100 ข้อคิด จาก Donal Trump
Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นักธุรกิจ เขาได้แบ่งปันประสบการณ์ มุมมอง และข้อคิดที่น่าสนใจ ทั้งในฐานะนักธุรกิจและผู้นำประเทศ และนี่คือ 100 ข้อคิด 100 บทเรียน ที่เราสามารถเรียนรู้ได้เขา
- Donald Trump เน้นย้ำถึงความสำคัญของภาษีนำเข้า (Tariffs): “คำว่าภาษีนำเข้าเป็นคำที่สวยที่สุดในพจนานุกรม สวยงามกว่าคำว่ารักซะอีก เพราะประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถร่ำรวยได้ด้วยการใช้ภาษีนำเข้าอย่างเหมาะสม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ (Economic Tools) เพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
- ในการเจรจากับประธานาธิบดี Emmanuel Macron แห่งฝรั่งเศส Trump กล่าวว่า : “เขาได้ยกหูโทรหากับ Emmanuel และบอกว่า ถ้าคุณเก็บภาษีบริษัทอเมริกัน ผมจะเก็บภาษีนำเข้า (Import Tax) 100% กับไวน์และแชมเปญของประเทศฝรั่งเศสของคุณ’ และหลังจากนั้นภายใน 2 นาที ประธานาธิบดี Emmanuel Macron แห่งฝรั่งเศส เขาก็ได้ยกเลิกการเก็บภาษีจากบริษัทอเมริกันทั้งหมด” นี่แสดงให้เห็นถึงการใช้นโยบายการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
- Trump เน้นความสำคัญของการได้รับความเคารพในการทูต (Diplomatic Respect): โดย Trump บอกว่า “พวกเขาไม่เคยพูดกับผมแบบนั้น พวกเขาเคารพผม พวกเขาเคารพประเทศของสหรัฐอเมริกาของเรา พวกเขาไม่เคารพ Joe Biden พวกเขาไม่เคารพ Kamala Harris” สิ่งนี้มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาพลักษณ์ผู้นำ (Leadership Image) ในเวทีโลก
- เรื่องการจัดการกับจีนและโรงงานผลิตรถยนต์ในเม็กซิโก Trump ได้ใช้นโยบายการกีดกันทางการค้า (Trade Barriers): โดยเขากล่าวว่า “ถ้าโรงงานนั้นยังอยู่ตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดี เขาจะเก็บภาษี 100% หรือ 200% กับรถทุกคัน จนกระทั่งพวกเขาขายรถไม่ได้ในสหรัฐอเมริกา” ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้มาตรการทางภาษี (Tax Measures) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ
- Trump เล่าถึงการเจรจากับกลุ่ม NATO (North Atlantic Treaty Organization ซึ่งเป็นการรวมตัวของประเทศพันธมิตรเพื่อการป้องกันประเทศ): โดย Trump เล่าว่า “ประเทศในกลุ่มสมาชิก NATO เคยไม่ยอมจ่ายเงินสนับสนุนให้อเมริกา Trump เลยเลยบอกกับพวกเขาไปว่า ‘ถ้าพวกคุณไม่จ่ายเงินสนับสนุนอเมริกา แล้วหากรัสเซียมารุกรานพวกคุณ ทางอเมริกาก็จะไม่ช่วยปกป้องคุณ’ หลังจากนั้นพวก NATO ก็ยอมจ่ายเงินหลายแสนล้านดอลล่าร์ ให้กับอเมริกา” แสดงให้เห็นว่า Trump ได้ใช้จุดแข็งของอเมริกาในการต่อรองให้ประเทศพันธมิตรร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
- Trump ได้พูดถึงจุดแข็งของประเทศสหรัฐอเมริกาในการเจรจาต่อรอง (Negotiation Power) ว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีทรัพยากรธรรมชาติทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้นำประเทศรู้จักจุดแข็งและทรัพยากร (Resources) ที่ประเทศของตนมีนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเจรจาต่อรองกับประเทศอื่น ๆ
- Trump มองว่าการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว (Personal Relationship) กับผู้นำประเทศอื่นเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเขาได้ยกตัวอย่างความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่า: “ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับประธานาธิบดี Xi Jinping (ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน) พวกเราเข้ากันได้ดีมาก และนี่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่แย่อย่างที่ใครหลายคนคิด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำประเทศนั้นมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จในการเจรจาระหว่างประเทศ
- Trump ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถของผู้นำประเทศ (Leadership Capability) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศจำเป็นต้องมีประธานาธิบดีที่มีความฉลาด เพราะมีเพียงผู้นำที่ฉลาดเท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับประเทศที่แข็งแกร่งอย่างรัสเซียได้ และสามารถจัดการกับปัญหาท้าทายอื่น ๆ ได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความฉลาดและความสามารถของผู้นำประเทศนั้นมีผลโดยตรงต่อความสำเร็จของประเทศ
- ในเรื่องความน่าเชื่อถือในการเจรจา (Credibility) Trump ได้เตือนว่า: “ในการเจรจากับบางประเทศนั้น เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะบางครั้งพวกเขาอาจจะรับปากว่าจะทำตามข้อตกลง แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ทำตาม แต่ประเทศเหล่านั้นก็รู้ดีว่าถ้าพวกเขาโกหกผม จะต้องเจอกับผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาคำพูดและความน่าเชื่อถือในการเจรจาระดับนานาชาติ
- Trump ได้พูดถึงผลเสียของการแสดงความอ่อนแอ (Weakness) ในการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศต่าง ๆ ไม่เคารพ Joe Biden เพราะเขาแสดงออกถึงความอ่อนแอ และพวกเขายิ่งฝันอยากให้ Kamala Harris ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เพราะเธอแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้นำประเทศแสดงจุดอ่อนในการเจรจาระหว่างประเทศนั้น จะทำให้ประเทศเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง
- Trump ได้พูดถึงอำนาจในการเจรจาต่อรองของประเทศสหรัฐอเมริกา (Negotiation Power) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีอำนาจมหาศาล และถ้าผู้นำรู้วิธีใช้อำนาจนั้นอย่างชาญฉลาด เราก็สามารถหยุดสงครามต่าง ๆ ได้เพียงแค่ใช้มาตรการทางภาษีนำเข้าเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic Power) อย่างชาญฉลาดนั้น สามารถช่วยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทางทหารในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศได้
- Trump ได้พูดถึงกลยุทธ์ในการเจรจา (Negotiation Strategy) โดยเขากล่าวว่า: “ผมไม่อยากจะเปิดเผยวิธีการที่ผมจะใช้ในการเจรจา เพราะถ้าผมเปิดเผยวิธีการเหล่านั้นออกไป ผมจะไม่มีวันได้ข้อตกลงที่ดีในการเจรจาอีกเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเก็บกลยุทธ์การเจรจาไว้เป็นความลับ (Strategic Secrecy) เพื่อรักษาความได้เปรียบในการเจรจา
- Trump ได้เล่าถึงการใช้อำนาจในการควบคุมบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Apple โดยเขาเล่าว่า: “บริษัท Apple มีเงินทุนอยู่นอกประเทศหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่พวกเขาไม่สามารถนำเงินเหล่านั้นกลับเข้ามาในประเทศได้ เพราะจะต้องเสียภาษีถึงครึ่งหนึ่งของเงินที่นำเข้ามา ซึ่งไม่มีบริษัทไหนอยากจะทำแบบนั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับนโยบายภาษี (Tax Policy) เพื่อดึงดูดให้บริษัทอเมริกันนำเงินทุนกลับเข้าประเทศ
