Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Quote

100 ข้อคิด จาก Donal Trump | Blue O’Clock Podcast EP. 67

Donald Trump ประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของสหรัฐอเมริกา นักธุรกิจ เขาได้แบ่งปันประสบการณ์ มุมมอง และข้อคิดที่น่าสนใจ ทั้งในฐานะนักธุรกิจและผู้นำประเทศ และนี่คือ 100 ข้อคิด 100 บทเรียน ที่เราสามารถเรียนรู้ได้เขา

  1. Donald Trump เน้นย้ำถึงความสำคัญของภาษีนำเข้า (Tariffs): “คำว่าภาษีนำเข้าเป็นคำที่สวยที่สุดในพจนานุกรม สวยงามกว่าคำว่ารักซะอีก เพราะประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถร่ำรวยได้ด้วยการใช้ภาษีนำเข้าอย่างเหมาะสม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ (Economic Tools) เพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
  2. ในการเจรจากับประธานาธิบดี Emmanuel Macron แห่งฝรั่งเศส Trump กล่าวว่า : “เขาได้ยกหูโทรหากับ Emmanuel และบอกว่า ถ้าคุณเก็บภาษีบริษัทอเมริกัน ผมจะเก็บภาษีนำเข้า (Import Tax) 100% กับไวน์และแชมเปญของประเทศฝรั่งเศสของคุณ’ และหลังจากนั้นภายใน 2 นาที ประธานาธิบดี Emmanuel Macron แห่งฝรั่งเศส เขาก็ได้ยกเลิกการเก็บภาษีจากบริษัทอเมริกันทั้งหมด” นี่แสดงให้เห็นถึงการใช้นโยบายการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
  3. Trump เน้นความสำคัญของการได้รับความเคารพในการทูต (Diplomatic Respect): โดย Trump บอกว่า “พวกเขาไม่เคยพูดกับผมแบบนั้น พวกเขาเคารพผม พวกเขาเคารพประเทศของสหรัฐอเมริกาของเรา พวกเขาไม่เคารพ Joe Biden พวกเขาไม่เคารพ Kamala Harris” สิ่งนี้มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาพลักษณ์ผู้นำ (Leadership Image) ในเวทีโลก
  4. เรื่องการจัดการกับจีนและโรงงานผลิตรถยนต์ในเม็กซิโก Trump ได้ใช้นโยบายการกีดกันทางการค้า (Trade Barriers): โดยเขากล่าวว่า “ถ้าโรงงานนั้นยังอยู่ตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดี เขาจะเก็บภาษี 100% หรือ 200% กับรถทุกคัน จนกระทั่งพวกเขาขายรถไม่ได้ในสหรัฐอเมริกา” ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้มาตรการทางภาษี (Tax Measures) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ
  5. Trump เล่าถึงการเจรจากับกลุ่ม NATO (North Atlantic Treaty Organization ซึ่งเป็นการรวมตัวของประเทศพันธมิตรเพื่อการป้องกันประเทศ): โดย Trump เล่าว่า “ประเทศในกลุ่มสมาชิก NATO เคยไม่ยอมจ่ายเงินสนับสนุนให้อเมริกา Trump เลยเลยบอกกับพวกเขาไปว่า ‘ถ้าพวกคุณไม่จ่ายเงินสนับสนุนอเมริกา แล้วหากรัสเซียมารุกรานพวกคุณ ทางอเมริกาก็จะไม่ช่วยปกป้องคุณ’ หลังจากนั้นพวก NATO ก็ยอมจ่ายเงินหลายแสนล้านดอลล่าร์ ให้กับอเมริกา” แสดงให้เห็นว่า Trump ได้ใช้จุดแข็งของอเมริกาในการต่อรองให้ประเทศพันธมิตรร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  6. Trump ได้พูดถึงจุดแข็งของประเทศสหรัฐอเมริกาในการเจรจาต่อรอง (Negotiation Power) ว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีทรัพยากรธรรมชาติทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ใต้ดินมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้นำประเทศรู้จักจุดแข็งและทรัพยากร (Resources) ที่ประเทศของตนมีนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการเจรจาต่อรองกับประเทศอื่น ๆ
  7. Trump มองว่าการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว (Personal Relationship) กับผู้นำประเทศอื่นเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเขาได้ยกตัวอย่างความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ว่า: “ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับประธานาธิบดี Xi Jinping (ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน) พวกเราเข้ากันได้ดีมาก และนี่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่สิ่งที่แย่อย่างที่ใครหลายคนคิด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำประเทศนั้นมีผลอย่างมากต่อความสำเร็จในการเจรจาระหว่างประเทศ
  8. Trump ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามารถของผู้นำประเทศ (Leadership Capability) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศจำเป็นต้องมีประธานาธิบดีที่มีความฉลาด เพราะมีเพียงผู้นำที่ฉลาดเท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับประเทศที่แข็งแกร่งอย่างรัสเซียได้ และสามารถจัดการกับปัญหาท้าทายอื่น ๆ ได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความฉลาดและความสามารถของผู้นำประเทศนั้นมีผลโดยตรงต่อความสำเร็จของประเทศ
  9. ในเรื่องความน่าเชื่อถือในการเจรจา (Credibility) Trump ได้เตือนว่า: “ในการเจรจากับบางประเทศนั้น เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะบางครั้งพวกเขาอาจจะรับปากว่าจะทำตามข้อตกลง แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ทำตาม แต่ประเทศเหล่านั้นก็รู้ดีว่าถ้าพวกเขาโกหกผม จะต้องเจอกับผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาคำพูดและความน่าเชื่อถือในการเจรจาระดับนานาชาติ
  10. Trump ได้พูดถึงผลเสียของการแสดงความอ่อนแอ (Weakness) ในการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศต่าง ๆ ไม่เคารพ Joe Biden เพราะเขาแสดงออกถึงความอ่อนแอ และพวกเขายิ่งฝันอยากให้ Kamala Harris ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เพราะเธอแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่ผู้นำประเทศแสดงจุดอ่อนในการเจรจาระหว่างประเทศนั้น จะทำให้ประเทศเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง
  11. Trump ได้พูดถึงอำนาจในการเจรจาต่อรองของประเทศสหรัฐอเมริกา (Negotiation Power) โดยเขากล่าวว่า: “ประเทศสหรัฐอเมริกาของเรามีอำนาจมหาศาล และถ้าผู้นำรู้วิธีใช้อำนาจนั้นอย่างชาญฉลาด เราก็สามารถหยุดสงครามต่าง ๆ ได้เพียงแค่ใช้มาตรการทางภาษีนำเข้าเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic Power) อย่างชาญฉลาดนั้น สามารถช่วยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทางทหารในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศได้
  12. Trump ได้พูดถึงกลยุทธ์ในการเจรจา (Negotiation Strategy) โดยเขากล่าวว่า: “ผมไม่อยากจะเปิดเผยวิธีการที่ผมจะใช้ในการเจรจา เพราะถ้าผมเปิดเผยวิธีการเหล่านั้นออกไป ผมจะไม่มีวันได้ข้อตกลงที่ดีในการเจรจาอีกเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเก็บกลยุทธ์การเจรจาไว้เป็นความลับ (Strategic Secrecy) เพื่อรักษาความได้เปรียบในการเจรจา
