Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

วิธีการเป็นเศรษฐีเงินล้านจาก Bitcoin by Noah Kagan

Noah Kagan คืออดีตพนักงานคนที่ 30 ของ facebook ที่ผันตัวมาเปิดธุรกิจของตนเองนามว่า Appsumo และเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อทำธุรกิจมีกำไรเป็นเงินสดเข้ามาแล้ว เขาก็ต้องคิดต่อว่าจะนำเงินดังกล่าวไปลงทุนอะไรต่อดี ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกล่าสุดนั้นก็มี bitcoin รวมเข้าไปในพอร์ทโฟลิโอการลงทุนของเขาด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงนี้มันก็กำลังเป็นกระแสที่ร้อนแรงเอามาก ๆ สำหรับโลกของ cryptocurrency และนี่คือที่มาของการที่ในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านจาก bitcoin ในปี 2021 จนได้ นั่นก็คือ เฉพาะ bitcoin อย่างเดียวของเขานั้นมีมูลค่ามากกว่า $1,000,000 ดอลล่าร์ฯ หรือกว่า 30 ล้านบาท

และก่อนจะเข้าเนื้อหานี่คือคำเตือนจาก Noah Kagan ว่า เขาเป็นนักลงทุนที่ห่วยแตกเอามาก ๆ เพราะสิ่งที่เขาถนัดมากกว่าก็คือการสร้างธุรกิจ อย่างธุรกิจหลักของเขาก็คือเว็บไซต์ appsumo.com ซึ่งเป็นเว็บที่รวบรวมการขายซอร์ฟแวร์และดิจิตอลโปรดัคต่าง ๆ

โดยเรื่องราวเกี่ยวกับโลก crypto ของเขานั้น มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2010 ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขากำลังเริ่มต้นทำเว็บไซต์ appsumo.com เช่นกัน โดย ณ เวลานั้น เขาก็มีโอกาสได้พบกับชายที่ชื่อว่า Nick Johnson ที่ทำเกี่ยวกับเหมืองขุด bitcoin ซึ่งเพื่อนของเขาก็ถามเขาว่า “นายต้องการทำเหมืองขุด หรือไม่ก็ซื้อขายเหรียญ bitcoin ดูบ้างไหมล่ะ?”

โดย Noah Kagan ก็ตอบกลับไปทันทีเลยว่า ” ‘ไม่’ ฉันไม่ต้องการเงินดิจิตอล ไม่ต้องการเงินปลอม ไม่ต้องเงินที่จับต้องไม่ได้เหมือนเงินที่อยู่ในเกมออนไลน์หรอก”

และแน่นอนว่า ตอนที่เพื่อนของเขาเริ่มต้นทำเหมืองขุดนั้น ในยุคแรกสุด โดย ณ ขณะนั้นมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของ Bitcoin มีมูลค่าเท่ากับ 8/100 cents หรือแปลงตัวเลขง่าย ๆ ว่า เงิน 1 ดอลล่าร์ สามารถแลก Bitcoin ได้ถึง 1,309 BTC เลยทีเดียว (แหม่…รู้งี้)

และ Noah Kagan ก็ดำเนินธุรกิจ appsumo ของเขาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 2013 ผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทเขาในตำแหน่ง CTO – Chief Technical Officers นามว่า Chad Boyda ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดในบริษัทของเขาเลยก็ว่าได้ ซึ่ง ณ เวลานั้น Chad ก็ได้ซื้อ bitcoin เอาไว้ รวมถึงคนในแวดวงการทำธุรกิจต่างก็เริ่มเข้าซื้อ bitcoin กันถ้วนหน้า ยกเว้นตัวของเขาที่ไม่ได้ซื้อ ซึ่ง ณ เวลานั้น bitcoin มีราคาอยู่ที่ราว ๆ $200 – $400 ต่อ BTC (ประมาณ 6,000 – 12,000 บาท/BTC) แล้วในเวลาไม่นานราคามันก็ขึ้นไปเป็นหลัก $1,000 ดอลล่าร์ ซึ่งส่วนตัวของ Noah Kagan นั้นก็แอบอิจฉาอยู่เล็กน้อย แล้วก็มักจะล้อเลียนกับพวกที่ซื้อเอาไว้ว่า ขอให้สนุกกับเงินปลอม ๆ ของพวกนายก็แล้วกัน

