ฮาวทูรวย How To Get Rich by Naval Ravikant EP.4 ตอน ทักษะที่จำเป็นในการเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย
จาก Episode ที่ 3 Naval ได้พูดถึงการมาของโลกอินเตอร์เน็ตที่ทำให้คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ สามารถใช้พลังทวีจากโลกออนไลน์ในการเข้าถึงผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกได้ในภายไม่กี่วินาที ในค่าใช้จ่ายที่น้อยมากจนสามารถเรียกได้ว่าเกือบฟรี ไม่ว่าจะเป็นการส่ง email, Tweet บน Twitter, โพสต์บน Facebook, Tiktok, Youtube หรือ Website ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
อย่างโลกยุคก่อนการมาของอินเตอร์เน็ต เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘ศิลปินไส้แห้ง’ ที่เมื่อวาดรูปขึ้นมาสักรูปหนึ่ง จะบนกระดาษหรือในคอมพิวเตอร์ มันยากมากที่ศิลปินคนนั้นจะวิ่งไปเคาะประตูตามบ้านเรือนต่าง ๆ เพื่อโชว์ผลงานตัวเอง หรือจะไปเช่าพื้นที่จัดนิทรรศกาลเพื่อแสดงศิลปะ แสดงผลงานตัวเอง ก็ไม่มีเงินเยอะขนาดที่จะทำได้แบบนั้น
ในขณะที่การมาของโลกอินเตอร์เน็ต ศิลปินหลายต่อหลายคน สามารถขายผลงาน สร้างเงินล้านได้อย่างมากมายเพียงแค่โพสต์ผลงานมันลงบนโลกอินเตอร์เน็ต หรืออย่างการมาของเทคโนโลยี Blockchain การมาของ NFT(Non-Funjible Token) ที่สามารถขายผลงานที่ไม่ใช่แค่งานศิลปะเพียงอย่างเดียว แต่สามารถขายอะไรก็ได้ที่สิ่งนั้นสามารถนำขึ้นสู่บนโลกออนไลน์ได้
Naval บอกว่า ถ้าหากคุณพัฒนาทักษะการขายและทักษะการสร้าง (Sell & Build) จนถึงขีดสุดแล้วล่ะก็ อะไรก็ฉุดคุณไม่อยู่แล้วทีนี้
โดย Naval เริ่มต้นที่ทักษะการสร้าง (Build) โดยทักษะที่จำเป็นที่จะต้องมีก็คือการสร้าง Product หรือการสร้างผลิตภัณฑ์ ซึ่ง ใช่ มันเป็นเรื่องที่ยาก แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น โดย Product นั้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นของที่เป็นชิ้น เป็นสินค้าที่จับต้องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ Product สามารถเป็นได้ทั้งการออกแบบดีไซน์(Design), หรืออาจเป็นการพัฒนา(Development), อาจเป็นการขนส่ง(Logistics), วิธีการจัดซื้อจัดจ้าง(Procurement), ระบบการดำเนินงาน(Operating) รวมไปถึงการบริการ(Service) ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่าคำจำกัดความของการสร้าง Product นั้น มีได้หลากหลายรูปแบบมาก แต่โดยรวม ๆ แล้วจะเรียกผู้คนเหล่านี้ว่า Builder หรือผู้สร้าง
ยกตัวอย่างอย่างในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ก็จะมี CTO : Cheif Technology Officer คือ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ที่ส่วนใหญ่คนที่อยู่ในตำแหน่งนี้มักจะเป็นโปรแกรมเมอร์ เป็นวิศกรซอร์ฟแวร์ เป็นวิศกรฮาร์ดแวร์
คน ๆ นั้นอาจจะอยู่ในธุรกิจซักรีด ที่เขามีหน้าที่ออกแบบระบบการขนส่งเสื้อผ้าเพื่อส่งให้ถึงมือลูกค้าตามเวลาที่กำหนดอย่างถูกต้อง
ต่อมาคือทักษะการขาย(Sale) ที่ความหมายของมันก็ไม่ได้หมายถึง การปิดการขายกับลูกค้าที่อยู่ตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งคำจำกัดความของมันก็กว้างเอามาก ๆ มันอาจจะเป็นการทำการตลาด(Marketing), มันอาจจะเป็นการสื่อสารกับลูกค้า(Communication), หรืออาจเป็นการสรรหาทรัพย์กรต่าง ๆ (Recruiting), หรืออาจจเป็นการหาเงินทุน(Raising Money), หรืออาจเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คน(Inspiring), หรืออาจเป็นการ PR การประชาสัมพันธ์ ซึ่งทักษะการขายมันไม่ใช่แค่การขายสินค้าเพื่อแลกกับเงินจากลูกค้าเพียงอย่างเดียว มันยังรวมไปถึงการขายวิสัยทัศน์ให้กับนักลงทุนและคนในองค์กรหรือแม้กระทั่งคนนอกองค์กร
ซึ่งโดยปกติแล้วใน Silicon Valley นั้น มักจะนิยมใช้โมเดลในการรวมตัวกันของผู้ร่วมก่อตั้ง(Co-Founders) อย่างน้อยสองคน โดยคนแรกคือสุดยอดนักขาย และอีกคนคือสุดยอดนักสร้าง ยกตัวอย่างเช่น
บริษัท Apple เริ่มต้นจาก Steve Jobs ที่เป็นสุดยอดนักขาย และ Steve Wozniak ที่เป็นสุดยอดนักสร้าง
หรืออย่าง Microsoft ที่เริ่มต้นด้วย Bill Gates ที่เป็นสุดยอดนักขาย และ Paul Allen ที่เป็นสุดยอดผู้สร้าง