  13. Trump ได้เล่าถึงการใช้อำนาจในการควบคุมบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Apple โดยเขาเล่าว่า: “บริษัท Apple มีเงินทุนอยู่นอกประเทศหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่พวกเขาไม่สามารถนำเงินเหล่านั้นกลับเข้ามาในประเทศได้ เพราะจะต้องเสียภาษีถึงครึ่งหนึ่งของเงินที่นำเข้ามา ซึ่งไม่มีบริษัทไหนอยากจะทำแบบนั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับนโยบายภาษี (Tax Policy) เพื่อดึงดูดให้บริษัทอเมริกันนำเงินทุนกลับเข้าประเทศ
  14. Trump ได้พูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมชิป (Semiconductor Industry) โดยเขากล่าวว่า: “แทนที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินภาษีของประชาชนไปสนับสนุนบริษัทที่รวยอยู่แล้วเพื่อให้มาสร้างโรงงานผลิตชิป เราเพียงแค่ต้องเก็บภาษีนำเข้าชิปในอัตราที่สูง และบริษัทเหล่านั้นก็จะตัดสินใจมาสร้างโรงงานในอเมริกาเอง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้นโยบายภาษี (Tax Policy) แทนการใช้เงินภาษีประชาชนในการสนับสนุน (Subsidy) ภาคเอกชน
  15. Trump ได้อธิบายถึงวิธีการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยเขากล่าวว่า: “ผมจะขอเข้าพบกับประธานาธิบดี Putin โดยตรง เพราะผมรู้ดีว่าต้องพูดอะไรกับเขา และผมเชื่อมั่นว่าในฐานะว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป ผมจะสามารถยุติสงครามครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทูตระดับสูง (High-level Diplomacy) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
  16. Trump ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องตัดสินใจเรื่องลิขสิทธิ์ในรายการ The Apprentice (TV Show Rights) โดยเขาเล่าว่า: “ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ได้มาขอให้ผมต่อสัญญารายการ และ Mark Burnett ผู้อำนวยการสร้างรายการได้พูดกับผมว่า ‘คุณคงบ้าไปแล้วที่จะทิ้งรายการนี้ไป อย่าไปลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเลย เพราะไม่เคยมีใครยอมทิ้งรายการไพรม์ไทม์ที่ประสบความสำเร็จแบบนี้มาก่อน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการที่ Trump ต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับการเสียสละเพื่อรับใช้ประเทศ (Personal Interest vs Public Service)
  17. Trump ได้พูดถึงนโยบายการจัดการกับประเทศอิหร่าน (Iran Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนนี้ประเทศอิหร่านไม่มีเงินเหลือแล้ว พวกเขาไม่มีเงินที่จะส่งให้กลุ่ม Hezbollah และไม่มีเงินที่จะสนับสนุนกลุ่ม Hamas ผมได้แจ้งกับประเทศจีนไปอย่างชัดเจนว่า ถ้าพวกเขายังซื้อน้ำมันจากอิหร่าน แม้จะเป็นแค่หนึ่งบาร์เรล พวกเขาจะไม่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic Sanctions) เพื่อควบคุมประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองระหว่างประเทศ
  18. Trump ได้เล่าถึงประสบการณ์การเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือ Kim Jong Un (North Korea Negotiations) โดยเขาเล่าว่า: “อดีตประธานาธิบดี Obama เคยคิดว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องทำสงครามกับเกาหลีเหนืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลังจากที่ผมได้เข้าพบกับผู้นำ Kim Jong Un แล้ว เราก็ไม่มีปัญหาความขัดแย้งใด ๆ กับเกาหลีเหนือเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทูตแบบพบปะตัวต่อตัว (Personal Diplomacy) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
  19. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง (Middle East Conflict) โดยเขากล่าวว่า: “ถ้าประเทศอิสราเอลยอมทำตามคำแนะนำของประธานาธิบดี Biden ตอนนี้อิสราเอลก็คงถูกโจมตีด้วยระเบิดไปแล้ว แต่อิสราเอลตัดสินใจที่จะไม่ทำตามคำแนะนำของเขา และผมคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปล่อยให้ประเทศพันธมิตรมีอิสระในการตัดสินใจ (Allied Autonomy) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตนเอง
  20. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Arms Race) โดยเขากล่าวว่า: “อาวุธที่สหรัฐอเมริกามีในปัจจุบันนั้นมีอานุภาพที่น่ากลัวมาก ในช่วงที่ผมเป็นประธานาธิบดี ผมได้สั่งให้มีการพัฒนาอาวุธเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะผมเชื่อว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คืออาวุธนิวเคลียร์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาความได้เปรียบทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ (Military Superiority) เพื่อป้องปรามศัตรูของประเทศ
  21. Trump ได้เล่าถึงประสบการณ์วันแรกของเขาในทำเนียบขาว (First Day in White House) โดยเขากล่าวว่า: “มันเป็นประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและน่าประทับใจมาก เมื่อผมได้ยืนอยู่ในระเบียงที่สวยงามของทำเนียบขาว และสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีใครพูดถึงความงดงามภายในทำเนียบขาวเลย ในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจที่คลุกคลีกับธุรกิจหรูหรามาก่อน ผมสังเกตเห็นว่าระเบียงมีความกว้างถึง 25 ฟุต เพดานสูง และทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างสวยงามมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านจากการเป็นนักธุรกิจสู่การเป็นผู้นำประเทศ (Business Leader to Political Leader Transition)
  22. Trump ได้เล่าถึงความท้าทายในการแต่งตั้งคณะทำงาน (Cabinet Appointments) โดยเขากล่าวว่า: “ในการบริหารประเทศนั้น ประธานาธิบดีจะต้องทำการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ประมาณ 10,000 ตำแหน่ง โดยแต่ละกระทรวงจะต้องมีการแต่งตั้งทีมงานของตัวเองประมาณ 100-200 คน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้บัญชาการทหาร” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการบริหารจัดการบุคลากรระดับสูงของประเทศ (High-level Personnel Management)
  23. Trump ได้พูดถึงความยากลำบากในการเลือกคนที่เหมาะสมเข้ามาทำงาน (Personnel Selection) โดยเขายอมรับว่า: “ผมไม่มีประสบการณ์ในการบริหารงานภาครัฐมาก่อน และคุณต้องเข้าใจด้วยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเคยไปกรุงวอชิงตันแค่ 17 ครั้งเท่านั้น และไม่เคยพักค้างคืนที่นั่นเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของผู้นำที่มาจากภายนอกวงการการเมือง (Political Outsider Challenges)
