Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

1 คำที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างสูง by Brian Tracy

Brian Tracy นักธุรกิจ, นักพูดและนักเขียนด้านการพัฒนาตนเองชื่อดัง ที่ ณ ปี 2021 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $15 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 500 ล้านบาท ได้มาแชร์เคล็ดลับที่เหล่าบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงใช้กัน

โดยคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูงแทบทั้งสิ้นนั้น พวกเขามักมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาพัฒนาตนเองผ่านการทำงานอย่างหนัก ด้วยการบ่มเพาะ Habits หรืออุปนิสัยที่ดีที่ส่งผลไปสู่ความสำเร็จ ทำให้พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้เกือบทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ

ซึ่งการที่จะพัฒนา Successful Habits หรืออุปนิสัยแห่งความสำเร็จนั้น เกิดจากการฝึกฝนนานหลายสัปดาห์ หลายเดือน หรือหลายปี เพื่อให้มันสมบูรณ์แบบ และนิสัยแห่งความสำเร็จอย่างหนึ่งที่คุณสามารถทำได้วันนี้เลย เดี๋ยวนี้เลยก็คือ การปฏิเสธอย่างมีศิลปะ ฝึกการพูดคำว่า ‘ไม่’

โดย Brian Tracy ได้รวบรวม 5 หลักการในการปฏิเสธอย่างมีศิลปะ ว่าทำไมจะต้องพูดคำว่า ‘ไม่’ และควรจะใช้มันอย่างไรและเมื่อไหร่ เพื่อให้เราก้าวไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายส่วนตัวหรือในอาชีพการงาน หรือกับธุรกิจของคุณก็ตามที

ศิลปะการปฏิเสธข้อที่ 1 – Utilize the 80/20 Rule จงใช้กฎ 80/20

ความหมายของกฎ 80/20 ก็คือ ความสำเร็จกว่าร้อยละ 80 ของคุณ นั้นมาจากงานที่สำคัญที่สุดร้อยละ 20 ที่คุณจำเป็นที่จะต้องทำ

ยกตัวอย่างเช่น ในแต่ละวันหากคุณลองลิสต์งานลงบนกระดาษแล้วพบว่า มีงานที่จำเป็นที่จะต้องทำในวันนี้จำนวน 10 งาน มันจะมีเพียงอยู่ 2 งานเท่านั้น ที่หากทำแล้ว จะส่งผลต่อความสำเร็จสูงถึง 80% เลยทีเดียว และงานส่วนที่เหลืออีก 8 อย่างนั้น คือ noise หรือสิ่งรบกวน หรือเป็นงานที่ไม่ค่อยส่งผลต่อความสำเร็จ

ดังนั้นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็คือ คุณจำเป็นที่จะต้องระบุให้ได้ว่า งานใดคืองานที่อยู่ในกลุ่มของ 20% ที่จำเป็นต้องทำ ที่เมื่อทำแล้วมันจะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์สูงถึง 80%

ทีนี้พอคุณจัดเรียงลำดับความสำคัญของแต่ละงานได้แล้ว ก็ให้เริ่มทำงานตามลำดับความสำคัญมากที่สุดก่อนแล้วค่อยไล่ไปหางานที่มีความสำคัญน้อยลงมา

โดยเทคนิคที่ Brian Tracy ชอบใช้กับตนเองก็คือ เมื่อเขาเขียนรายการของงานที่จะต้องทำในแต่ละวันเสร็จแล้ว เขามักจะตั้งคำถามกับตนเองว่า “หากพรุ่งนี้ ฉันมีธุระที่จะต้องไปนอกเมืองเป็นเวลาหนึ่งเดือน งานใดที่ฉันจำเป็นที่จะต้องลงมือทำอย่างตั้งใจในวันนี้ ก่อนที่ฉันจะออกเดินทาง” และงานที่คุณเลือกชิ้นนั้นแหละ คืองานที่สำคัญที่สุดที่คุณจะต้องทำมันก่อนเลย และคุณสามารถใช้เทคนิคในทุก ๆ ด้านของชีวิตได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องงานหรือเรื่องครอบครัว