- Trump ได้พูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมชิป (Semiconductor Industry) โดยเขากล่าวว่า: “แทนที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินภาษีของประชาชนไปสนับสนุนบริษัทที่รวยอยู่แล้วเพื่อให้มาสร้างโรงงานผลิตชิป เราเพียงแค่ต้องเก็บภาษีนำเข้าชิปในอัตราที่สูง และบริษัทเหล่านั้นก็จะตัดสินใจมาสร้างโรงงานในอเมริกาเอง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้นโยบายภาษี (Tax Policy) แทนการใช้เงินภาษีประชาชนในการสนับสนุน (Subsidy) ภาคเอกชน
- Trump ได้อธิบายถึงวิธีการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยเขากล่าวว่า: “ผมจะขอเข้าพบกับประธานาธิบดี Putin โดยตรง เพราะผมรู้ดีว่าต้องพูดอะไรกับเขา และผมเชื่อมั่นว่าในฐานะว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป ผมจะสามารถยุติสงครามครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทูตระดับสูง (High-level Diplomacy) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
- Trump ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องตัดสินใจเรื่องลิขสิทธิ์ในรายการ The Apprentice (TV Show Rights) โดยเขาเล่าว่า: “ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ได้มาขอให้ผมต่อสัญญารายการ และ Mark Burnett ผู้อำนวยการสร้างรายการได้พูดกับผมว่า ‘คุณคงบ้าไปแล้วที่จะทิ้งรายการนี้ไป อย่าไปลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเลย เพราะไม่เคยมีใครยอมทิ้งรายการไพรม์ไทม์ที่ประสบความสำเร็จแบบนี้มาก่อน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการที่ Trump ต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับการเสียสละเพื่อรับใช้ประเทศ (Personal Interest vs Public Service)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายการจัดการกับประเทศอิหร่าน (Iran Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนนี้ประเทศอิหร่านไม่มีเงินเหลือแล้ว พวกเขาไม่มีเงินที่จะส่งให้กลุ่ม Hezbollah และไม่มีเงินที่จะสนับสนุนกลุ่ม Hamas ผมได้แจ้งกับประเทศจีนไปอย่างชัดเจนว่า ถ้าพวกเขายังซื้อน้ำมันจากอิหร่าน แม้จะเป็นแค่หนึ่งบาร์เรล พวกเขาจะไม่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) เพื่อควบคุมประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองระหว่างประเทศ
- Trump ได้เล่าถึงประสบการณ์การเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือ Kim Jong Un (North Korea Negotiations) โดยเขาเล่าว่า: “อดีตประธานาธิบดี Obama เคยคิดว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องทำสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลังจากที่ผมได้เข้าพบกับผู้นำ Kim Jong Un แล้ว เราก็ไม่มีปัญหาความขัดแย้งใด ๆ กับเกาหลีเหนือเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทูตแบบพบปะตัวต่อตัว (Personal Diplomacy) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง (Middle East Conflict) โดยเขากล่าวว่า: “ถ้าประเทศอิสราเอลยอมทำตามคำแนะนำของประธานาธิบดี Biden ตอนนี้อิสราเอลก็คงถูกโจมตีด้วยระเบิดไปแล้ว แต่อิสราเอลตัดสินใจที่จะไม่ทำตามคำแนะนำของเขา และผมคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปล่อยให้ประเทศพันธมิตรมีอิสระในการตัดสินใจ (Allied Autonomy) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตนเอง
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Arms Race) โดยเขากล่าวว่า: “อาวุธที่สหรัฐอเมริกามีในปัจจุบันนั้นมีอานุภาพที่น่ากลัวมาก ในช่วงที่ผมเป็นประธานาธิบดี ผมได้สั่งให้มีการพัฒนาอาวุธเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะผมเชื่อว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คืออาวุธนิวเคลียร์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความได้เปรียบทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ (Military Superiority) เพื่อป้องปรามศัตรูของประเทศ
- Trump ได้เล่าถึงประสบการณ์วันแรกของเขาในทำเนียบขาว (First Day in White House) โดยเขากล่าวว่า: “มันเป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและน่าประทับใจมาก เมื่อผมได้ยืนอยู่ในระเบียงที่สวยงามของทำเนียบขาว และสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีใครพูดถึงความงดงามภายในทำเนียบขาวเลย ในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจที่คลุกคลีกับธุรกิจหรูหรามาก่อน ผมสังเกตเห็นว่าระเบียงมีความกว้างถึง 25 ฟุต เพดานสูง และทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างสวยงามมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักธุรกิจสู่การเป็นผู้นำประเทศ (Business Leader to Political Leader Transition)
- Trump ได้เล่าถึงความท้าทายในการแต่งตั้งคณะทำงาน (Cabinet Appointments) โดยเขากล่าวว่า: “ในการบริหารประเทศนั้น ประธานาธิบดีจะต้องทำการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ประมาณ 10,000 ตำแหน่ง โดยแต่ละกระทรวงจะต้องมีการแต่งตั้งทีมงานของตัวเองประมาณ 100-200 คน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้บัญชาการทหาร” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการบริหารจัดการบุคลากรระดับสูงของประเทศ (High-level Personnel Management)
- Trump ได้พูดถึงความยากลำบากในการเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงาน (Personnel Selection) โดยเขายอมรับว่า: “ผมไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงานภาครัฐมาก่อน และคุณต้องเข้าใจด้วยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเคยไปกรุงวอชิงตันแค่ 17 ครั้งเท่านั้น และไม่เคยพักค้างคืนที่นั่นเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของผู้นำที่มาจากภายนอกวงการการเมือง (Political Outsider Challenges)
- Trump ได้อธิบายถึงปัญหาของการเลือกคนนอกวงการการเมืองเข้ามาทำงาน (Non-politician Appointments) โดยเขากล่าวว่า: “การเลือกคนที่ไม่ใช่นักการเมืองเข้ามาทำงานนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่จะผ่านการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ถ้าคุณเลือกนักธุรกิจเข้ามา พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยผ่านการตรวจสอบมาก่อนเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในการแต่งตั้งผู้บริหารที่มาจากภาคเอกชน (Private Sector Executive Appointments)