  24. Trump ได้อธิบายถึงปัญหาของการเลือกคนนอกวงการการเมืองเข้ามาทำงาน (Non-politician Appointments) โดยเขากล่าวว่า: “การเลือกคนที่ไม่ใช่นักการเมืองเข้ามาทำงานนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่จะผ่านการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ถ้าคุณเลือกนักธุรกิจเข้ามา พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยผ่านการตรวจสอบมาก่อนเลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงในการแต่งตั้งผู้บริหารที่มาจากภาคเอกชน (Private Sector Executive Appointments)
  25. Trump ได้เล่าถึงลักษณะของผู้นำในกรุงวอชิงตัน (Washington Leadership Types) โดยเขากล่าวว่า: “ผู้นำส่วนใหญ่ในกรุงวอชิงตันเป็นพวกที่ไม่กล้าตัดสินใจ (Stiffs) พวกเขาเป็นพวกที่คิดแต่จะเอาตัวรอด ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่มีความเสี่ยง และไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของวัฒนธรรมการเมืองที่เน้นการเอาตัวรอดมากกว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ (Political Survival Culture)
  26. Trump ได้เล่าถึงสถิติที่น่าสนใจของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในประวัติศาสตร์ (Presidential History Statistics) โดยเขากล่าวว่า: “ตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 92 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็นนักการเมืองอาชีพ และมีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มาจากกองทัพ เช่น นายพล Eisenhower และ นายพล Washington แต่ไม่เคยมีนักธุรกิจหรือคนที่ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งมาก่อนได้ดำรงตำแหน่งนี้เลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของการที่มีประธานาธิบดีที่มาจากภาคธุรกิจ (Business Background President)
  27. Trump ได้พูดถึงประสบการณ์ในการจัดการกับสื่อมวลชน (Media Management) โดยเขากล่าวว่า: “สถานีโทรทัศน์ CNN ด้วยความที่พวกเขาคิดว่าตัวเองฉลาด พวกเขาชอบที่จะนำเสนอและเน้นย้ำคำพูดที่แรง ๆ ของผม แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ผมได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่นักการเมืองพูดแต่สิ่งที่เตรียมตัวมาอย่างดี” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความจริงใจและความตรงไปตรงมาในการสื่อสาร (Authentic Communication) สามารถเอาชนะการโจมตีของสื่อได้
  28. Trump บอกว่า “ผมชอบคิดการใหญ่ ถ้าคุณจะต้องคิดอยู่แล้ว ทำไมไม่คิดให้ใหญ่เสียเลยล่ะ? ” ซึ่งคำพูดนี้สะท้อนถึงทัศนคติของทรัมป์เกี่ยวกับความทะเยอทะยาน เขาเชื่อว่าการตั้งเป้าหมายใหญ่ทำให้เกิดความมุ่งมั่นและแรงจูงใจ ตัวอย่างหนึ่งคือโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น Trump Tower ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ
  29. Trump ได้อธิบายถึงความสำคัญของการมีอารมณ์ขันในการเป็นผู้นำ (Sense of Humor in Leadership) โดยเขากล่าวว่า: “ในการทำธุรกิจการเมืองนี้ คุณจำเป็นต้องมีทัศนคติแบบนักตลกบ้าง เพราะการเมืองเป็นธุรกิจที่อันตรายที่สุด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการมีอารมณ์ขันนั้นสามารถช่วยในการจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้นำได้ (Stress Management through Humor)
  30. Trump ได้พูดถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตก่อนและหลังการเป็นประธานาธิบดี (Life Changes) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีเปรียบเสมือนการมีชีวิตสองชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าผมจะมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากที่จะทำหน้าที่นี้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการที่ Trump ยอมเสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวเพื่อการรับใช้ประเทศ (Personal Sacrifice for Public Service)
  31. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับผู้บริหารระดับสูงอย่าง John Kelly (Senior Staff Management) โดยเขากล่าวว่า: “John Kelly เป็นคนประเภทที่ชอบข่มขู่ผู้อื่น (Bully) แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนแอ และคุณน่าจะเข้าใจเรื่องพวกคนชอบข่มขู่ได้ดีกว่าใคร เพราะคุณทำงานในวงการกีฬาที่พฤติกรรมแบบชอบข่มขู่จะถูกเปิดโปงอย่างรวดเร็ว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของผู้ใต้บังคับบัญชา (True Character Assessment)
  32. Trump ได้เล่าถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับ John Bolton (Advisor Selection) โดยเขาเล่าว่า: “คุณ Phil Ruffin ได้โทรมาเตือนผมว่าอย่าเลือก Bolton เพราะเขาเป็นคนไม่ดี แต่ในอีกแง่หนึ่ง Bolton ก็มีประโยชน์สำหรับผม เพราะทุกครั้งที่ผมต้องเจรจากับประเทศอื่น เมื่อพวกเขาเห็นคนที่มีลักษณะก้าวร้าวอย่าง Bolton ยืนอยู่ข้างหลังผม พวกเขาก็จะเกรงกลัวว่าผมอาจจะตัดสินใจทำสงคราม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ภาพลักษณ์ของทีมงานให้เกิดประโยชน์ในทางการทูต (Strategic Team Image)
  33. Trump ได้พูดถึงการเลือกทีมทหาร (Military Team Selection) โดยเขากล่าวว่า: “ผมมีนายพลที่มีความสามารถยอดเยี่ยมหลายคน ซึ่งไม่ใช่พวกที่คุณเห็นออกสื่อทางโทรทัศน์ แต่เป็นพวกที่ช่วยผมในการปราบปรามกลุ่ม ISIS ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเป็นคนที่มีความแข็งแกร่ง ไม่ใช่พวกที่อ่อนแอหรือคล้อยตามกระแสสังคมแบบ Woke” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกผู้นำทางทหารที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน (Military Leadership Effectiveness)
  34. Trump ได้อธิบายถึงความผิดพลาดในการจัดการกับสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน (Afghanistan Failure Management) โดยเขากล่าวว่า: “ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในการถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานคือการถอนทหารออกมาก่อน แม้แต่คนที่มีสติปัญญาน้อยก็ยังรู้ว่าการถอนทหารควรจะเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่พวกเขากลับเลือกที่จะถอนทหารออกมาก่อน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องในการบริหารจัดการวิกฤต (Crisis Management Sequence)
  35. Trump ได้เล่าถึงการตัดสินใจในภาวะวิกฤต (Crisis Decision Making) โดยเขาเล่าว่า: “ในตอนที่ผมถูกลอบยิงนั้น ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความเป็นจริงแต่อย่างใด ผมรู้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้ว่าผมโดนยิงตรงส่วนไหนของร่างกาย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาสติและความชัดเจนในการตัดสินใจแม้ในสถานการณ์วิกฤต (Clear-headed Crisis Response)
