Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Bitcoin and Cryptocurrency

Bitcoin vs Gold vs Fiat Currency by Michael Saylor

Michael Saylor กับมุมมองที่มีต่อ Bitcoin

Michael Saylor เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับ Bitcoin โดยกล่าวว่า มันไม่สามารถถูกนิยามได้ด้วยคำเดียว เพราะความหลากหลายของบทบาทและศักยภาพของมัน Bitcoin อาจถูกมองว่าเป็น “สกุลเงินดิจิทัล” (digital currency) “ทองคำดิจิทัล” (digital gold) “ทรัพย์สินดิจิทัล” (digital property) “พลังงานดิจิทัล” (digital energy) หรือแม้แต่ “สินทรัพย์ดิจิทัล” (digital asset) แต่ละคำสะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่าง และมักนำไปสู่ความเข้าใจผิดในหมู่ผู้คนที่ยึดติดกับประสบการณ์หรือความเชื่อเดิมของตน

Michael ยกตัวอย่างคำว่า “cryptocurrency” ซึ่งหลายคนเข้าใจว่า Bitcoin เป็น “สกุลเงิน” (currency) ในความหมายเดียวกับดอลลาร์ (dollar) หรือยูโร (euro) ที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อกาแฟ (buy coffee) แต่เขาอธิบายว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ครบถ้วน เพราะ Bitcoin มีศักยภาพมากกว่าแค่การเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน (medium of exchange) คำว่า “peer-to-peer” ที่ปรากฏในเอกสารไวท์เปเปอร์ (whitepaper) ของ Bitcoin เองก็ถูกตีความแตกต่างกันออกไป คนทั่วไปอาจมองว่ามันหมายถึงการโอนเงินระหว่างบุคคล (individuals) แต่ในมุมมองของ Michael มันอาจหมายถึงการโอนทรัพย์สินระหว่างธนาคารกลาง (central banks) หรือองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทที่กว้างไกลกว่านั้น

Michael ยังชี้ให้เห็นว่าคำว่า “เงินสด” (cash) ก็เป็นอีกคำที่สร้างความสับสน หลายคนเชื่อว่าเงินสดหมายถึงธนบัตรหรือเหรียญ (banknotes or coins) ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เขายกตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ เช่น การที่กษัตริย์สเปนส่งทองคำมหาศาลเพื่อสนับสนุนสงคราม (war effort) ในศตวรรษที่ 16 หรือการโอนทองคำระหว่างธนาคารกลาง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคำว่า “เงินสด” ในอดีตนั้นหมายถึงสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น ทองคำ (gold) มากกว่าจะเป็นเงินที่คนส่วนใหญ่ใช้จับจ่ายในชีวิตประจำวัน

ทองคำกับ Bitcoin: การเปรียบเทียบที่ลึกซึ้ง

เขาเปรียบเทียบทองคำกับ Bitcoin โดยกล่าวว่าทองคำมีข้อจำกัดในหลายด้าน Michael ยืนยันว่าเขาไม่เคยเห็นเศรษฐีพันล้าน (billionaire) คนใดที่สร้างความมั่งคั่งจากการถือครองทองคำ (gold holdings) และไม่มีครอบครัวร่ำรวย (wealthy families) ใดที่ใช้ทองคำเป็นสินทรัพย์หลัก (core asset) เขายังกล่าวอย่างติดตลกว่าถ้าต้องพูดถึงข้อเสียของทองคำ เขาสามารถพูดได้ยาวถึงสองชั่วโมง แต่ที่สำคัญคือ Bitcoin ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านั้นทั้งหมด มันกลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset) ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับยุคดิจิทัล

Michael เสนออีกมุมมองหนึ่ง โดยเปรียบ Bitcoin กับ “อสังหาริมทรัพย์ดิจิทัล” (digital property) หรือ “อสังหาริมทรัพย์ในโลกไซเบอร์” (cyber real estate) เขาเล่าว่าถ้าคุณเสนอโอกาสให้คนรวยซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น ในไมอามี (Miami) นิวยอร์ก (New York) หรือลอนดอน (London) พวกเขาจะสนใจทันที Michael กล่าวว่า Bitcoin มีคุณสมบัติคล้ายกัน แต่มีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือมันมีพื้นที่จำกัด (limited space) และสามารถเปรียบได้กับตึกระฟ้า (skyscrapers) ในมหานครใหญ่ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่คนอยากครอบครองและสามารถเพิ่มมูลค่าได้ในระยะยาว

Bitcoin กับบทบาทในเศรษฐกิจยุคใหม่

“The Good, The Bad, and The Ugly” คือสามมุมมองที่ Michael Saylor ใช้เปรียบเทียบความเข้าใจที่หลากหลายเกี่ยวกับ Bitcoin โดยเขามองว่า การมอง Bitcoin เป็น “ทรัพย์สินดิจิทัล” (digital property) เป็นมุมมองที่ดีที่สุด เพราะมันนำเสนอ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่มีคุณค่าที่ยืนยาวและปลอดภัย ต่อมาเขากล่าวถึงการมอง Bitcoin เป็น “ทองคำดิจิทัล” (digital gold) ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็นมุมมองที่ยังมีข้อจำกัด และสุดท้ายคือการมองว่า Bitcoin เป็น “สกุลเงินดิจิทัล” (digital currency) ซึ่งมักก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและการต่อต้านจากกลุ่มนักการเมืองและสถาบันการเงิน