- Trump ได้เล่าถึงลักษณะของผู้นำในกรุงวอชิงตัน (Washington Leadership Types) โดยเขากล่าวว่า: “ผู้นำส่วนใหญ่ในกรุงวอชิงตันเป็นพวกที่ไม่กล้าตัดสินใจ (Stiffs) พวกเขาเป็นพวกที่คิดแต่จะเอาตัวรอด ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่มีความเสี่ยง และไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของวัฒนธรรมการเมืองที่เน้นการเอาตัวรอดมากกว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ (Political Survival Culture)
- Trump ได้เล่าถึงสถิติที่น่าสนใจของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในประวัติศาสตร์ (Presidential History Statistics) โดยเขากล่าวว่า: “ตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 92 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็นนักการเมืองอาชีพ และมีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มาจากกองทัพ เช่น นายพล Eisenhower และ นายพล Washington แต่ไม่เคยมีนักธุรกิจหรือคนที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งมาก่อนได้ดำรงตำแหน่งนี้เลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของการที่มีประธานาธิบดีที่มาจากภาคธุรกิจ (Business Background President)
- Trump ได้พูดถึงประสบการณ์ในการจัดการกับสื่อมวลชน (Media Management) โดยเขากล่าวว่า: “สถานีโทรทัศน์ CNN ด้วยความที่พวกเขาคิดว่าตัวเองฉลาด พวกเขาชอบที่จะนำเสนอและเน้นย้ำคำพูดที่แรง ๆ ของผม แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ผมได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่นักการเมืองพูดแต่สิ่งที่เตรียมตัวมาอย่างดี” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความจริงใจและความตรงไปตรงมาในการสื่อสาร (Authentic Communication) สามารถเอาชนะการโจมตีของสื่อได้
- Trump ได้เล่าถึงการทำงานร่วมกับ Mark Burnett ผู้ผลิตรายการ The Apprentice (TV Show Producer) โดยเขาเล่าว่า: “Mark Burnett ได้พูดกับผมว่า ‘คุณคงจะบ้าไปแล้วที่จะทิ้งรายการนี้ไป อย่าไปลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเลย เพราะไม่เคยมีใครยอมทิ้งรายการไพรม์ไทม์ที่ประสบความสำเร็จเพื่อไปแข่งขันกับคนอีก 20 คน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่กล้าหาญของ Trump ในการที่จะทิ้งความสำเร็จที่มีอยู่เพื่อไปเผชิญกับความท้าทายใหม่ (Risk-taking Decision)
- Trump ได้อธิบายถึงความสำคัญของการมีอารมณ์ขันในการเป็นผู้นำ (Sense of Humor in Leadership) โดยเขากล่าวว่า: “ในการทำธุรกิจการเมืองนี้ คุณจำเป็นต้องมีทัศนคติแบบนักตลกบ้าง เพราะการเมืองเป็นธุรกิจที่อันตรายที่สุด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการมีอารมณ์ขันนั้นสามารถช่วยในการจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้นำได้ (Stress Management through Humor)
- Trump ได้พูดถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตก่อนและหลังการเป็นประธานาธิบดี (Life Changes) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีเปรียบเสมือนการมีชีวิตสองชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าผมจะมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากที่จะทำหน้าที่นี้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการที่ Trump ยอมเสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อการรับใช้ประเทศ (Personal Sacrifice for Public Service)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับผู้บริหารระดับสูงอย่าง John Kelly (Senior Staff Management) โดยเขากล่าวว่า: “John Kelly เป็นคนประเภทที่ชอบข่มขู่ผู้อื่น (Bully) แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนแอ และคุณน่าจะเข้าใจเรื่องพวกคนชอบข่มขู่ได้ดีกว่าใคร เพราะคุณทำงานในวงการกีฬาที่พฤติกรรมแบบชอบข่มขู่จะถูกเปิดโปงอย่างรวดเร็ว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของผู้ใต้บังคับบัญชา (True Character Assessment)
- Trump ได้เล่าถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับ John Bolton (Advisor Selection) โดยเขาเล่าว่า: “คุณ Phil Ruffin ได้โทรมาเตือนผมว่าอย่าเลือก Bolton เพราะเขาเป็นคนไม่ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง Bolton ก็มีประโยชน์สำหรับผม เพราะทุกครั้งที่ผมต้องเจรจากับประเทศอื่น เมื่อพวกเขาเห็นคนที่มีลักษณะก้าวร้าวอย่าง Bolton ยืนอยู่ข้างหลังผม พวกเขาก็จะเกรงกลัวว่าผมอาจจะตัดสินใจทำสงคราม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ภาพลักษณ์ของทีมงานให้เกิดประโยชน์ในทางการทูต (Strategic Team Image)
- Trump ได้พูดถึงการเลือกทีมทหาร (Military Team Selection) โดยเขากล่าวว่า: “ผมมีนายพลที่มีความสามารถยอดเยี่ยมหลายคน ซึ่งไม่ใช่พวกที่คุณเห็นออกสื่อทางโทรทัศน์ แต่เป็นพวกที่ช่วยผมในการปราบปรามกลุ่ม ISIS ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเป็นคนที่มีความแข็งแกร่ง ไม่ใช่พวกที่อ่อนแอหรือคล้อยตามกระแสสังคมแบบ Woke” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกผู้นำทางทหารที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน (Military Leadership Effectiveness)
- Trump ได้อธิบายถึงความผิดพลาดในการจัดการกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน (Afghanistan Failure Management) โดยเขากล่าวว่า: “ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในการถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานคือการถอนทหารออกมาก่อน แม้แต่คนที่มีสติปัญญาน้อยก็ยังรู้ว่าการถอนทหารควรจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่พวกเขากลับเลือกที่จะถอนทหารออกมาก่อน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องในการบริหารจัดการวิกฤต (Crisis Management Sequence)
- Trump ได้เล่าถึงการตัดสินใจในภาวะวิกฤต (Crisis Decision Making) โดยเขาเล่าว่า: “ในตอนที่ผมถูกลอบยิงนั้น ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความเป็นจริงแต่อย่างใด ผมรู้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้ว่าผมโดนยิงตรงส่วนไหนของร่างกาย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาสติและความชัดเจนในการตัดสินใจแม้ในสถานการณ์วิกฤต (Clear-headed Crisis Response)
- Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการเดินทางทางอากาศของประธานาธิบดี (Presidential Air Travel) โดยเขากล่าวว่า: “ในเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Air Force One นั้น นักบินทุกคนล้วนเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ พวกเขามีบุคลิกที่หล่อเหลากว่านักแสดง Tom Cruise เสียอีก เพราะพวกเขาคือนักบินที่เก่งที่สุดของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศในทุกตำแหน่งหน้าที่ (Excellence in Every Position)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการความปลอดภัย (Security Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในระหว่างที่เครื่องบินของเราบินเข้าใกล้น่านฟ้าประเทศอิรัก เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ปิดไฟทั้งหมดภายในเครื่อง ซึ่งผมคิดว่า ‘นี่เราใช้งบประมาณไปถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ แต่เรายังต้องมาบินในความมืดแบบนี้อีกหรือ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลของระบบราชการ (Bureaucratic Inefficiency)
- Trump ได้อธิบายถึงวิธีการบริหารเวลาของเขา (Time Management) โดยเขากล่าวว่า: “ผมไม่ได้หยุดพักผ่อนมาเป็นเวลา 56 วันแล้ว เพราะนี่คือการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเสรี มันใหญ่กว่าการแข่งขัน Super Bowl ถึง 100 เท่า และตอนนี้เหลือผู้แข่งขันเพียงแค่สองคนเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการทุ่มเทและความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างเต็มที่ (Dedication and Commitment)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับการดีเบต (Debate Management) โดยเขาเล่าว่า: “พวกเขาพยายามที่จะให้ผมนั่งลงในระหว่างการดีเบต แต่ผมปฏิเสธและบอกกับพวกเขาไปว่า ‘ดูนี่สิ ในการดีเบตคุณต้องยืน คุณไม่สามารถนั่งได้จริง ๆ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมภาพลักษณ์ของตนเองในที่สาธารณะ (Public Image Control)
- Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับความเหนื่อยล้า (Fatigue Management) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนเป็นเวลานาน และต้องพูดยาว ๆ มันจะเป็นภาระหนักต่อเส้นเสียงของคุณ ดังนั้นคุณจึงต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้เสียงเป็นพิเศษ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพในฐานะผู้นำประเทศ (Leadership Health Management)
- Trump ได้อธิบายถึงเทคนิคการพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking Technique) โดยเขากล่าวว่า: “ผมชอบใช้วิธีการ ‘ถักทอเรื่องราว’ (Weave) ในการพูด โดยคุณต้องรู้จักสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไปในการพูด เพราะถ้าคุณแค่อ่านบทพูดจากเครื่องฉายภาพ (Teleprompter) แบบตรง ๆ จะไม่มีใครรู้สึกตื่นเต้นหรือสนใจในสิ่งที่คุณพูด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเล่าเรื่องที่น่าสนใจในการพูดต่อสาธารณชน (Storytelling in Public Speaking)
- Trump ได้พูดถึงความแตกต่างในการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ (Communication with Young Generation) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนนี้ผมได้เข้าไปใช้แพลตฟอร์ม TikTok และสามารถทำผลงานได้ดีมาก โดยมียอดผู้ชมหลายพันล้านวิว สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคนรุ่นใหม่กำลังปฏิเสธแนวคิดแบบ ‘woke’ ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวให้เข้ากับช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ (Modern Communication Channels)
- Trump ได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของสื่อในยุคปัจจุบัน (Media Evolution) โดยเขาเล่าว่า: “ลูกชายของผมซึ่งเป็นคนที่ฉลาดมากได้เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียงบางคนที่ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เขาบอกกับผมว่า ‘พ่อครับ พ่อไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้มีอิทธิพลมากแค่ไหน นี่คือโลกยุคใหม่ทั้งหมดเลย'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบัน (Media Landscape Change)
- Trump ได้พูดถึงการใช้อารมณ์ขันในการสื่อสาร (Humor in Communication) โดยเขากล่าวว่า: “คุณคงเคยเห็นตอนที่ผมแสดงท่าทางล้อเลียนการเดินของประธานาธิบดี Biden ที่ดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องตลก เหมือนกับการแสดงตลกแบบสแตนด์อัพคอมเมดี้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการเมือง (Political Humor)
- Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา (Direct Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ตลอดชีวิตของผม ผมไม่เคยเจอใครสักคนที่มาบอกผมว่า ‘ท่านประธานาธิบดีคะ เราจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผู้ชายสามารถเข้าไปแข่งกีฬาในประเภทของผู้หญิงได้'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายในการสื่อสารจุดยืนของตนเอง (Clear Position Communication)
- Trump ได้พูดถึงวิธีการจัดการกับสื่อที่บิดเบือนข้อเท็จจริง (Media Distortion Management) โดยเขากล่าวว่า: “สื่อไม่จำเป็นต้องบิดเบือนคำพูดของผมเลย เพราะพวกเขาสามารถแต่งเรื่องขึ้นมาเองได้เลย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมพูดถึงคำว่า ‘bloodbath’ ผมกำลังพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะประเทศญี่ปุ่นและจีนกำลังเข้ามายึดครองธุรกิจรถยนต์ของเรา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่สื่อนำคำพูดไปใช้ผิดบริบทเพื่อสร้างความเข้าใจผิด (Media Context Manipulation)
- Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารกับฐานเสียงของเขา (Base Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ในการชุมนุมของผม มีประชาชนมาร่วมงานถึง 28,000-29,000 คน ในขณะที่ Hillary มีคนมาร่วมงานแค่ 500 คนเท่านั้น แต่พวกสื่อกลับบอกว่าผมจะแพ้การเลือกตั้ง ผมจึงถามพวกเขาว่า ‘ผมจะแพ้ได้อย่างไร ในเมื่อผมมีคนมาฟังผมพูดถึง 40,000 คน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการวัดความนิยมจากการตอบรับที่เกิดขึ้นจริง (Real Support Measurement)
- Trump ได้พูดถึงการใช้ความจริงใจในการสื่อสาร (Authentic Communication) โดยเขากล่าวว่า: “เวลาที่คุณเห็นนักการเมืองบางคนพูด คุณจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ เพราะพวกเขามีแต่คำตอบที่เตรียมมาล่วงหน้า คุณไม่มีทางที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบของการสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติและจริงใจ (Natural Communication Advantage)
- Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการถูกโจมตีจากสื่อ (Media Attack Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นใครถูกโจมตีเหมือนกับที่ผมถูกโจมตี และวิธีการที่พวกเขาใช้นั้นมีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการรับมือกับการถูกโจมตีอย่างเป็นระบบจากสื่อมวลชน (Systematic Media Attack Response)
- Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนที่ผมถูกยิงนั้น หลายคนคิดว่าผมโดนยิงหลายที่เพราะมีเลือดออกมาก แต่ความจริงแล้วเมื่อหูถูกกระสุน มันจะมีเลือดออกมามากเป็นธรรมดา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำในช่วงภาวะวิกฤต (Accurate Crisis Information)