  36. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการเดินทางทางอากาศของประธานาธิบดี (Presidential Air Travel) โดยเขากล่าวว่า: “ในเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Air Force One นั้น นักบินทุกคนล้วนเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ พวกเขามีบุคลิกที่หล่อเหลากว่านักแสดง Tom Cruise เสียอีก เพราะพวกเขาคือนักบินที่เก่งที่สุดของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศในทุกตำแหน่งหน้าที่ (Excellence in Every Position)
  37. Trump ได้พูดถึงการจัดการความปลอดภัย (Security Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในระหว่างที่เครื่องบินของเราบินเข้าใกล้น่านฟ้าประเทศอิรัก เจ้าหน้าที่ได้สั่งให้ปิดไฟทั้งหมดภายในเครื่อง ซึ่งผมคิดว่า ‘นี่เราใช้งบประมาณไปถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ แต่เรายังต้องมาบินในความมืดแบบนี้อีกหรือ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลของระบบราชการ (Bureaucratic Inefficiency)
  38. Trump ได้อธิบายถึงวิธีการบริหารเวลาของเขา (Time Management) โดยเขากล่าวว่า: “ผมไม่ได้หยุดพักผ่อนมาเป็นเวลา 56 วันแล้ว เพราะนี่คือการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเสรี มันใหญ่กว่าการแข่งขัน Super Bowl ถึง 100 เท่า และตอนนี้เหลือผู้แข่งขันเพียงแค่สองคนเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการทุ่มเทและความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างเต็มที่ (Dedication and Commitment)
  39. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับการดีเบต (Debate Management) โดยเขาเล่าว่า: “พวกเขาพยายามที่จะให้ผมนั่งลงในระหว่างการดีเบต แต่ผมปฏิเสธและบอกกับพวกเขาไปว่า ‘ดูนี่สิ ในการดีเบตคุณต้องยืน คุณไม่สามารถนั่งได้จริง ๆ'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมภาพลักษณ์ของตนเองในที่สาธารณะ (Public Image Control)
  40. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับความเหนื่อยล้า (Fatigue Management) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนเป็นเวลานาน และต้องพูดยาว ๆ มันจะเป็นภาระหนักต่อเส้นเสียงของคุณ ดังนั้นคุณจึงต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้เสียงเป็นพิเศษ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพในฐานะผู้นำประเทศ (Leadership Health Management)
  41. Trump ได้อธิบายถึงเทคนิคการพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking Technique) โดยเขากล่าวว่า: “ผมชอบใช้วิธีการ ‘ถักทอเรื่องราว’ (Weave) ในการพูด โดยคุณต้องรู้จักสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไปในการพูด เพราะถ้าคุณแค่อ่านบทพูดจากเครื่องฉายภาพ (Teleprompter) แบบตรง ๆ จะไม่มีใครรู้สึกตื่นเต้นหรือสนใจในสิ่งที่คุณพูด” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเล่าเรื่องที่น่าสนใจในการพูดต่อสาธารณชน (Storytelling in Public Speaking)
  42. Trump ได้พูดถึงความแตกต่างในการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ (Communication with Young Generation) โดยเขากล่าวว่า: “ตอนนี้ผมได้เข้าไปใช้แพลตฟอร์ม TikTok และสามารถทำผลงานได้ดีมาก โดยมียอดผู้ชมหลายพันล้านวิว สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคนรุ่นใหม่กำลังปฏิเสธแนวคิดแบบ ‘woke’ ที่กำลังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวให้เข้ากับช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ (Modern Communication Channels)
  43. Trump ได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของสื่อในยุคปัจจุบัน (Media Evolution) โดยเขาเล่าว่า: “ลูกชายของผมซึ่งเป็นคนที่ฉลาดมากได้เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียงบางคนที่ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เขาบอกกับผมว่า ‘พ่อครับ พ่อไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้มีอิทธิพลมากแค่ไหน นี่คือโลกยุคใหม่ทั้งหมดเลย'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบัน (Media Landscape Change)
  44. Trump ได้พูดถึงการใช้อารมณ์ขันในการสื่อสาร (Humor in Communication) โดยเขากล่าวว่า: “คุณคงเคยเห็นตอนที่ผมแสดงท่าทางล้อเลียนการเดินของประธานาธิบดี Biden ที่ดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มันเป็นเรื่องตลก เหมือนกับการแสดงตลกแบบสแตนด์อัพคอมเมดี้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการเมือง (Political Humor)
  45. Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา (Direct Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ตลอดชีวิตของผม ผมไม่เคยเจอใครสักคนที่มาบอกผมว่า ‘ท่านประธานาธิบดีคะ เราจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผู้ชายสามารถเข้าไปแข่งกีฬาในประเภทของผู้หญิงได้'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายในการสื่อสารจุดยืนของตนเอง (Clear Position Communication)
  46. Trump ได้พูดถึงวิธีการจัดการกับสื่อที่บิดเบือนข้อเท็จจริง (Media Distortion Management) โดยเขากล่าวว่า: “สื่อไม่จำเป็นต้องบิดเบือนคำพูดของผมเลย เพราะพวกเขาสามารถแต่งเรื่องขึ้นมาเองได้เลย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมพูดถึงคำว่า ‘bloodbath’ ผมกำลังพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะประเทศญี่ปุ่นและจีนกำลังเข้ามายึดครองธุรกิจรถยนต์ของเรา” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่สื่อนำคำพูดไปใช้ผิดบริบทเพื่อสร้างความเข้าใจผิด (Media Context Manipulation)
  47. Trump ได้อธิบายถึงการสื่อสารกับฐานเสียงของเขา (Base Communication) โดยเขากล่าวว่า: “ในการชุมนุมของผม มีประชาชนมาร่วมงานถึง 28,000-29,000 คน ในขณะที่ Hillary มีคนมาร่วมงานแค่ 500 คนเท่านั้น แต่พวกสื่อกลับบอกว่าผมจะแพ้การเลือกตั้ง ผมจึงถามพวกเขาว่า ‘ผมจะแพ้ได้อย่างไร ในเมื่อผมมีคนมาฟังผมพูดถึง 40,000 คน'” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการวัดความนิยมจากการตอบรับที่เกิดขึ้นจริง (Real Support Measurement)
  48. Trump ได้พูดถึงการใช้ความจริงใจในการสื่อสาร (Authentic Communication) โดยเขากล่าวว่า: “เวลาที่คุณเห็นนักการเมืองบางคนพูด คุณจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ เพราะพวกเขามีแต่คำตอบที่เตรียมมาล่วงหน้า คุณไม่มีทางที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้เลย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบของการสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติและจริงใจ (Natural Communication Advantage)