บริษัท Google หรือ Alphabet ในปัจจุบัน ก็เริ่มต้นมาจาก Larry Page ที่เป็นสุดยอดนักขาย กับ Sergey Brin ที่เป็นสุดยอดนักสร้าง
ดังนั้นคุณจะสังเกตเห็นได้ว่า รูปแบบการรวมตัวระหว่าง CEO กับ CTO ที่เก่งกาจนั้น กลายเป็นสูตรสำเร็จที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เสมอมา ดังนั้นในมุมมองของนักลงทุน ที่มักจะให้ความสำคัญกับทีมมาก่อนเป็นอันดับต้น ๆ นั้น พวกเขาก็จะมองหาทีมที่มีโมเดลในลักษณะนี้
แต่ก็มีสุดยอดมนุษย์อยู่ด้วยเหมือนกันที่ในตัวของเขานั้นมีทั้งอย่างเลยก็คือเป็นทั้งสุดยอดนักขายและสุดยอดนักสร้าง ยกตัวอย่างเช่น Elon Musk ที่แม้เขาจะไม่ได้เป็นคนลงไปประกอบจรวดอวกาศด้วยตนเอง แต่เขารู้วิธีในการสร้างมันขึ้นมา เขามีความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีที่มากพอในระดับที่ไม่น้อยไปกว่าใคร ๆ
ดังนั้นในความเห็นของ Naval เขาจึงมองว่า ทักษะของการขายและการสร้าง หากคน ๆ นั้น มีทักษะทั้งสองอย่างนี้ในขั้นสูงรวมเข้าด้วยกันแล้ว ใครก็ฉุดไม่อยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องเก่งที่สุดทั้งสองเรื่องนี้
เพราะมันมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างคนที่เริ่มต้นจากการเป็นสุดยอดนักขายนั้น ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจะไม่มีเวลามากพอที่จะโฟกัสและพัฒนาทักษะด้านการเป็นผู้สร้าง เพราะการเป็นผู้สร้างนั้นจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาทักษะที่ยาวนานกว่าที่จะกลายเป็นระดับ Expert ได้ แต่ในขณะที่คนที่เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้สร้างแล้วค่อยมาพัฒนาทักษะด้านการขายในภายหลังนั้น กลับทำได้ง่ายว่า โดยเฉพาะผู้สร้างที่มีทักษะในการสื่อสารที่ดีอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นวิศวกรที่ดี ที่สามารถพัฒนา Product ได้เป็นอย่างดีแล้ว ทีนี้มันก็จะมาถึงในพาร์ทของการขาย ซึ่งคุณอาจจะไม่ได้เก่งมากนัก แต่คุณเป็นนักเขียนที่ดี ซึ่งทักษะการเขียนนั้น สามารถเรียนรู้ได้ง่ายกว่าการพูดเพื่อขายแบบตัวต่อตัว ดังนั้นคุณก็สามารถโฟกัสและพัฒนาทักษะการเขียนเพื่อขาย จนสามารถกลายเป็นนักสื่อสารที่ดีได้ผ่าน blog post บนโลกออนไลน์ ซึ่งคุณก็สามารถใช้การเขียนเพื่อขายของได้เช่นกัน
หรือหากคุณเป็นผู้สร้างที่ดี แต่เป็นนักเขียนที่แย่ แต่คุณมีทักษะในการพูดแบบตัวต่อตัวกับผู้อื่นได้ ดังนั้นคุณก็สามารถพัฒนาทักษะการพูด เพื่อหานายทุน หาทีมงานเก่ง ๆ เข้ามาช่วยได้เช่นกัน
ดังนั้นคุณอย่าได้วิตกกังวลหากคุณไม่ได้เป็นนักสร้างที่ดีที่สุด หรือเป็นนักขายที่เก่งที่สุด แต่หากคุณสามารถรวมทั้งสองทักษะนี้เข้าด้วยกันได้ คุณก็สามารถก้าวไปข้างหน้าแบบไม่มีใครสามารถหยุดคุณได้เช่นกัน
ซึ่งถ้าให้เลือกได้เพียงทักษะเดียว ทาง Naval เองเขาก็บอกว่า ขอเลือกเป็น Builder หรือผู้สร้างก่อน แล้วค่อยไปพัฒนาทักษะด้านการขายในภายหลัง เพราะโดยปกติแล้ว ก็จะมีอาชีพนักขายอยู่มากมายซึ่งก็สามารถให้พวกเขาช่วยทำการขายได้ แต่ข้อเสียของการเป็น Builder ก็คือ คุณจะหมดแรงง่าย เพราะการเป็นนักสร้างจะต้องใช้พลังในการโฟกัสและจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่สูงมาก และด้วยความที่โลก ณ ปัจจุบันหมุนเร็วมาก เดี๋ยวก็มี Product ใหม่ มีเทคโนโลยีใหม่ มีเครื่องมือใหม่ มีผู้คนหน้าใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเก่งกว่า เข้ามาเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ดังนั้น คำแนะนำของเขาก็คือ เมื่อเริ่มต้นด้วยการเป็น Builder แล้ว ก็ให้คุณเริ่มย้ายตัวเองมาเป็น Seller มาพัฒนาทักษะการขายให้มากยิ่งขึ้น
เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อคุณสร้างผลิตภัณฑ์เสร็จ คุณก็จำเป็นที่จะต้องเดินสายไปติดต่อสื่อสารเพื่อทำการขายกับผู้อื่น ซึ่งทักษะการขายข้อดีของมันก็คือ ทักษะนี้มันสามารถพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้เมื่อเวลาผ่านไป
แล้วก็จบกันไปใน Episode ที่ 4 ที่ว่าด้วยเรื่องของทักษะที่จำเป็นในการเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ
Resources