ศิลปะการปฏิเสธข้อที่ 2 – Say No To Low Level Tasks จงปฏิเสธงานที่ไม่ค่อยมีความสำคัญ

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ พวกเขามักจะเขียนรายการที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่ก่อนนอนคืนนี้ โดยวิธีการที่ใช้ในการเรียงลำดับความสำคัญของแต่ละงาน ให้ใช้เทคนิค ABCDE method

A หมายถึง งานที่สำคัญที่สุด เป็นงานที่ซีเรียสมากและจะมีความเสียหายอย่างร้ายแรงหากไม่ยอมทำงานนี้ให้เสร็จสิ้น โดยงานนี้หากทำสำเร็จมันมักจะส่งผลให้ตัวคุณ งานคุณ รายได้คุณ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะนำผลดีไปสู่งานที่เหลือได้อีกด้วย

B หมายถึง งานที่คุณควรทำ แต่ผลที่ตามมานั้นอาจไม่ได้มากมายอะไรสักเท่าไหร่นักหากคุณไม่ได้ทำมัน โดยกฎง่าย ๆ ก็คือ อย่าทำงาน B เด็ดขาด หากงานในข้อ A ยังทำไม่หมด

C หมายถึง เป็นงานที่ถ้าทำเสร็จได้ก็จะดี แต่ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำงานนี้ มันก็ไม่มีผลอะไรกับเส้นทางไปสู่ความสำเร็จ

D หมายถึง งานที่คุณควรมอบหมายให้คนอื่นทำ

และ E หมายถึง งานที่คุณไม่ควรทำ ควรกำจัดมันทิ้งไปซะ

ซึ่งมหาเศรษฐีหลายต่อหลายคนที่ Brian Tracy เคยพูดคุยด้วย พวกเขาล้วนแล้วแต่โฟกัสในงานข้อ A ซะเป็นส่วนใหญ่ และเวลาที่เหลือพวกเขาจึงค่อยหันมาทำงานในข้อ B ส่วนงานในข้อ C มีบางเล็กน้อย แต่งานในข้อ D และ E นั้นพวกเขาจะพยายามไม่ไปแตะมันเลย

ศิลปะการปฏิเสธข้อที่ 3 – Say No To Distractions จงกำจัดสิ่งรบกวน

ในระหว่างวันทำงาน มันหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนได้ยากมาก เพราะมันจะมีสิ่งต่าง ๆ พยายามเข้ามาขัดจังหวะการทำงานของคุณอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็น เสียงโทรศัพท์ เสียงข้อความ เสียงเตือนจากโซเชียลมีเดีย อีเมลเข้า เพื่อนร่วมงานทัก หัวหน้าถามหา ลูกค้าเรียก ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้เวลากว่า 50% ของวัน หมดไปกับเรื่องเหล่านี้ นั่นมันทำให้ประสิทธิภาพของตัวคุณลดลงไปกว่าครึ่งที่ควรจะเป็น มันเป็นตัวบั่นทอนความสำเร็จ

ดังนั้น สิ่งที่คุณควรทำก็คือ การปกป้องเวลาทำงานของคุณยิ่งชีพ อย่างอื่นถ้าไม่ถึงกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายนั้นเอาไว้ก่อน ทำงานที่สำคัญให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปทำอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณกำลังทำงาน ให้ปิดการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือเอาไว้ก่อนเลย หยุดเช็คข้อความ หยุดเช็คสายเรียกเข้า หยุดเช็คโซเชียลมีเดีย หยุดเช็คอีเมล หรือแม้กระทั่งหยุดเช็คเรทติ้งของภาพถ่ายที่คุณพึ่งอัพโหลดไปเมื่อไม่นานมานี้ก่อน

ซึ่งหลังจากที่ Brian Tracy ได้ลองเปรียบเทียบระหว่างการเช็คอีเมลทั้งวัน ตั้งแต่ เช้า กลางวัน เย็น เขาพบว่า เมื่อเปลี่ยนเป็นเช็คอีเมลวันละครั้งแทน ทำให้เขามีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นกว่า 2-5 เท่า เลยทีเดียว