  49. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับการถูกโจมตีจากสื่อ (Media Attack Management) โดยเขาเล่าว่า: “ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นใครถูกโจมตีเหมือนกับที่ผมถูกโจมตี และวิธีการที่พวกเขาใช้นั้นมีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการรับมือกับการถูกโจมตีอย่างเป็นระบบจากสื่อมวลชน (Systematic Media Attack Response)
  50. Trump เคยกล่าวว่า: “บางครั้งการแพ้ในศึกหนึ่ง อาจทำให้คุณค้นพบกับหนทางใหม่ในการชนะสงคราม” โดยในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ทรัมป์พ่ายแพ้ต่อโจ ไบเดน แต่เขามักกล่าวว่าแม้จะแพ้ในการเลือกตั้งครั้งก่อน แต่เขาก็ได้เรียนรู้และปรับตัว ซึ่งเขามองว่าเป็นการเตรียมตัวสำหรับการกลับมาชนะในครั้งต่อไป และเขาก็ชนะการเลือกตั้งในปี 2024 จนได้
  51. Trump พูดว่า “Without passion, you don’t have energy. Without energy, you have nothing.” “ถ้าหากคุณขาด passion ขาดความหลงใหล มันจะทำให้คุณไม่มีพลัง และหากคุณไม่มีพลัง คุณก็จะไม่มีอะไรเลย” ซึ่งทรัมป์ใช้คำพูดนี้เพื่อกระตุ้นทีมงานของเขาในโครงการใหญ่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการหาเสียง
  52. Trump ได้อธิบายถึงการใช้ความกล้าในการสื่อสาร (Bold Communication) โดยเขากล่าวว่า: กรณีที่เขาว่า “Russia, Russia, Russia” นั้น เป็นการพูดถึงข้อกล่าวหาที่ใส่ร้ายว่าเขามีความเชื่อมโยงกับรัสเซียในลักษณะที่อาจเป็นการสมคบคิด โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้งปี 2016 ซึ่งข้อกล่าวหานี้ในที่สุดก็ไม่พบหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าแคมเปญของทรัมป์มีการสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซีย
  53. สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Trump คือความสามารถในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างเต็มศักยภาพ เขาเล่าว่าหลังจากเริ่มใช้ TikTok คะแนนนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของเขาพุ่งสูงขึ้นถึง 30 คะแนน นี่คือการเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง โดยปกติแล้ว พรรครีพับลิกันมักเสียเปรียบในกลุ่มคนหนุ่มสาว แต่ Trump แสดงให้เห็นว่าการเข้าใจช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมสามารถสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาล
  54. Trump ได้เล่าถึงเทคนิคการสื่อสารในงานชุมนุม (Rally Communication) โดยเขาเล่าว่า: “ผมชอบพูดยาว ๆ และสอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ เข้าไป และถ้าคุณจะใช้เทคนิคการ ‘ถักทอเรื่องราว’ (Weave) คุณต้องมีความฉลาดพอสมควร เพราะคุณจะต้องสามารถวกกลับมาสู่ประเด็นเดิมให้ได้” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเทคนิคการพูดที่ทำให้ผู้ฟังสนใจติดตามตลอดเวลา (Engaging Speech Technique)
  55. Trump ไม่เคยลังเลที่จะพูดถึงการรับมือกับการบิดเบือนข้อมูลของสื่อ เขายกตัวอย่างกรณีรายการ 60 Minutes ที่เขามองว่าเป็น ‘เรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การออกอากาศ’ เพราะพวกเขาตัดคำตอบของ Kamala Harris และใส่คำอื่นเข้าไปแทน สำหรับ Trump การเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การปกป้องตัวเอง แต่ยังเป็นการปกป้องความจริงจากการบิดเบือนของสื่อด้วย
  56. ในประเด็นเกี่ยวกับการโต้วาที Trump เล่าถึงสถานการณ์ที่เขาต้องเจอคู่ต่อสู้หลายทางพร้อมกัน นอกจากคู่แข่งที่อยู่บนเวทีแล้ว เขายังพูดถึงผู้ดำเนินรายการอย่าง David Muir ที่ขัดจังหวะเขาถึง 11 ครั้งระหว่างโต้วาที Trump เน้นให้เห็นว่าการรับมือกับผู้ดำเนินรายการที่มีอคตินั้นเป็นความท้าทายที่เขาสามารถจัดการได้ด้วยความมั่นคงและชัดเจนในการสื่อสาร
  57. Trump ได้อธิบายถึงการใช้ตัวเลขในการสื่อสาร (Statistical Communication) โดยเขากล่าวว่า: “เมื่อคุณดูที่ตัวเลขผลงานของเรา คุณจะเห็นว่าเราสร้างเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ มีการลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และสามารถแต่งตั้งตุลาการศาลสูงสุดได้ถึง 3 คน ในขณะที่ประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้แม้แต่คนเดียว” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ตัวเลขและสถิติเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการสื่อสาร (Statistical Credibility)
  58. เมื่อถูกพูดถึงข่าวลือเกี่ยวกับความยากลำบากในการทำงานกับเขา Trump หักล้างทันทีด้วยตัวอย่างที่สะท้อนถึงความต้องการในตำแหน่งที่เขามอบให้ เขาบอกว่าผู้คนถึงขั้น ‘ยอมตาย’ เพื่อได้ทำงานร่วมกับเขา Trump ใช้วิธีนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าความจริงอาจตรงกันข้ามกับสิ่งที่ข่าวลือพยายามนำเสนอ
  59. Trump ยังมีวิธีโจมตีคู่แข่งที่สร้างผลกระทบได้อย่างชัดเจน หนึ่งในตัวอย่างที่เป็นที่จดจำคือคำพูดกับ Hillary Clinton ระหว่างโต้วาทีประธานาธิบดีปี 2016 ที่เขากล่าวว่า “You should be in jail.” คำพูดนี้สะท้อนการเสียดสีและใช้อารมณ์ขันอย่างเฉียบคม เพื่อจี้ไปยังประเด็นที่เธอถูกกล่าวหาว่าใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวในงานราชการ แม้คำพูดนี้จะฟังดูรุนแรง แต่การใช้จังหวะอารมณ์ขันก็ช่วยลดแรงปะทะและทำให้ผู้สนับสนุนจดจำได้ง่าย
  60. Trump เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมจะสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่สุด ๆ บริเวณชายแดนทางใต้ของเรา และผมจะให้เม็กซิโกเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย” Trump ใช้คำพูดนี้เพื่อชูประเด็นการควบคุมพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก โดยให้คำมั่นว่าจะสร้างกำแพงเพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและการค้ายาเสพติด แม้ว่าคำกล่าวนี้จะเรียกความสนใจได้มาก แต่ก็สะท้อนถึงความซับซ้อนของการเปลี่ยนนโยบายให้กลายเป็นความจริง ซึ่งต้องเจอกับข้อจำกัดทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  61. Trump อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านพลังงานของสหรัฐฯ ว่า ประเทศมีทรัพยากรน้ำมันใต้ดินมากกว่าประเทศอื่น เขาได้อนุมัติโครงการ ANWR (Arctic National Wildlife Refuge) ในอลาสก้า ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดี Reagan ก็ยังไม่สามารถทำได้สำเร็จ โดยแหล่งน้ำมันแห่งนี้มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับแหล่งน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานที่มุ่งสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างยั่งยืน
