Customise Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorised as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

No cookies to display.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

No cookies to display.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

No cookies to display.

Performance cookies are used to understand and analyse the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

No cookies to display.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customised advertisements based on the pages you visited previously and to analyse the effectiveness of the ad campaigns.

No cookies to display.

Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

News

Bill Gates ทำนายอนาคตเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ว่าการระบาดไวรัสครั้งต่อไป โลกยังไม่พร้อมที่จะรับมือ

ณ นาทีนี้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงข่าวและวิกฤตของ Coronavirus หรือ COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดและทำให้ประชากรโลกต้องเจ็บป่วยและล้มตายเป็นจำนวนมาก ในขณะที่แนวหน้ากองรบอย่างบุคคลากรทางการแพทย์ ก็พยายามที่จะต่อกรกับโรคร้ายนี้อย่างสุดกำลัง

สิ่งที่พวกเราพอจะทำได้ โดยที่ไม่ต้องรอหรือร้องขอความช่วยเหลือจากใคร นั่นก็คือ การมีความรับผิดชอบในตนเอง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ทำร่างกายให้แข็งแรง และมีจิตสาธารณะต่อผู้อื่นในสังคม  หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่เสี่ยง แต่หากไปในพื้นที่เสี่ยงก็กักตัวเองเพื่อดูอาการและช่วยลดการแพร่กระจาย เพื่อให้ประเทศชาติและประเทศโลกของเรานั้น เดินหน้าต่อไปได้

และนี่ก็คือ เรื่องราวของ Bill Gates มหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก ได้ออกมาพูดเมื่อปี 2015 ในงาน TED Talks ว่า สงครามโลกครั้งต่อไปไม่ใช่การรบกันด้วยยุทโธปกรณ์ แต่หากเป็นสงครามโรคที่มีศัตรูเป็นอาวุธขนาดจิ๋วที่เรามองไม่เห็น

โดย บิล เกตส์ ได้เล่าว่า

เมื่อสมัยตอนที่เขายังเป็นเด็ก พวกเราถูกเสี้ยมสอนมาว่า หายนะที่น่ากลัวที่สุดก็คือ สงครามนิวเคลียร์ ซึ่งแนวทางปฏิบัติหากในกรณีที่เกิดสงครามนิวเคลียร์จริง ๆ นั่นก็คือ การเข้าไปหลบในหลุมหลบภัยใต้ดิน แล้วตุนน้ำและอาหารให้มากพอกว่าที่รังสีจากนิวเคลียร์จะสลายหรือจางไปจนสามารถขึ้นมาบนดินได้อย่างปลอดภัย

ซึ่งภาพความน่ากลัวของสงครามในอดีตมักมีรูปร่างเป็นการสูญเสียจากระเบิดนิวเคลียร์ลงใจกลางเมืองเป็นแรงระเบิดรูปทรงคล้ายเห็ดยักษ์พร้อมกับแสงเพลิงวูบวาบที่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ไกล ๆ แต่ ณ ปัจจุบันนี้หน้าตาของเจ้าอาวุธร้ายแรงกลับเป็นหน้าตาทรงกลม ๆ เล็ก ๆ มีแขนตะปุ่มตะปั่ม ที่ขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นั่นก็คือเจ้า ไวรัส นั่นเอง

และถ้าหากจะพูดถึงสิ่งที่ทำให้ประชากรโลกล้มตายนับสิบล้านภายในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนี้ มันก็คงจะหนีไม่พ้นว่ามันน่าจะเป็นฝีมือของเจ้าไวรัส มากกว่าที่จะเกิดจากสงครามโลก 2 ครั้งที่ผ่านมาในอดีต ที่ความเสียหายมักจะเกิดจากขีปณาวุธอย่าง Missile แต่ในขณะปัจจุบันความเสียหายอาจจะเกิดจากอาวุธชีวภาพที่มีขนาดเล็กจิ๋วระดับ Micro ซะมากกว่า

ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเสียหายจากไวรัสมีสูงกว่าจากนิวเคลียร์ก็คือ โลกของเราได้ลงทุนไปอย่างมากมายกับการยับยั้งและป้องกันความเสียหายจากระเบิดนิวเคลียร์ แต่กลับมีการลงทุนน้อยมากในเรื่องของระบบการป้องกันเพื่อที่จะหยุดการแพร่กระจายความเสียหายที่เกิดจากไวรัส

โดย Bill Gates ได้เน้นย้ำว่า “We are not ready for the next epidemic.” ที่แปลได้ว่า พวกเรายังไม่พร้อมรับมือกับการระบาดของไวรัสในครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้น