แล้วหลังจากนั้นไม่นานเช่นกัน ราคาของ bitcoin ก็ร่วงลงอย่างรุนแรงมาที่แถว ๆ ราคา $300 เหมือนเดิม ซึ่งการที่มี bitcoin ไว้ในครอบครองนั้นก็เหมือนถือเงินที่มีขึ้นมีลงอย่างกับรถไฟเหาะโรลเลอร์โคสเตอร์ยังไงยังงั้น

จนกระทั่งในปี 2015 เขาก็ได้ซื้อ bitcoin เป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่ซื้อมันเพื่อการลงทุน แต่เป็นเพราะ เว็บไซต์ที่เขาใช้เพื่อดูสตรีมมิ่งอเมริกันฟุตบอล NFL เถื่อนนั้น จู่ ๆ ก็ประกาศว่า หากใครอยากอยู่ในระบบต่อต้องจ่ายด้วย bitcoin เท่านั้น ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะในยุคนั้น bitcoin ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเงินของคนกลุ่มธุรกิจสีเทามักจะใช้กัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาต้องเรียนรู้วิธีการซื้อ bitcoin เพื่อไปจ่ายดูสตรีมมิ่งกีฬาที่เขาชื่นชอบ และเหตุการณ์นี้มันก็ทำให้เขาเริ่มเก็ตแล้วว่า การใช้เงินดิจิตอลในโลกออนไลน์นั้นเป็นอย่างไร

โดยสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จาก bitcoin ก็คือ

  • ผู้คนยอมรับมันในฐานะการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกัน
  • ไม่มีตัวกลาง ดังนั้นมันไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตใครในการโอนหากัน
  • มันไม่สามารถปริ้นท์เพิ่มได้อย่างเงินกระดาษ เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีจำนวนจำกัดแค่เพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น
  • มันเป็นเทคโนโลยีเข้ารหัสแบบ cryptography ที่ไม่มีใครสามารถเอามันไปจากเราได้ ตราบใดที่เรายังคงครอบครองรหัสเอาไปแต่เพียงผู้เดียว
  • มูลค่าของมันเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามหลัก demand&supply

ดังนั้น Key สำคัญ ของการที่เราจะตัดสินใจเข้าไปจอยอะไรบางอย่างที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น แว่น VR, เครื่องปริ้นท์ 3D, Metaverse โลกเสมือน หรือโลกของ crypto ก็คือ การลองลงสนามจริง ๆ ดูก่อน ด้วยปริมาณเงินที่น้อย ๆ เพื่อลิ้มลองรสชาติของเทคโนโลยีนั้น ๆ ว่าเรารู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี ผิดหรือถูก

จากนั้นเขาก็ได้ลองซื้อ bitcoin ด้วยเงิน $7,000 (ประมาณ 2 แสนกว่าบาท) ที่ ณ เวลานั้น bitcoin มีราคาเหรียญละ $400 (หรือประมาณ 12,000 บาท) และหลังจากนั้นเขาก็พบว่าเว็บไซต์ที่เขาใช้ซื้อ bitcoin นั้น มันมีระบบตัดเงินอัตโนมัติทุก ๆ เดือน เขาจึงตั้งให้มันตัดเงินไปซื้อ bitcoin $500(ประมาณ 15,000 บาท) ในทุก ๆ เดือน และนั่นคือที่มาของการเป็นเศรษฐีเงินล้านจากบิตคอยน์ของเขา