  62. Trump ได้พูดถึงนโยบายการค้าว่า สหรัฐฯ สามารถกลับมาร่ำรวยได้อีกครั้งด้วยการใช้มาตรการภาษีนำเข้าอย่างเหมาะสม โดยอ้างถึงช่วงทศวรรษ 1880 และ 1890 สมัยประธานาธิบดี McKinley ที่ได้รับฉายาว่า ‘ราชาแห่งภาษีนำเข้า’ ซึ่งในเวลานั้นสหรัฐฯ เคยเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุด สะท้อนถึงการใช้บทเรียนจากประวัติศาสตร์มาสนับสนุนนโยบายการค้าในปัจจุบัน
  63. ในเรื่องการจ้างงาน Trump เน้นย้ำว่าจำเป็นต้องทำให้โรงงานต่าง ๆ กลับมาสร้างในสหรัฐฯ เพราะเมือง Detroit กำลังเผชิญปัญหาอย่างหนัก ขณะที่โรงงานผลิตรถยนต์ของจีนกำลังจะสร้างในเม็กซิโกเพื่อส่งขายในอเมริกา ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนของเราตกงานจำนวนมาก โดยทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความสำคัญของนโยบายการปกป้องการจ้างงานภายในประเทศ
  64. Trump กล่าวถึงมุมมองด้านการศึกษาว่า แนวคิดแบบ Woke ซึ่งหมายถึงการผลักดันความคิดเรื่องความเท่าเทียมและเสรีภาพในรูปแบบที่อาจถูกมองว่าเป็นการยัดเยียด ควรถูกกำจัดออกจากระบบการศึกษา เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มปฏิเสธแนวคิดเหล่านี้ และต้องการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สมดุลและเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อรองรับมุมมองที่หลากหลายได้อย่างเหมาะสม
  65. Trump ยังได้พูดถึงความมั่นคงของประเทศ โดยย้ำว่าจำเป็นต้องมีชายแดนที่ปลอดภัยและระบบการเลือกตั้งที่ยุติธรรม เพราะประเทศจะสมบูรณ์ไม่ได้หากไม่มีการควบคุมชายแดนที่ดี ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับความมั่นคงพื้นฐานของประเทศ
  66. Trump ได้อธิบายถึงวิสัยทัศน์ด้านการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety Vision) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องคืนเกียรติและศักดิ์ศรีให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของเรา เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงและเห็นผู้คนถูกยิงอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลายคนเป็นโรค PTSD (ความเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง) บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย และอีกหลายคนก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายการสนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ (Law Enforcement Support)
  67. Trump ได้พูดถึงนโยบายการบริหารรัฐ โดยเน้นว่าข้าราชการที่ดีที่สุดไม่ใช่ผู้ที่ออกสื่อบ่อยครั้ง แต่เป็นคนที่ทำงานหนักเบื้องหลัง เช่น นายพลที่ช่วยปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่าง ISIS ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับผลงานที่เป็นรูปธรรมมากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก
  68. “You’re going to change. You’re going to change. You’re going to adapt to what is going on.” Donald Trump เคยกล่าวไว้ว่า “คุณจะต้องเปลี่ยนแปลง คุณจะต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น” ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการปรับตัวในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และผู้ที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จะเป็นคนที่อยู่รอดและประสบความสำเร็จในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
  69. Trump กล่าวถึงความท้าทายที่เกษตรกรชาวอเมริกันกำลังเผชิญ โดยระบุว่า “เกษตรกรของเรากำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการบริหารประเทศที่ขาดวิสัยทัศน์ ทั้งที่พวกเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและมีความเชี่ยวชาญในที่ดินของตัวเอง พวกเขารู้ดีว่าที่ดินแต่ละแปลงเหมาะกับการปลูกพืชชนิดใด บางแปลงเหมาะกับมันฝรั่ง บางแปลงเหมาะกับข้าวโพด การบังคับให้ปลูกพืชชนิดเดียวกันทุกที่ถือเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุด” คำพูดนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในความหลากหลายของภาคเกษตรกรรมและความจำเป็นในการบริหารจัดการอย่างยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนเกษตรกร
  70. Trump ได้อธิบายถึงนโยบายด้านภาษี (Tax Policy) โดยเขากล่าวว่า: “ในสมัยที่ผมเป็นประธานาธิบดีสมัยก่อน ผมได้ลดอัตราภาษีจาก 40 เปอร์เซ็นต์ลงเหลือ 21 เปอร์เซ็นต์ และในปีแรกที่ใช้นโยบายนี้ รัฐบาลกลับสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากกว่าตอนที่เก็บภาษีในอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์เสียอีก ลองคิดดูสิว่ามันสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขนาดไหน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการใช้นโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (Tax-driven Economic Stimulus)
  71. Trump ได้กล่าวถึงบทบาทของสื่อมวลชนว่า “สื่อต่าง ๆ ได้รับใบอนุญาตในการออกอากาศโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งใบอนุญาตเหล่านี้มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากพวกเขาใช้คลื่นความถี่ที่เป็นสาธารณสมบัติ พวกเขาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องนำเสนอข้อมูลอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา” คำพูดนี้สะท้อนถึงความต้องการในการปฏิรูประบบสื่อมวลชน เพื่อให้สื่อมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
  72. “Show me someone without an ego, and I’ll show you a loser.” “ลองยกตัวอย่างคนสักคนที่ไม่มีอีโก้ให้ผมเห็นดูสิ แล้วผมจะแสดงให้คุณว่าหน้าตาของพวกขี้แพ้นั้นเป็นอย่างไร” โดยคำพูดนี้ สอนให้เราเข้าใจว่าความมั่นใจในตัวเองเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การมีอีโก้ที่เหมาะสม จะช่วยขับเคลื่อนให้เรากล้าท้าทายขีดจำกัด ตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น และยืนหยัดในความเชื่อมั่นของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องรักษาสมดุลระหว่างอีโก้และความอ่อนน้อมถ่อมตน เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ความภาคภูมิใจในตัวเองจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง แต่ควรใช้เป็นแรงผลักดันที่ช่วยให้เราเติบโตและประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสร้างสรรค์และมั่นคง