- Trump ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสื่อที่เคยสนับสนุนเขา (Media Shift) โดยเขาเล่าว่า: “ในรายการ The View นั้น ผมเคยไปร่วมรายการหลายครั้ง และพวกเขาเคยรักผมมาก แม้แต่คุณ Joy Behar ทุกครั้งที่เจอผมที่โรงละคร เธอมักจะพูดกับผมว่า ‘ช่วยมาออกรายการอีกนะคะ มาเถอะค่ะ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทีของสื่อที่เกิดขึ้นตามกระแสการเมือง (Media Political Bias)
- Trump ได้อธิบายถึงการใช้ความกล้าในการสื่อสาร (Bold Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ผมได้พูดถึงประเด็น Russia Russia Russia ว่ามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เพราะความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของแล็ปท็อปของ Hunter Biden ที่พบในเตียงของเขาเอง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าที่จะพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา แม้จะขัดแย้งกับกระแสหลักของสื่อ (Truth-telling Against Mainstream)
- Trump ได้พูดถึงการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพ (Social Media Effectiveness) โดยเขากล่าวว่า: “หลังจากที่ผมเริ่มใช้ TikTok คะแนนนิยมของผมเพิ่มขึ้นถึง 30 คะแนน ซึ่งปกติแล้วพรรครีพับลิกันมักจะเสียเปรียบในกลุ่มคนหนุ่มสาวถึง 30 คะแนน แต่ผมกลับได้คะแนนบวกถึง 30 คะแนน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ผ่านช่องทางการสื่อสารที่พวกเขาใช้ (Youth Engagement through Social Media)
- Trump ได้เล่าถึงเทคนิคการสื่อสารในงานชุมนุม (Rally Communication) โดยเขาเล่าว่า: “ผมชอบพูดยาว ๆ และสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไป และถ้าคุณจะใช้เทคนิคการ ‘ถักทอเรื่องราว’ (Weave) คุณต้องมีความฉลาดพอสมควร เพราะคุณจะต้องสามารถวกกลับมาสู่ประเด็นเดิมให้ได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการพูดที่ทำให้ผู้ฟังสนใจติดตามตลอดเวลา (Engaging Speech Technique)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการบิดเบือนข้อมูลของสื่อ (Media Lies Management) โดยเขากล่าวว่า: “รายการ 60 Minutes ได้ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การออกอากาศ โดยพวกเขาได้ตัดคำตอบของ Kamala Harris ออกและใส่คำตอบอื่นเข้าไปแทน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปิดโปงวิธีการบิดเบือนข้อมูลของสื่อ (Media Manipulation Exposure)
- Trump ได้พูดถึงประสบการณ์การสื่อสารในการโต้วาที (Debate Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ในระหว่างการโต้วาที ผมไม่แน่ใจว่าผมกำลังโต้วาทีกับกี่คนกันแน่ เพราะนอกจากคู่แข่งแล้ว ยังมีผู้ดำเนินรายการอย่าง David Muir ที่เข้ามาขัดจังหวะการพูดของผมถึง 11 ครั้ง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการรับมือกับผู้ดำเนินรายการที่ไม่วางตัวเป็นกลางในการโต้วาที (Biased Moderator Management)
- Trump ได้อธิบายถึงการใช้ตัวเลขในการสื่อสาร (Statistical Communication) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณดูที่ตัวเลขผลงานของเรา คุณจะเห็นว่าเราสร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ มีการลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และสามารถแต่งตั้งตุลาการศาลสูงสุดได้ถึง 3 คน ในขณะที่ประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้แม้แต่คนเดียว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ตัวเลขและสถิติเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการสื่อสาร (Statistical Credibility)
- Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับข่าวลือ (Rumor Management) โดยเขากล่าวว่า: “มีคนพูดกันว่า ‘มีคนจำนวนมากที่ไม่อยากทำงานร่วมกับ Trump เพราะ Trump เป็นคนที่ทำงานด้วยยาก’ แต่ผมขอบอกความจริงว่าทุกคนต่างอยากได้ตำแหน่งเหล่านี้ พวกเขาถึงขั้นยอมตายเพื่อให้ได้ตำแหน่งเหล่านี้มาเลยทีเดียว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการหักล้างข่าวลือด้วยข้อเท็จจริง (Rumor Debunking)
- Trump ได้พูดถึงการใช้อารมณ์ขันกับคู่แข่งทางการเมือง (Humor with Competitors) โดยเขาเล่าว่า: “ในตอนที่ผมพูดกับ Hillary ว่า ‘คุณควรจะต้องอยู่ในคุก’ นั่นเป็นจังหวะการพูดที่เหมาะสมมาก และมันกลายเป็นเรื่องตลกไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ขันในการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ (Strategic Humor in Political Attack)
- Trump ได้อธิบายการสื่อสารกับพันธมิตร (Ally Communication) โดยเขากล่าวว่า: “Dana White เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาก เขาเคยพูดว่า ‘ถึงคุณจะพยายามให้ผมพูดในแง่ลบเกี่ยวกับ Trump ผมก็จะไม่มีวันทำแบบนั้น’ นี่แหละคือความจงรักภักดีที่แท้จริง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่มีความซื่อสัตย์ (Loyal Alliance Maintenance)
- Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านพลังงานของประเทศ (Energy Vision) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีทรัพยากรน้ำมันใต้ดินมากกว่าประเทศอื่นใด ผมเองได้อนุมัติโครงการ ANWR (Arctic National Wildlife Refuge) ในรัฐอลาสก้า ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ประธานาธิบดี Reagan ก็ยังทำไม่สำเร็จ และไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โดยแหล่งน้ำมันแห่งนี้มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับแหล่งน้ำมันของประเทศซาอุดิอาระเบีย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานของประเทศ (Energy Independence Policy)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านการค้า (Trade Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเราสามารถกลับมาร่ำรวยได้ด้วยการใช้มาตรการภาษีนำเข้า (Tariffs) อย่างเหมาะสม เราเคยเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงทศวรรษ 1880 และ 1890 ในสมัยของประธานาธิบดี McKinley ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชาแห่งภาษีนำเข้า'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้บทเรียนจากประวัติศาสตร์มาสนับสนุนนโยบายการค้าในปัจจุบัน (Historical Trade Policy)
- Trump ได้เล่าถึงวิสัยทัศน์ด้านการจ้างงาน (Employment Vision) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องทำให้โรงงานต่าง ๆ กลับมาสร้างในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะตอนนี้เมือง Detroit กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก อีกทั้งยังมีโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ของจีนที่กำลังจะสร้างในประเทศเม็กซิโก เพื่อผลิตรถยนต์มาขายในอเมริกา ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนของเราต้องตกงานกันเป็นจำนวนมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการปกป้องการจ้างงานภายในประเทศ (Domestic Employment Protection)
- Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านการศึกษา (Education Policy) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องกำจัดแนวคิดแบบ Woke ให้หมดไปจากระบบการศึกษา เพราะตอนนี้คนรุ่นใหม่กำลังปฏิเสธแนวคิดเหล่านี้ พวกเขาเบื่อหน่ายที่ต้องถูกตะโกนใส่และถูกสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศ (Education Reform Vision)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ (Security Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศของเราจำเป็นต้องมีชายแดนที่มีความปลอดภัย เราต้องมีระบบการเลือกตั้งที่ยุติธรรม เพราะจะเป็นประเทศที่สมบูรณ์ไม่ได้ถ้าไม่มีการควบคุมชายแดนที่ดี” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความมั่นคงพื้นฐานของประเทศ (Basic National Security)
- Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety Vision) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องคืนเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของเรา เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงและเห็นผู้คนถูกยิงอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเป็นโรค PTSD (ความเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง) บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย และอีกหลายคนก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการสนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ (Law Enforcement Support)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายการบริหารรัฐ (Government Administration) โดยเขากล่าวว่า: “ข้าราชการที่ดีที่สุดไม่ใช่พวกที่คุณเห็นออกสื่อทางโทรทัศน์ แต่เป็นพวกที่ทำงานจริงอย่างหนัก เหมือนกับบรรดานายพลที่ช่วยผมในการปราบปรามกลุ่ม ISIS (กลุ่มก่อการร้าย) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับผลงานที่เป็นรูปธรรมมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก (Performance over Image)
- Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านอุตสาหกรรม (Industrial Vision) โดยเขากล่าวว่า: “เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินภาษีของประชาชนหลายพันล้านดอลลาร์ไปสนับสนุนบริษัทผลิตชิป (Semiconductor) เพียงแค่เราเก็บภาษีนำเข้าชิปในอัตราที่สูง บริษัทเหล่านั้นก็จะตัดสินใจมาสร้างโรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง โดยใช้เงินลงทุนของพวกเขาเอง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการใช้มาตรการทางภาษีแทนการให้เงินอุดหนุนจากรัฐ (Tax Policy over Subsidy)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านการเกษตร (Agricultural Policy) โดยเขากล่าวว่า: “เกษตรกรของเรากำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการบริหารประเทศที่ขาดวิสัยทัศน์ในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่เกษตรกรของเราเป็นคนที่ยอดเยี่ยม พวกเขารู้ดีว่าที่ดินแต่ละแปลงเหมาะสำหรับการปลูกพืชชนิดใด บางแปลงเหมาะกับมันฝรั่ง บางแปลงเหมาะกับข้าวโพด การที่จะมากำหนดให้ปลูกพืชเหมือนกันหมดนั้นเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความหลากหลายของภาคเกษตรกรรม (Agricultural Diversity Understanding)
- Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านภาษี (Tax Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ในสมัยที่ผมเป็นประธานาธิบดี ผมได้ลดอัตราภาษีจาก 40 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือ 21 เปอร์เซ็นต์ และในปีแรกที่ใช้นโยบายนี้ รัฐบาลกลับสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากกว่าตอนที่เก็บภาษีในอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์เสียอีก ลองคิดดูสิว่ามันสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขนาดไหน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการใช้นโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Tax-driven Economic Stimulus)
- Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านสื่อสารมวลชน (Media Vision) โดยเขากล่าวว่า: “สื่อต่าง ๆ ได้รับใบอนุญาต (Licenses) ในการออกอากาศมาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งใบอนุญาตเหล่านี้มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษนี้เพราะใช้คลื่นความถี่ที่เป็นสาธารณสมบัติ ดังนั้นพวกเขาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องนำเสนอข้อมูลอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการในการปฏิรูประบบสื่อให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น (Media Reform Vision)
- Trump ได้พูดถึงวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศ (Foreign Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ในช่วงที่ผมดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ประเทศอิหร่านไม่เคยกล้าโจมตีอิสราเอลเลย เพราะอิหร่านกำลังประสบปัญหาล้มละลาย ผมได้แจ้งกับประเทศจีนอย่างชัดเจนว่า ถ้าพวกเขาซื้อน้ำมันจากอิหร่านแม้แต่หยดเดียว พวกเขาจะไม่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการควบคุมประเทศคู่แข่งผ่านมาตรการทางเศรษฐกิจ (Economic Control Policy)
- Trump ได้เล่าถึงวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Vision) โดยเขากล่าวว่า: “กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือในการหยุดยั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ นี่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด พวกที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะเดินทางไปที่เมือง Albany (เมืองหลวงของรัฐนิวยอร์ก) และพยายามสร้างอุปสรรคให้กับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อการใช้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (Environmental Regulation Perspective)
- Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ (Water Management Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประชาชนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ แต่ความจริงแล้วรัฐนี้มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เพียงเพราะต้องการปกป้องปลาขนาดเล็กบางชนิด พวกเขาจึงปล่อยน้ำหลายล้านแกลลอนทิ้งลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการทรัพยากรน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ (Resource Management Criticism)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Policy) โดยเขากล่าวว่า: “กังหันลม (Windmills) เป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนสูงที่สุด และเมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็เริ่มเป็นสนิมและเสื่อมสภาพ นอกจากนี้เรายังต้องกำจัดใบพัดเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งดูเหมือนสุสานกังหันลม และยังก่อให้เกิดมลพิษอีกด้วย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อข้อจำกัดของพลังงานลม (Wind Energy Perspective)
- Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านนิวเคลียร์ (Nuclear Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ในช่วงที่ผมเป็นประธานาธิบดี เราได้ปรับปรุงและพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ของเราใหม่ทั้งหมด และผมได้เรียนรู้ว่าอาวุธนิวเคลียร์นั้นมีพลังทำลายล้างมหาศาลเพียงใด เพียงแค่ระเบิดนิวเคลียร์หนึ่งลูกก็สามารถทำลายประเทศอิสราเอลให้สูญสิ้น หรือแม้แต่ทำลายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในอันตรายของอาวุธนิวเคลียร์และความสำคัญของการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrence)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ (Automotive Industry Policy) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณมองไปที่เมือง Detroit ในปัจจุบัน มันเป็นภาพของความหายนะ เพราะตอนนี้มีการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ในประเทศเม็กซิโก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโรงงานทั้งหมดในรัฐ Michigan รวมกันเสียอีก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศและผลกระทบต่อแรงงานในประเทศ (Manufacturing Relocation Concerns)
- Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านการป้องกันประเทศ (Defense Vision) โดยเขากล่าวว่า: “กลุ่มพันธมิตร NATO จำเป็นต้องจ่ายส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายของพวกเขา เพราะทำไมเราถึงต้องปกป้องประเทศที่ร่ำรวยโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน? แม้แต่องค์กรอาชญากรรมมาเฟียยังทำให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าคุ้มครองเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการแบ่งภาระค่าใช้จ่ายด้านการทหารระหว่างประเทศพันธมิตร (Military Cost Sharing)
- Trump ได้พูดถึงนโยบายด้านการเลือกตั้ง (Election Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศของเราจำเป็นต้องมีระบบบัตรประจำตัวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (Voter ID) เพราะแม้แต่การซื้อของที่ร้านขายของชำ คุณยังต้องแสดงบัตรประจำตัว แต่สำหรับการเลือกตั้งที่ควรจะเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ กลับไม่จำเป็นต้องใช้บัตรประจำตัวเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนในเรื่องการรักษาความปลอดภัยในการเลือกตั้ง (Election Security Stance)
- Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านหนี้สาธารณะ (Public Debt Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศของเรามีหนี้สาธารณะอยู่ถึง 35 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าคุณมองในแง่ของมูลค่าทรัพย์สิน เรามีทั้งน้ำมันใต้ดิน แหล่งน้ำ ภูเขา และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่ามหาศาล” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อหนี้สาธารณะและทรัพยากรของประเทศ (National Assets Perspective)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการวิกฤตโควิด (COVID Crisis Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในขณะที่เศรษฐกิจของเรากำลังจะก้าวไปข้างหน้าอย่างดี จู่ ๆ พวกเขาก็มารายงานว่า ‘มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ประเทศจีน มีผู้คนกำลังเสียชีวิต’ โดยมีการพบถุงใส่ศพจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ห้องแล็บในเมืองอู่ฮั่น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเผชิญกับวิกฤตที่ไม่คาดคิดในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี (Unexpected Crisis Response)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการความท้าทายด้านความปลอดภัย (Security Challenge) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีนั้นถือเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด รองจากการเป็นทหารในสนามรบ การเป็นนักดับเพลิง หรือการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงและอันตรายที่แฝงอยู่ในการเป็นผู้นำประเทศ (Leadership Risk)
- Trump ได้เล่าถึงการรับมือกับการถูกลอบสังหาร (Assassination Attempts) โดยเขาเล่าว่า: “มีการพยายามลอบสังหารผมถึงสองครั้ง แต่สื่อกลับพยายามปิดข่าวนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าเป็นประธานาธิบดี Biden ที่ถูกยิงที่หู สื่อจะต้องโจมตีฝ่ายขวาอย่างหนักขนาดไหน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่แตกต่างกันในการนำเสนอข่าวของสื่อ (Media Double Standards)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับข้อกล่าวหาต่าง ๆ (Accusations Management) โดยเขากล่าวว่า: “ผมถูกสอบสวนมากกว่า Al Capone เสียอีก ทั้งที่เขาเป็นอาชญากรที่โหดร้ายที่สุด และพร้อมที่จะฆ่าใครก็ตามที่เขาไม่ชอบภายในเวลาไม่กี่วินาที” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการรับมือกับการถูกโจมตีทางการเมือง (Political Attack Response)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการฟ้องร้องทางกฎหมาย (Legal Challenges) โดยเขากล่าวว่า: “สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นี้มีแต่ในประเทศโลกที่สาม นั่นคือการไล่ล่าคู่แข่งทางการเมือง แต่ผมก็สามารถชนะคดีใหญ่ในรัฐฟลอริดาได้ และตอนนี้ผมกำลังจะชนะในคดีอื่น ๆ ด้วย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง (Weaponized Justice System)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับวิกฤตที่ชายแดน (Border Crisis Management) โดยเขากล่าวว่า: “ในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีผู้คนจาก 129 ประเทศเข้ามาในประเทศของเรา โดยในจำนวนนี้มีอาชญากรที่เป็นฆาตกรถึง 99,000 คน และนักข่มขืนอีก 15,000 คน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในประเทศของเราอย่างเสรี” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายด้านความมั่นคงที่ชายแดนของประเทศ (Border Security Challenges)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับวิกฤตผู้อพยพ (Immigration Crisis) โดยเขากล่าวว่า: “ที่เมือง Springfield รัฐ Ohio ซึ่งมีประชากรอยู่ 52,000 คน แต่พวกเขาเพิ่งได้รับผู้อพยพเข้ามาในเมืองถึง 32,000 คน ซึ่งเป็นผู้อพยพที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และการศึกษาได้อย่างที่ควรจะเป็น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของนโยบายผู้อพยพที่มีต่อชุมชนท้องถิ่น (Local Community Impact)
- Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับปัญหาอาชญากรรม (Crime Management) โดยเขาเล่าว่า: “ที่เมือง Aurora รัฐ Colorado กำลังประสบปัญหากับแก๊งอาชญากรที่เลวร้ายที่สุดอย่าง MS-13 และแก๊งอาชญากรจากประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งพวกเขาได้เข้ามายึดครองตึกอพาร์ตเมนต์หลายแห่ง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายด้านความปลอดภัยในเมืองต่าง ๆ (Urban Safety Challenges)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการไฟป่า (Forest Fire Management) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องดูแลและบำรุงรักษาป่าของเราให้ดี เพราะเมื่อต้นไม้ล้มลง หลังจากผ่านไป 18 เดือน มันจะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่แห้งมาก เปรียบเสมือนกองฟืนขนาดใหญ่ที่พร้อมจะลุกไหม้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบำรุงรักษาป่าเพื่อป้องกันไฟป่า (Forest Maintenance)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับวิกฤตพลังงาน (Energy Crisis) โดยเขากล่าวว่า: “ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาต้องการให้ประชาชนทุกคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากลับประสบปัญหาไฟฟ้าดับเป็นประจำในทุกสุดสัปดาห์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายพลังงานสะอาดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น (Energy Policy Reality Gap)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “ศัตรูภายใน” (Internal Enemies) โดยเขากล่าวว่า: “เรากำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่กว่าศัตรูภายนอก นั่นคือศัตรูภายในประเทศของเราเอง เรามีคนที่แสดงพฤติกรรมเลวร้าย ซึ่งผมเชื่อว่าพวกเขาต้องการให้ประเทศของเราล้มเหลวอย่างจริงจัง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อการต่อต้านจากภายในประเทศที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคง (Internal Opposition Perspective)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับความท้าทายในการเป็นคนนอกวงการการเมือง (Outsider Challenges) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณเป็นคนนอกวงการการเมือง คุณจำเป็นต้องพึ่งพาคนที่คุณเคารพหรือชื่นชอบ แต่ปัญหาคือคุณไม่รู้จักพวกเขาดีพอ บางคนเป็นคนที่ผมเคยหาเสียงต่อสู้กับเขามาก่อนด้วยซ้ำ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของผู้นำที่มาจากนอกระบบการเมือง (Political Outsider Difficulties)
- Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการเปลี่ยนผ่าน (Transition Management) โดยเขาเล่าว่า: “การเข้าไปอยู่ในทำเนียบขาวครั้งแรกนั้นเป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและน่าตื่นตาตื่นใจมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็กลายเป็นเพียงสถานที่ที่คุณใช้ชีวิตและทำงานเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการปรับตัวเข้าสู่บทบาทการเป็นผู้นำประเทศ (Presidential Role Adaptation)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับความกดดัน (Pressure Management) โดยเขากล่าวว่า: “ในขณะที่ผมกำลังขับรถลงถนน Pennsylvania Avenue นั้น ผมไม่เคยเห็นขบวนรถมอเตอร์ไซค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารจำนวนมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต มันทำให้ผมตระหนักว่านี่เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเข้ากับความรับผิดชอบใหม่ในฐานะประธานาธิบดี (New Responsibility Adaptation)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับความเสี่ยง (Risk Management) โดยเขากล่าวว่า: “แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะคอยเตือนเรื่องความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ยังเลือกที่จะลงจากรถเพื่อทักทายประชาชน ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นอันตราย แต่ผมคิดว่าการได้พบปะกับประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องทำ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการเข้าถึงประชาชน (Security-Accessibility Balance)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับระบบราชการ (Bureaucracy Management) โดยเขากล่าวว่า: “ในกรณีของการถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน ผมได้สั่งการให้นำอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถถัง หรือแม้แต่แว่นตามองกลางคืน แต่นายพล Milley กลับบอกว่า ‘มันจะประหยัดกว่าถ้าเราทิ้งอุปกรณ์เหล่านั้นไว้’ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความไม่มีวิสัยทัศน์ของเขา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ (Bureaucratic Inefficiency Battle)
- Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับความขัดแย้งในทีมงาน (Team Conflict) โดยเขากล่าวว่า: “ในบรรดาคนที่ผมเลือกเข้ามาทำงาน มีทั้งพวก neocons (นักการเมืองฝ่ายขวาใหม่) บางคนก็เป็นคนที่ไม่ดี บางคนก็ไม่มีความจงรักภักดี และบางคนก็เพียงแค่ได้รับคำแนะนำที่ผิด ๆ มา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการเลือกทีมงานที่ไว้วางใจได้ (Trustworthy Team Selection)
- Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับวิกฤตการเงิน (Financial Crisis) โดยเขาเล่าว่า: “ในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ถ้าเราไม่เข้าไปช่วยเหลือธุรกิจบางแห่ง ประเทศของเราจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 1929” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ยากลำบากในช่วงวิกฤตการณ์ (Difficult Crisis Decisions)
- Trump ได้พูดถึงการจัดการกับปัญหาในตะวันออกกลาง (Middle East Crisis) โดยเขากล่าวว่า: “สถานการณ์ในตะวันออกกลางกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีคำทำนายโบราณที่บอกว่าโลกจะจบลงที่ตะวันออกกลาง และในตอนนี้เรามีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลต่อสถานการณ์ที่อาจลุกลามเป็นสงครามใหญ่ (Major War Concerns)
- Trump ได้สรุปถึงการจัดการความท้าทายทั้งหมด (Overall Challenge Management) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีเป็นงานที่มีความเสี่ยงและอันตรายที่สุด แต่ถ้าคุณรู้วิธีใช้อำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างถูกต้อง คุณจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เราต้องทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เราต้องทำให้ประเทศของเราดีขึ้นกว่าเดิม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ (National Development Vision)
Resources