ซึ่งในปี 2017 ตอนที่ bitcoin ขึ้นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ ณ ขณะนั้น มันก็ส่งผลให้พอร์ทของเขาโตขึ้นเป็น $4XX,XXX ดอลล่าร์ ซึ่งเพื่อนของเขาก็ถามว่า จะขายเลยดีไหม? แต่ Noah Kagan ตอบว่า เขาไม่ขายเพราะเขาไม่ตั้งใจที่จะขายมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และหลังจากนั้นในปี 2018 ตลาดก็พังลงจนมูลค่าในพอร์ทของเขาลดลงต่ำสุดมูลค่าเหลืออยู่แค่ $80,000 ดอลล่าร์ ซึ่งมูลค่าในพอร์ทหายไปกว่า -80% เลยทีเดียว

และเหตุผลที่เขาไม่ได้ให้น้ำหนักว่าราคาของ bitcoin มันจะขึ้นหรือลงเท่าไหร่นั้นก็เป็นเพราะ เขาลงมันเพื่อความสนุกส่วนตัวล้วน ๆ เพราะเขาไม่อยากที่จะต้องมานั่งเครียดเพื่อวิเคราะห์ราคารายวัน ดูกราฟมันทุกชั่วโมง เพราะอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ว่า ราคาของ bitcoin นั้นมันแกว่งแรงมาก บางช่วงขึ้นเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ และบางช่วงก็ลงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ามัวมานั่งดูกราฟบ่อย ๆ จะส่งผลต่อจิตใจแล้วก็ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ ขาดทุนอย่างแน่นอน

และการที่เขาผ่านมันมาได้นั่นก็เป็นเพราะ อย่างแรกสุด เขาใช้ระบบการซื้อแบบอัตโนมัติในทุก ๆ เดือนที่มูลค่าเท่า ๆ กัน เช่นในช่วงแรกเขาตั้งให้ซื้อ bitcoin เฉลี่ยเดือนละ $500 ดอลล่าร์ โดยไม่สนใจว่าราคา ณ ขณะนั้นจะเป็นเท่าไหร่

และอย่างต่อมาก็คือ เขาจะกันเงินเอาไว้ลงในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงไม่เกินมูลค่าความมั่งคั่งทั้งหมดของเขาอยู่ที่ 10% – 15% นั่นแสดงว่า ต่อให้ราคาของ bitcoin จะเป็นศูนย์ ความมั่งคั่งของเขาจะหายไม่เกิน -15% เท่านั้น และเมื่อเขามีกำไรจากธุรกิจมากขึ้น เขาก็ตั้งตัดเงินซื้อ Bitcoin เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ $5,000 – $7,000 ดอลล่าร์ต่อเดือน โดยเขาเน้นย้ำว่า มันยังคงเป็นสัดส่วนเพียงแค่ไม่เกิน 15% จากความมั่งคั่งทั้งหมดของเขา เพียงแต่เขาทำกำไรจากธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น เงินที่มาลงใน bitcoin มันก็เลยดูเหมือนเยอะขึ้นนั่นเอง

และตอนนี้เขาก็ลองลงเหรียญอันดับสองอย่าง Ethereum ด้วยเช่นกัน และเขาก็ใช้เทคนิคเดิมคือ ตั้งให้มันตัดเงินอัตโนมัติในทุก ๆ เดือนด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน

ซึ่งเทคนิคการลงทุนแบบนี้ เราอาจคุ้นเคยกับการลงทุนในรูปแบบของ DCA – Dollar Cost Averaging ที่เป้าหมายของการลงทุนก็คือ การเลือกลงทุนในทรัพย์สินที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ด้วยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งสม่ำเสมอในด้านของวันเวลาที่จะทำการลงทุนและจำนวนเงินที่เท่า ๆ กันที่ลงทุนในแต่ละครั้ง โดยไม่สนใจว่าราคาของทรัพย์สิน ณ ขณะนั้นจะมีราคาเป็นเท่าไหร่ เพราะในท้ายที่สุดการลงทุนแบบนี้แม้จะไม่ได้กำไรสูงสุด แต่ก็จะทำให้ได้ราคาเฉลี่ยต้นทุนที่ถูกลง และตัดปัญหาเรื่องของการใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการลงทุน

โดย Noah Kagan บอกว่าสไตล์การลงทุนของเขาในด้าน bitcoin และ crypto นั้นเขาเน้นสนุกที่ได้มีส่วนร่วมเฝ้าดูการเติบโตของตัวเลขซะมากกว่า เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า จำนวนเงินที่เขานำมาลงใน crypto นั้นเป็นเงินสัดส่วนเพียงแค่ไม่เกิน 15% จากเงินทั้งหมดของเขา ดังนั้นมันสนุกกว่ามากที่จะเข้าใจและยอมรับตั้งแต่ก่อนการเริ่มลงทุนว่า เงินก้อนนี้พร้อมที่จะเป็นศูนย์ได้ทุกเมื่อ หรือไม่ก็มันอาจจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 10 เท่าก็ได้ ใครจะไปรู้

และหลังจากที่เขาซื้อ bitcoin แบบอัตโนมัติเรื่อยมา เขาได้ลงเงินต้นไปแล้วราว ๆ $70,000 ดอลล่าร์ แล้วพอ bitcoin ในช่วงต้นปี 2021 ขึ้นไปแตะทะลุราคา $40,000 ดอลล่าร์ต่อหนึ่งบิตคอยน์ ก็ส่งผลให้พอร์ทของเขาโตกว่า 1,300% โดยมีมูลค่าในพอร์ทราว ๆ $9XX,XXX ดอลล่าร์ ซึ่งตอนนี้ราคาของ bitcoin ก็พุ่งสูงกว่า $60,000 ดอลล่าร์เข้าไปแล้ว ดังนั้นเขาได้กลายเป็น Bitcoin Millionaire อย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ซึ่งส่วนตัวของ Noah Kagan เองนั้นเขามองว่า ณ ตอนนี้ เรากำลังอยู่ในยุคเริ่มต้นของโลก crypto เท่านั้นเอง ซึ่งหากเราลองเปรียบเทียบในยุคเริ่มต้นที่พึ่งมีอินเตอร์เน็ตใหม่ ๆ ราว ๆ ปี 1997 – 1999 แล้วนั้นจะพบว่า หากเราเข้าวงการนี้เป็นกลุ่มคนแรก ๆ เราก็จะสามารถมีโอกาสที่เติบโตก่อนใครและมากกว่าใคร ๆ ดังนั้น หลังจากที่เขาลองลงทุนใน bitcoin จนได้เงินล้านมาแล้ว เขาก็เริ่มมองหา crypto ตัวต่อไปว่า มีตัวใดบ้างที่จะมีโอกาสเติบโต 10 เท่า หรือ 1,000% อีกบ้าง อย่างตอนนี้ที่เขาเริ่มตัวต่อไปแล้วก็คือ Ethereum ซึ่งเหรียญ ETH ก็ถือว่าเป็น crypto ที่มี marketcap ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่รองลงมาจาก bitcoin

ซึ่ง Key สำคัญที่ Noah Kagan พยายามจะสื่อก็คือ การที่เราเข้ามาในตลาดก่อนใคร จะมีโอกาสเติบโตและทำกำไรได้มากกว่า เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ใครต่อใครต่างก็พูดถึง crypto กันหมด เมื่อนั้นมันอาจจะเป็นยุคที่หมดการเติบโตแบบก้าวกระโดดแล้วก็เป็นได้

และต่อมาก็คือ สไตล์การลงทุนของเขานั้นคือ Buy & Hodl ที่ย่อมาจาก Hold On for Dear Life คือซื้อและถือมันไปตลอดชีวิตโดยไม่มีแพลนที่จะขายมันออกไป เพราะอย่างที่บอก เขาสนุกไปกับการเฝ้าดูการเติบโตของพอร์ท crypto และในอนาคตเขาก็วางแผนที่จะใช้เหรียญเหล่านี้ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ บน blockchain ดังนั้นเขาเลยยังไม่มีแผนที่ขายมัน และแน่นอนว่าเงินที่เขานำมาลงทุนนั้นเป็นเงินเย็น ไม่ใช่เงินร้อนที่ต้องเอาไว้จ่ายค่าอาหาร จ่ายค่าเช่ารถ ค่าเช่าบ้าน มันเป็นเงินเย็นที่เขาสามารถปล่อยทิ้งไว้ได้เป็นเวลา 5 ปี หรือ 10 ปี ขึ้นไป โดยไม่กระทบกับความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