  73. ในหนังสือ “Think Like a Champion” ทรัมป์กล่าวว่า “ท้ายที่สุด คุณไม่ได้ถูกวัดจากสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำ แต่จากสิ่งที่คุณสำเร็จจริง” คำพูดนี้เตือนให้เราตระหนักว่า การลงมือทำและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้นสำคัญกว่าคำพูดหรือความตั้งใจเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนแผนและความฝันให้กลายเป็นความจริง
  74. Trump ได้วิพากษ์วิจารณ์การจัดการทรัพยากรน้ำในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยกล่าวว่า “ประชาชนที่นี่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ ทั้งที่รัฐนี้มีน้ำปริมาณมหาศาล แต่เพราะต้องการปกป้องปลาขนาดเล็กบางชนิด พวกเขาปล่อยน้ำหลายล้านแกลลอนลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก” คำพูดนี้สะท้อนถึงการวิพากษ์แนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำที่อาจขาดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการตอบสนองความต้องการของประชาชน
  75. Trump ได้แสดงมุมมองต่อพลังงานลม โดยกล่าวว่า “กังหันลมเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนสูงที่สุด เมื่อเวลาผ่านไป พวกมันเริ่มเป็นสนิมและเสื่อมสภาพ และเรายังต้องจัดการกับใบพัดเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งกลายเป็นเหมือนสุสานกังหันลมและยังก่อให้เกิดมลพิษอีกด้วย” คำพูดนี้สะท้อนถึงข้อจำกัดและผลกระทบของพลังงานลม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือก
  76. ทรัมป์กล่าวไว้ว่า “ความกล้าหาญไม่ใช่การไม่มีความกลัว แต่คือการสามารถลงมือทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะกลัวก็ตาม” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนต่างมีความกลัวในใจ แต่สิ่งที่แยกผู้กล้าออกจากผู้อื่นคือการไม่ปล่อยให้ความกลัวนั้นหยุดยั้งเรา การลงมือทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะยากลำบากหรือเสี่ยง คือสิ่งที่นำเราไปสู่ความสำเร็จ
  77. ในหนังสือ “Trump: How to Get Rich” ทรัมป์แนะนำว่า “รักษาแรงผลักดันและก้าวไปข้างหน้า คุณหยุดไม่ได้ในช่วงที่เพิ่งเริ่มต้น” คำแนะนำนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความต่อเนื่องในช่วงเริ่มต้น เมื่อเรามีแรงผลักดันที่ดี เราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่าหยุดกลางทาง เพราะอาจทำให้เสียโอกาสและพลังงานที่ลงทุนไป
  78. ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า “การวิจารณ์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณเข้าใจว่าคนที่ไม่ถูกวิจารณ์คือคนที่ไม่กล้าเสี่ยงอะไรเลย” คำพูดนี้เตือนให้เรามองคำวิจารณ์ในเชิงบวก คนที่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ หรือเสี่ยงกับสิ่งที่ไม่เคยทำ ย่อมต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์ แต่คำวิจารณ์เหล่านี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองและสร้างความแข็งแกร่งในอนาคต
  79. Trump ได้แสดงจุดยืนในเรื่องความปลอดภัยของระบบการเลือกตั้ง โดยกล่าวว่า “ประเทศของเราจำเป็นต้องมีระบบบัตรประจำตัวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพราะแม้แต่การซื้อของที่ร้านขายของชำ คุณยังต้องแสดงบัตรประจำตัว แต่สำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของชาติ กลับไม่จำเป็นต้องใช้บัตรประจำตัวเลย” คำพูดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปฏิรูปเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในการเลือกตั้ง
  80. Trump ได้พูดถึงมุมมองต่อปัญหาหนี้สาธารณะ โดยกล่าวว่า “ประเทศของเรามีหนี้สาธารณะสูงถึง 35 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าคุณมองในแง่ของมูลค่าทรัพย์สิน เรามีทั้งน้ำมันใต้ดิน แหล่งน้ำ ภูเขา และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่ามหาศาล” คำพูดนี้สะท้อนถึงมุมมองที่เน้นการใช้ทรัพยากรของประเทศเป็นจุดแข็งในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ

  81. “Sometimes your best investments are the ones you don’t make.” “บางครั้ง การลงทุนที่ดีที่สุดคือการที่คุณไม่ลงทุน” คำพูดนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการรู้จักปฏิเสธโอกาสที่ไม่เหมาะสม ไม่ใช่ทุกการลงทุนจะนำไปสู่ความสำเร็จ การตัดสินใจไม่ลงทุนในบางครั้ง ช่วยป้องกันความเสี่ยงและสงวนทรัพยากรไว้สำหรับโอกาสที่ดีกว่าในอนาคต บทเรียนคือ ความฉลาดไม่ได้อยู่ที่การคว้าโอกาสทั้งหมด แต่อยู่ที่การเลือกโอกาสที่เหมาะสมที่สุด
  82. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการความท้าทายด้านความปลอดภัย (Security Challenge) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีนั้นถือเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด รองจากการเป็นทหารในสนามรบ การเป็นนักดับเพลิง หรือการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงและอันตรายที่แฝงอยู่ในการเป็นผู้นำประเทศ (Leadership Risk)
  83. Trump ได้เล่าถึงการรับมือกับการถูกลอบสังหาร (Assassination Attempts) โดยเขาเล่าว่า: “มีการพยายามลอบสังหารผมถึงสองครั้ง แต่สื่อกลับพยายามปิดข่าวนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าเป็นประธานาธิบดี Biden ที่ถูกยิงที่หู สื่อจะต้องโจมตีฝ่ายขวาอย่างหนักขนาดไหน” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่แตกต่างกันในการนำเสนอข่าวของสื่อ (Media Double Standards)
  84. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับข้อกล่าวหาต่าง ๆ (Accusations Management) โดยเขากล่าวว่า: “ผมถูกสอบสวนมากกว่า Al Capone เสียอีก ทั้งที่เขาเป็นอาชญากรที่โหดร้ายที่สุด และพร้อมที่จะฆ่าใครก็ตามที่เขาไม่ชอบภายในเวลาไม่กี่วินาที” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการรับมือกับการถูกโจมตีทางการเมือง (Political Attack Response)
  85. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับการฟ้องร้องทางกฎหมาย (Legal Challenges) โดยเขากล่าวว่า: “สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นี้มีแต่ในประเทศโลกที่สาม นั่นคือการไล่ล่าคู่แข่งทางการเมือง แต่ผมก็สามารถชนะคดีใหญ่ในรัฐฟลอริดาได้ และตอนนี้ผมกำลังจะชนะในคดีอื่น ๆ ด้วย” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง (Weaponized Justice System)
  86. Trump ได้กล่าวถึงความท้าทายด้านความมั่นคงที่ชายแดน โดยระบุว่า “ในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีผู้คนจาก 129 ประเทศเข้ามาในประเทศของเรา โดยในจำนวนนี้มีอาชญากรที่ก่อคดีร้ายแรงถึง 99,000 คน และผู้กระทำความผิดทางเพศอีก 15,000 คน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอย่างเสรี” คำพูดนี้สะท้อนถึงปัญหาความปลอดภัยที่เกิดจากการขาดการควบคุมที่เข้มงวดในการจัดการกับชายแดน
