Musk เกี่ยวกับระบบการเรียนการศึกษาโดยปกทั่วไปแล้วนั้น ทาง Elon Musk เขาให้ความเห็นว่า การเรียนจนจบชั้นมัธยมปลาย หรือ ม.6 นั้นก็กำลังดี เพราะตอนนั้นอายุเรียนจบก็ครบ 18 ปีพอดี ซึ่งถึงวัยที่มีความคิดความอ่านที่เป็นผู้ใหญ่มากพอแล้ว

แต่การที่จะยัดความรู้แน่นเอียดต่อในช่วงมหาวิทยาลัยอีก 4 ปีนั้น เขามองว่า มันเยอะเกินไป ซึ่งถ้าจะตัดออกสัก 2-3 ปี ก็คงจะไม่เป็นอะไร

ทำงานวันละ 11 ชั่วโมง นอนวันละ 6 ชั่วโมง ตลอด 7 วันต่อสัปดาห์

เป็นที่รู้กันดีว่า Elon Musk นั้น เป็นคนที่ทำงานอย่างหนัก โดยเขาบอกว่า เขานอนเฉลี่ยวันละ 6 ชั่วโมง แล้วทำงานตลอด 7 วันต่อสัปดาห์แบบไม่มีวันหยุดพัก

ซึ่งมันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าเอาอย่าง เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังโอเคกับการทำงานเกือบ ๆ 80 ชั่วโมงต่อสปัดาห์ หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 11-12 ชั่วโมงต่อวัน

แต่ถ้าวันไหนเขานอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง เขาพบว่า เขาจะทำงานไม่มีประสิทธิภาพเลย ทั้ง ๆ ที่เวลาตื่นก็เยอะกว่า แต่กลับทำงานได้น้อยลง

ซึ่ง ณ ตอนนี้ เวลาทำงานส่วนใหญ่ของเขานั้น มักหมดไปกับที่ Twitter เพราะมันยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ในขณะที่ Tesla และ SpaceX นั้น เริ่มเข้าร่องเข้ารอย และบริษัทเริ่มรันได้ด้วยทีมงานเองได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ แต่เขาก็พอที่จะละงานจากมือได้บางส่วนบ้างแล้ว เพราะ Tesla ได้พ้นในช่วงที่จะเจ๊งแหล่ไม่เจ๊งแหล่ไปแล้ว ตอนนี้มันอยู่ในช่วงที่สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้แล้ว พ้นวิกฤตช่วงล้มละลายมาได้

ใช่ยานเอเลี่ยนหรือไม่?

คำถามสุดท้ายปิดงานสัมภาษณ์ในงาน World Government Summit 2023 พิธีกรได้ถาม Elon Musk ว่า ข่าวล่าสุดที่สหรัฐอเมริกายิงวัตถุปริศนาร่วง 3-4 วัตถุนั้น ใช่เอเลี่ยนหรือไม่?

โดย Elon Musk ก็ตอบว่า เขาคิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะเขายังไม่เคยเห็นเทคโนโลยี หรือสิ่งชีวิตจากนอกโลกเลย ที่เห็นก็มีแต่เทคโนโลยีจากมนุษย์ ที่เขาคิดว่า ที่ SpaceX น่าจะเป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับอวกาศที่ล้ำที่สุดในโลก ณ ตอนนี้แล้ว

Resources