เพราะอย่าลืมว่า ‘เวลา’ เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของเรา ผ่านแล้วผ่านเลยไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ ดังนั้นจงใช้เวลาในการทำงานให้เต็มประสิทธิภาพ

ศิลปะการปฏิเสธข้อที่ 4 – Avoid Work Below Your Pay Grade หลีกเลี่ยงการทำงานที่ต่ำกว่าระดับรายได้ของตัวคุณ

ปกติแล้วตัวเราได้รับค่าตอบแทนชั่วโมงละเท่าไหร่ โดยให้คุณลองเอาจำนวนชั่วโมงที่ทำงานมาหารค่าตอบแทน เช่น สมมติคุณมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เดือนนึงทำอยู่ประมาณ 20 วัน เท่ากับว่าคุณทำงานไป 8×20=160 ชั่วโมง คุณก็จะมีค่าตอบแทนชั่วโมงละ 20,000/160=125 บาท/ชั่วโมง เป็นต้น

ทีนี้เวลาที่คุณทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลางานก็ตามที เช่น ชงกาแฟ แล้วหาที่นั่งดื่มกาแฟ พร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นการไถหน้ามือถือเพื่ออัพเดทข่าวสาร หรือเม้าท์มอยส์กับเพื่อน ๆ ถึงเรื่องละครเมื่อคืน นั่นหมายถึงว่า เวลาที่คุณใช้ไปกับกิจกรรมเหล่านั้น คุณก็จะต้องจ่ายเป็นเวลา ซึ่งคุณก็ลองชั่งใจดูว่า เวลาที่คุณจ่ายไปกับกิจกรรมเหล่านั้น มันก็เหมือนกับการที่คุณทำงานได้ไม่ครบค่าเหนื่อยที่คุณได้รับ ทำให้ผลงานที่ออกมานั้น ในมุมมองของนายจ้าง หรือในมุมมองของคนที่จ่ายเงินค่าตอบแทนให้คุณนั้น พวกเขาก็จะมองว่าตัวคุณทำผลงานได้ต่ำกว่าที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ ดังนั้นจงหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ไม่ส่งผลต่อผลงานของคุณ

ศิลปะการปฏิเสธข้อที่ 5 – Deciding What To Delegate ตัดสินใจมอบหมายงานให้ผู้อื่น

แน่นอนว่า คนเราเกิดมานั้น มีเวลาอยู่อย่างจำกัด และตัวเราเพียงคนเดียวก็ไม่สามารถทำงานได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อม ๆ กันได้ ถึงทำได้ก็อาจจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการจัดการ ดังนั้นหากงานใดที่คุณมองแล้วว่า คุณสามารถมอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้ โดยคน ๆ นั้นคิดค่าตอบแทนน้อยกว่าที่คุณสามารถหาได้ เช่น คนอื่นคิดค่าเหนื่อย 20 บาท/ชม. ในขณะที่คุณสามารถหาเงินได้ 200 บาท/ชม. นั่นเท่ากับว่า คุณซื้อเวลาคนอื่นได้ 1 ชม. โดยที่กระทบรายได้คุณแค่เล็กน้อยเท่านั้น ที่นอกจากคุณจะมีเวลาเพิ่มขึ้นแล้ว งานของคุณก็ยังเดินหน้าไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย

ดังนั้นให้ลองดูว่า หากงานใดที่จำเป็นจะต้องทำ แต่งานนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรือคุณค่ากับตัวเราหรือบริษัทโดยตรง ก็ให้มอบหมายงานนั้น ๆ ให้คนอื่นทำแทน ตัวอย่างเช่น งานแอดมิน งานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ งานเดิม ๆ งานรูทีน หรืองานที่คุณไม่ค่อยถนัด ทำได้ไม่ค่อยดี

ดังนั้น จง Say Yes หรือโฟกัสที่งานในกลุ่ม A เท่านั้น ส่วนงานในกลุ่มอื่น ให้หลีกเลี่ยงหรือมอบหมายให้คนอื่นทำ และนี่คือ Key Success สูตรลับที่คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงใช้กัน

Resources