  87. Trump เล่าถึงผลกระทบของนโยบายผู้อพยพ โดยยกตัวอย่างเมือง Springfield รัฐ Ohio ซึ่งมีประชากรเพียง 52,000 คน แต่ต้องรองรับผู้อพยพเพิ่มขึ้นถึง 32,000 คน โดยส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงบริการทางการแพทย์และการศึกษาได้ยากขึ้น คำพูดนี้สะท้อนถึงผลกระทบที่นโยบายผู้อพยพสร้างต่อชุมชนท้องถิ่น
  88. “I try to learn from the past, but I plan for the future by focusing exclusively on the present.” “ผมพยายามเรียนรู้จากอดีต แต่ผมวางแผนสำหรับอนาคตโดยมุ่งเน้นเฉพาะปัจจุบัน” Trump ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง การเรียนรู้จากอดีตช่วยหลีกเลี่ยงความผิดพลาด แต่การลงมือทำในวันนี้คือสิ่งที่สร้างอนาคต บทเรียนคือ อย่าจมอยู่กับอดีตหรือกังวลกับอนาคต แต่จงใช้ปัจจุบันให้เต็มที่ เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่คุณควบคุมได้
  89. Trump ได้พูดถึงการจัดการไฟป่า (Forest Fire Management) โดยเขากล่าวว่า: “เราจำเป็นต้องดูแลและบำรุงรักษาป่าของเราให้ดี เพราะเมื่อต้นไม้ล้มลง หลังจากผ่านไป 18 เดือน มันจะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่แห้งมาก เปรียบเสมือนกองฟืนขนาดใหญ่ที่พร้อมจะลุกไหม้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบำรุงรักษาป่าเพื่อป้องกันไฟป่า (Forest Maintenance)
  90. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับวิกฤตพลังงาน (Energy Crisis) โดยเขากล่าวว่า: “ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาต้องการให้ประชาชนทุกคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากลับประสบปัญหาไฟฟ้าดับเป็นประจำในทุกสุดสัปดาห์” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายพลังงานสะอาดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น (Energy Policy Reality Gap)
  91. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “ศัตรูภายใน” (Internal Enemies) โดยเขากล่าวว่า: “เรากำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่กว่าศัตรูภายนอก นั่นคือศัตรูภายในประเทศของเราเอง เรามีคนที่แสดงพฤติกรรมเลวร้าย ซึ่งผมเชื่อว่าพวกเขาต้องการให้ประเทศของเราล้มเหลวอย่างจริงจัง” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่มีต่อการต่อต้านจากภายในประเทศที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคง (Internal Opposition Perspective)
  92. “Get going. Move forward. Aim high. Plan a takeoff. Don’t just sit on the runway and hope someone will come along and push the airplane. It simply won’t happen. Change your attitude and gain some altitude. Believe me, you’ll love it up here.” “ลุกขึ้นและก้าวไปข้างหน้า ตั้งเป้าหมายสูง วางแผนการบิน อย่านั่งรออยู่บนรันเวย์และหวังว่าจะมีใครมาผลักเครื่องบิน มันจะไม่เกิดขึ้น เปลี่ยนทัศนคติของคุณและบินสูงขึ้น เชื่อเถอะ คุณจะรักมันเมื่ออยู่บนนั้น” คำพูดนี้กระตุ้นให้เราลงมือทำและไม่รอคอยโอกาส แต่สร้างโอกาสด้วยตนเอง การเปลี่ยนทัศนคติและมุ่งมั่นจะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่สูงขึ้น
  93. “What separates the winners from the losers is how a person reacts to each new twist of fate.” “สิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากผู้แพ้คือวิธีที่คนตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา” การปรับตัวและตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ
  94. Trump ได้พูดถึงการจัดการกับความกดดัน (Pressure Management) โดยเขากล่าวว่า: “ในขณะที่ผมกำลังขับรถลงถนน Pennsylvania Avenue นั้น ผมไม่เคยเห็นขบวนรถมอเตอร์ไซค์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารจำนวนมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต มันทำให้ผมตระหนักว่านี่เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มาก” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเข้ากับความรับผิดชอบใหม่ในฐานะประธานาธิบดี (New Responsibility Adaptation)
  95. Trump ได้อธิบายถึงการจัดการกับความเสี่ยง (Risk Management) โดยเขากล่าวว่า: “แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะคอยเตือนเรื่องความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ยังเลือกที่จะลงจากรถเพื่อทักทายประชาชน ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นอันตราย แต่ผมคิดว่าการได้พบปะกับประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องทำ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและการเข้าถึงประชาชน (Security-Accessibility Balance)
  96. “Experience taught me a few things. One is to listen to your gut, no matter how good something sounds on paper.” “ประสบการณ์สอนผมหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือการฟังสัญชาตญาณของคุณ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูดีแค่ไหนบนกระดาษ” การเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ แม้ข้อมูลบนกระดาษจะดูดีเพียงใด
  97. “I like to think of the word ‘focus’ as Follow One Course Until Successful.” “ผมชอบคิดว่าคำว่า ‘focus’ หมายถึง การติดตามเส้นทางเดียวจนกว่าจะประสบความสำเร็จ” การมุ่งมั่นในเส้นทางเดียวและไม่วอกแวก จะช่วยให้เราบรรลุความสำเร็จได้เร็วขึ้น
  98. Trump ได้เล่าถึงการจัดการกับวิกฤตการเงิน (Financial Crisis) โดยเขาเล่าว่า: “ในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ถ้าเราไม่เข้าไปช่วยเหลือธุรกิจบางแห่ง ประเทศของเราจะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 1929” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ยากลำบากในช่วงวิกฤตการณ์ (Difficult Crisis Decisions)
  99. “If you have a clear vision of where you want to go, it will make you unstoppable.” “ถ้าคุณมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่าจะไปที่ไหน อะไรก็หยุดคุณไม่ได้”
  100. Trump ได้สรุปถึงการจัดการความท้าทายทั้งหมด (Overall Challenge Management) โดยเขากล่าวว่า: “การเป็นประธานาธิบดีเป็นงานที่มีความเสี่ยงและอันตรายที่สุด แต่ถ้าคุณรู้วิธีใช้อำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างถูกต้อง คุณจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เราต้องทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เราต้องทำให้ประเทศของเราดีขึ้นกว่าเดิม” สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ (National Development Vision)

Resources