และการที่คุณจะสนุกไปกับการเฝ้าดูความผันผวนของราคาเหรียญ crypto ได้นั้นก็อย่างที่บอก เขาใส่เงินในพอร์ทนี้แค่เพียง 10%-15% ของความมั่งคั่งทั้งหมดที่เขามีอยู่ หรือจะคำนวณเล่น ๆ ก็ได้ว่า ถ้า พอร์ท bitcoin ของเขามีมูลค่า $1,000,000 ดอลล่าร์ฯ นั่นแสดงว่าพอร์ทความมั่งคั่งทั้งหมดของเขาก็น่าจะอยู่ที่ราว ๆ 6-10 ล้านดอลล่าร์ฯ นั่นเอง

ดังนั้นจงเลือกสไตล์การลงทุนที่คุณชอบ บางคนอาจจะเลือกทุ่มหมดหน้าตัก แต่ในขณะที่ตัวของเขาเลือกที่จะลงทุนแบบ DCA แทน

ส่วนการที่เขาเลือกที่จะลงทุนใน Asset ใด ๆ นั้นเขาก็จะเลือกดูจากด้าน Upside และ Downside หรือแปลได้ง่าย ๆ ว่า ถ้าลงทุนในทรัพย์สินนั้นแล้ว โอกาสที่มันจะทำกำไรด้านบวกได้สิบเท่าหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันถ้ามันขาดทุนก็อาจจะเป็นศูนย์ได้เช่นเดียวกัน

ต่อมา Noah Kagan ได้แสดงวิธีการจัดพอร์ทแบบกระจายความเสี่ยงตามสไตล์ของเขา เพราะโดยส่วนตัวแล้วนั้น เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสักเท่าไหร่นัก โดยพอร์ท 100% ของเขาจะแบ่งลงทุนดังนี้

  • เงินสด 20%
  • อสังหาริมทรัพย์ 30%
  • ลงทุนในหุ้นระยะยาว ราว ๆ 35%
  • สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง 15%

และหนึ่งในคำถามที่ผู้คนมักจะถามอยู่บ่อย ๆ ว่า “ฉันควรจะลงทุนใน bitcoin หรือไม่?”

โดย Noah Kagan ก็ได้ให้คำตอบว่า ถ้า ณ ตอนนี้คุณยังไม่ค่อยมีเงิน แล้วหวังทุ่มสุดตัวใน bitcoin แล้วรวยเลย เขาก็ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น เพราะสิ่งที่คุณควรโฟกัสมากกว่าก็คือ ไปโฟกัสในการสร้างรายได้ให้มากพอก่อน แล้วนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงที่น้อยกว่าให้มั่นคงเสียก่อน อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์, กองทุนต่าง ๆ หรือหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มั่นคง แล้วค่อยมาคิดเรื่องการลงทุนใน bitcoin

แต่ถ้าคุณอยากลองลงทุนใน bitcoin ก็สามารถทำได้ แต่ให้ลองที่จำนวนเงินน้อย ๆ ก่อน เพราะอย่างที่รู้การเริ่มต้นซื้อ bitcoin นั้น ใช้เงินเริ่มต้นน้อยมาก อย่าง Bitkub เริ่มต้นที่ 10 บาท หรืออย่าง Binance ก็เริ่มต้นที่ $10 ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ที่ Noah Kagan ใช้แล้วเวิร์คกับตัวเขาก็คือการ DCA ที่ลงทุนในวันเวลาที่สม่ำเสมอและจำนวนเงินลงทุนที่เท่า ๆ กันในแต่ละรอบการลงทุน แล้วในระหว่างนั้นก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่คุณลงทุน


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Noah Kagan เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

Resources