โดย Bill Gates ได้เล่าถึงเจ้าไวรัสที่ชื่อว่า EBOLA ที่เคยสร้างความเสียหายต่อประชากรโลกและบุคคลากรทางการแพทย์ไปอย่างมากมาย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นข่าวระดับโลกที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็นผ่านตามาจากสื่อต่าง ๆ มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งตัวของ Bill Gates ก็ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และพยายามใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดเท่าที่มีในตอนนั้น เพื่อติดตามข่าวสารและการแพร่ระบาดของ EBOLA โดยใช้เครื่องมือตัวเดียวกันกับที่เขาได้ใช้การติดตามเพื่อกำจัดโรคติดต่อร้ายแรงอย่างโรค โปลิโอ(Poliomyelitis) ซึ่งเขาพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ว่าระบบทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ “เราไม่มีระบบอะไรเลยต่างหาก!”

ซึ่งส่วนประกอบที่ควรจะมีในระบบก็ไม่มี ยกตัวอย่างเช่น เราไม่มีกลุ่มนักระบาดวิทยาที่พร้อมจะเข้าไปลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบว่าโรคนั้นคืออะไร ดูว่ามันระบาดไปถึงไหนแล้ว ซึ่งสิ่งที่เราได้รับข่าวสารมักมาจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งรายงานช้ามาก ก่อนที่จะถูกอัพโหลดข้อมูลขึ้นบนโลกอินเตอร์เน็ต แถมยังมีข้อมูลที่คาดเคลื่อนเยอะมากด้วย

เราไม่มีทีมแพทย์ที่พร้อมจะไป เราไม่มีวิธีการเตรียมคนให้พร้อมรับมือกับไวรัสด้วยซ้ำ ซึ่งแม้เราจะมีองค์กรการแพทย์ไร้พรมแดนอย่าง เมดแซง ซอง ฟรองแตร์ (Médecins Sans Frontières : MSF) ช่วยในการประสานงานกับเหล่าบรรดาอาสาสมัครเป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังคงทำงานได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น ในการนำบุคคลากรนับพันคนเพื่อเข้าไปประเทศที่มีไวรัสระบาดเหล่านี้ ซึ่งหากเกิดไวรัสระบาดครั้งใหญ่ เราจะต้องมีบุคคลากรนับแสนคนเข้ามาจัดการเรื่องนี้

เราไม่มีใครคอยดูแลเรื่องแนวทางการรักษาโรค ไม่มีใครคอยดูแลเรื่องการตรวจโรค ไม่มีใครที่จะรู้ว่าควรใช้เครื่องมืออะไรในการรับมือ ยกตัวอย่างเช่น เราควรจะเก็บเลือดตัวอย่างจากผู้ที่รอดชีวิต แล้วจัดการกับเลือดนั้น ฉีดพลาสม่าให้กับคนอื่นเพื่อป้องกันโรค แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีใครที่จะลุกขึ้นมาเพื่อจะพยายามลองทำมัน

ดังนั้นพวกเราจะเห็นได้ว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ควรจะมีเพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัส แต่มันก็ไม่มี และนี่ก็คือความล้มเหลวระดับโลกอย่างแท้จริง ซึ่งแม้ว่าองค์กรอนามัยโลกจะได้รับทุนในการติดตามการระบาด แต่กลับไม่ได้มีหน้าที่ทำในสิ่งที่ Bill Gates พูดไปก่อนหน้านี้เลย

ส่วนถ้าเทียบกับในภาพยนตร์แล้วล่ะก็ มันจะแตกต่างออกไปนั่นก็คือ ในหนังนั้นจะเป็นกลุ่มของนักระบาดวิทยาที่มีหน้าตาดีที่พร้อมจะลงพื้นที่ และกอบกู้โลกในทันที ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีแต่ในเฉพาะ Hollywood เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

contagion

และความล้มเหลวในการเตรียมตัวของโลกในครั้งนี้ อาจเอื้อให้เกิดการระบาดครั้งถัดไปที่รุนแรงมากเสียยิ่งกว่าเคสของ EBOLA ที่ถูกบันทึกไว้ในวันที่ 18 มีนาคม ปี 2015 ว่ามีผู้เสียชีวิตรวมกันทั้งโลกกว่า 10,194 คน ซึ่งผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดอยู่ภายใน 3 ประเทศ ทางทวีปแอฟริกันตะวันตก ซึ่งมีเหตุผลอยู่ 3 ประการที่ทำให้มันไม่ระบาดไม่มากกว่านี้ก็คือ

เหตุผลที่ 1 – มีเจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาลจำนวนมากที่ปฏิบัติงานอย่างกล้าหาญ พวกเขาพบคนที่ป่วยและพวกเขาก็ป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นอีก

เหตุผลที่ 2 – มันเป็นธรรมชาติของไวรัส โดย EBOLA นั้นมันไม่แพร่กระจายผ่านอากาศ และเมื่อมันระบาด คนส่วนใหญ่ก็ป่วยมากจนลุกออกจากเตียงไม่ได้

เหตุผลที่ 3 – ไวรัสตัวนี้ มันไม่ได้ระบาดเข้าไปในเขตเมืองมากนัก ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ พวกเราโชคช่วยเอาไว้! เพราะถ้ามันแพร่กระจายเข้าในเขตเมืองมากกว่านี้ จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตก็คงจะมากกว่านี้อย่างแน่นอน

ดังนั้น การระบาดครั้งหน้า เราอาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้ ถ้าหากไวรัสตัวนั้นมันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะยังคงรู้สึกสบายดี แล้วพวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ว่าจะขึ้นเครื่องบิน หรือไปเดินตลาด ซึ่งแหล่งต้นกำเนิดของไวรัสมันอาจจะมาจากแหล่งธรรมชาติอย่างของ EBOLA หรือมันอาจจะมาจากการก่อการร้ายทางชีวภาพก็เป็นได้ ฉะนั้น มันมีสิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่า EBOLA เป็นพัน ๆ เท่าเลยทีเดียว

ต่อมา Bill Gates ได้ทำแบบจำลองไวรัส ในกรณีที่มันสามารถแพร่กระจายเชื้อในอากาศได้ เช่น ไข้หวัดสเปน เมื่อปี 1918 ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า มีคนเสียชีวิตเพราะการระบาดนี้กว่า 30 ล้านคน ซึ่งเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 263 วันเท่านั้น ดังนั้นมันจึงเป็นปัญหาใหญ่ ที่พวกเราทุกคนควรจะตระหนัก ซึ่งนั่นมันเป็นเรื่องของเมื่อร้อยปีที่แล้ว

แต่ ณ ปัจจุบันเราสามารถสร้างระบบตอบสนอง ที่ดีได้ โดยใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเราแทบทุกคนจะมีโทรศัพท์มือถือติดตัวอยู่ตลอด โดยสามารถใช้มันเพื่อที่จะรับข้อมูลข่าวสารจากสาธารณะ และสามารถส่งข้อมูลกลับออกไปได้ในทันที และนอกจากนั้นเรายังสามารถใช้ประโยชน์จากแผนที่ดาวเทียม ซึ่งจะทำให้เราสามารถเห็นว่าผู้คนอยู่ตรงไหนและพวกเขาเคลื่อนย้ายไปที่ใดกันบ้าง

เรามีความก้าวหน้าทางชีววิทยา ที่ช่วยในการย่นระยะเวลา ที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อโรคได้เร็วขึ้นเป็นอย่างมาก และสามารถที่จะผลิตยาและวัคซีน ที่เหมาะสมต่อโรคเหล่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ณ ตอนนี้เรามีเครื่องไม้เครื่องมืออยู่พอสมควร แต่เครื่องมือเหล่านี้จะต้องถูกนำเข้าไปไว้ในระบบสุขภาพระดับโลกทั้งหมด ไม่ใช่แยกอยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจายเป็นหย่อม ๆ และแต่ละแห่งก็ห่างเป็นกันเป็นโยชน์ และพวกเราจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับมัน

ซึ่งในความคิดของ Bill Gates เกี่ยวกับบทเรียนการเตรียมตัวเพื่อเตรียมพร้อมรบในศึกสงครามนั้น เขานึกถึงกองกำลังทหาร ที่มีหน่วยประจำการเอาไว้ตลอดเวลา และพร้อมที่จะรับคำสั่งทุกเมื่อ แถมยังมีระบบกองกำลังสำรองที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นได้อีกมาก อย่างเช่นหน่วยของ NATO มีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ซึ่งสามารถจัดขบวนให้เข้าที่เข้าทางได้อย่างรวดเร็ว มีการวางกลยุทธ์หลากหลายรูปแบบ และมีการฝึกซ้อมรบเพื่อทดสอบว่า คนในหน่วยงานนั้นพร้อมรบจริงมากแค่ไหน แถมพวกเขายังเข้าใจเรื่องของเสบียงสำรอง เรื่องของเชื้อเพลิงและการขนส่ง นอกจากนั้นยังมีการติดต่อผ่านเคลื่อนความถี่วิทยุ ซึ่งถ้าหากองค์กรที่รับมือกับโรคระบาดได้อย่างนี้บ้างก็คงจะดี

แล้วอะไรคือกุญแจสำคัญในการเตรียมพร้อมต่อกรกับการระบาดของไวรัสครั้งต่อไปกันล่ะ?

ข้อแรก – มีระบบการสาธารณสุขที่เข้มแข็ง (Strengthen health systems)

โดยเฉพาะในประเทศที่ยากจน ซึ่งสถานที่ที่ควรปลอดภัยและเข้มแข็งเป็นอย่างมากก็คือ มีสถานที่ที่ให้กำเนิดบุตรได้อย่างปลอดภัย และเด็ก ๆ ได้รับวัคซีนป้องกันได้ทั้งหมด รวมไปถึงสถานที่ที่มีการระบาดของไวรัสก่อนหน้านี้

ข้อสอง – กองหนุนทางการแพทย์ (Create a medical corps)

ต้องเตรียมพร้อมให้กับคนจำนวนมาก โดยพวกเขาเหล่านั้นจะต้องได้รับการฝึกฝนและมีพื้นฐานในการรับมือกับโรคระบาดมาเป็นอย่างดี มีความเชี่ยวชาญและพร้อมที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่

ข้อสาม – จับคู่บุคคลากรทางการแพทย์กับทหารเข้าด้วยกัน (Pair medical & military)

โดยใช้จุดแข็งของฝ่ายทหารมีจุดเด่นตรงที่สามารถเคลื่อนตัวได้รวดเร็ว การขนส่งทำได้อย่างทันท่วงที และสามารถรักษาความปลอดภัยให้กับพื้นที่นั้นได้

ข้อสี่ – ทำการจำลองรูปแบบที่สมจริง (Run germ games)

การแข่งขันเล่นเกมกับเชื้อโรคไม่เหมือนการเล่นเกมในสงคราม ทำให้เราสามารถเห็นจุดอ่อนหรือช่องโหว่ของเชื้อโรคนั้นได้ แล้วใช้แบบจำลองจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน แล้วหาวิธีรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

และข้อที่ห้า – การวิจัยและพัฒนาที่ก้าวหน้า (Step up research & development)

เพื่อสร้างวัคซีนและการวินิจฉัยที่รวดเร็ว แม่นยำ ให้ทันท่วงทีเพื่อลดและยับยั้งการระบาดของเชื้อโรคนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ส่วนในเรื่องของงบประมาณในการเตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดนั้น Bill Gates ได้กล่าวว่า มันไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่ได้เป็นเงินที่ฟุ่มเฟือยอย่างแน่นอน เพราะจากตัวเลขที่ธนาคารโลกได้ประเมินเอาไว้ หากในกรณีที่มีไข้หวัดระบาดไปทั่วโลก จะทำให้ความมั่งคั่งของโลกลดลงไปประมาณ 3,000,000,000,000 ดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 90,000,000,000,000 บาท และจะมีคนตายเป็นล้าน ๆ คน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การลงทุนในเรื่องนี้จะได้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด และมันจะได้มากกว่าแค่การรับมือกับโรคระบาด แต่มันจะทำให้เรื่องของสาธารณสุขเข้าถึงทุกคนทั่วโลกมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น หรือมีความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์น้อยลง

และ Bill Gates ก็ได้สรุปเอาไว้ว่า  เรื่องการเตรียมพร้อมนี้ ควรถูกยกระดับเป็นเรื่องอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเหตุการณ์จากการระบาดของ EBOLA นั้น ก็เป็นเครื่องเตือนโลกได้เป็นอย่างดี เพราะมันทำให้ผู้คนได้ตระหนักและตื่นตัวมากยิ่งขึ้น แต่เวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เข้าข้างเรา แต่ถ้าเราเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เราก็พร้อมที่จะรับมือกับการระบาดครั้งหน้าได้

สุดท้ายนี้เพื่อน ๆ ลองแชร์กันหน่อยครับว่า เราพอจะทำอะไรได้บ้าง เพื่อที่จะช่วยให้พวกเราทุก ๆ คน ได้ผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดนี้ไปด้วยกัน

Resources