Michael อธิบายว่าคำจำกัดความที่เลือกใช้สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อการตอบรับ Bitcoin ในวงกว้าง หากเขาใช้คำว่า “สกุลเงินดิจิทัล” ในการพูดคุยกับมหาเศรษฐี หลายคนจะเกิดปฏิกิริยาปฏิเสธทันที เพราะพวกเขามองว่าสิ่งนี้กำลังแข่งขันกับสกุลเงินของชาติ เช่น ดอลลาร์ (dollar) หรือยูโร (euro) อย่างไรก็ตาม หากเขาเปลี่ยนคำอธิบายเป็น “ทรัพย์สินดิจิทัล” และอธิบายว่า Bitcoin เปรียบเสมือนเมืองที่มีขนาดจำกัดในโลกไซเบอร์ (cyberspace) ซึ่งประกอบด้วยเพียง 21 ล้านบล็อกที่มีจำนวนจำกัด ผู้ฟังส่วนใหญ่จะมองเห็นภาพและเข้าใจถึงคุณค่าของมันทันที

เขากล่าวว่าทองคำเป็นการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพและขาดศักยภาพในการเติบโตของมูลค่า (dead money) แม้ว่าบางคนอาจเลือกซื้อทองคำเพื่อแสดงออกถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมหรือสถานะทางสังคม (“virtue signaling”) แต่ในมุมมองของเขา ทองคำมีข้อจำกัดที่สำคัญในสองด้าน คือ ความคล่องตัว (mobility) และการใช้งานในเชิงพื้นที่และเวลา (space and time) ทองคำไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับโลก เนื่องจากต้องอาศัยทรัพยากรจำนวนมากในการจัดการ นอกจากนี้ ทองคำยังไม่สามารถรักษามูลค่าในระยะยาวได้ดีเท่าที่ควร เพราะอัตราเงินเฟ้อของทองคำที่เกิดจากการขุดใหม่ในแต่ละปีทำให้มูลค่าจางหายไปตามกาลเวลา

การเติบโตของ Bitcoin และผลกระทบในระยะยาว

Michael ยกตัวอย่างประวัติศาสตร์ เช่น การที่สเปนในศตวรรษที่ 16 ขนทองคำจากอเมริกากลับมายังยุโรปจนก่อให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรงและนำไปสู่การล่มสลายของเศรษฐกิจ หรือในกรุงโรมเมื่อจูเลียส ซีซาร์ นำทองคำกลับมาจากการพิชิตดินแดน จนทำให้เกิดเงินเฟ้อและความไม่สงบ Michael สรุปว่า Bitcoin เป็นการแก้ปัญหาทั้งหมดที่ทองคำมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความสามารถในการเคลื่อนย้าย (mobility) หรือการรักษามูลค่าในระยะยาว (store of value) เขาเชื่อว่า Bitcoin ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับสภาวะที่ระบบการเงินแบบเดิมและเงินเฟ้อกำลังคุกคามความมั่งคั่งของผู้คน

เมื่อพิธีกรถามถึงบทบาทของ Bitcoin ในสภาพแวดล้อมที่หนี้สินของโลกพุ่งสูงขึ้น Michael อธิบายว่าค่าเงินแบบดั้งเดิม เช่น ดอลลาร์ หรือยูโร อาจไม่ล่มสลายแบบฉับพลัน แต่จะค่อย ๆ ลดมูลค่าลง (devaluation) ในระยะยาว ดังนั้น คนที่ฉลาดจะเลือกเก็บทรัพย์สินที่รักษามูลค่าได้จริง เช่น อสังหาริมทรัพย์ (real estate) หรือพอร์ตหุ้น (stock portfolios) และในศตวรรษที่ 21 นี้ Bitcoin จะกลายเป็นตัวเลือกที่สำคัญที่สุดสำหรับการปกป้องความมั่งคั่งในระยะยาว

Michael ยังกล่าวถึงตัวอย่างของ MicroStrategy บริษัทของเขาที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนใน Bitcoin ตั้งแต่ปี 2020 บริษัทได้เริ่มต้นด้วยการซื้อ Bitcoin มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มการลงทุนด้วยการใช้เงินกู้และการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ (convertible bonds) ผลลัพธ์คือราคาหุ้นพุ่งขึ้นถึง 10 เท่า และมูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นมหาศาล เขาแนะนำว่า บริษัทที่ไม่มีการเติบโตหรืออยู่ในสถานะ “บริษัทซอมบี้” (zombie companies) ควรพิจารณาเปลี่ยนทรัพย์สินเป็น Bitcoin เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น

Michael ยังเสนอว่าประเทศขนาดเล็กถึงปานกลางควรใช้ Bitcoin เพื่อเสริมสร้างมูลค่าทรัพย์สินของประเทศ เช่น การพิมพ์เงินเพื่อนำไปซื้อ Bitcoin หรือการออกพันธบัตรและนำเงินที่ได้ไปลงทุนใน Bitcoin เขาอธิบายว่ากลยุทธ์นี้สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของประเทศและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้อย่างมหาศาล

Michael สรุปโดยย้ำว่า Bitcoin มีศักยภาพที่เหนือกว่าสินทรัพย์ดั้งเดิมทุกประเภท และเปรียบเทียบว่ามันเป็นโอกาสการลงทุนในทรัพย์สินที่ขาดแคลนในยุคดิจิทัล เช่นเดียวกับการมีโอกาสลงทุนในเกาะแมนฮัตตันเมื่อ 100 ปีก่อน ใครที่ครอบครอง Bitcoin ในวันนี้จะได้เปรียบอย่างมหาศาลในอนาคต

Resources

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *