Bitcoin จะโตอีก 10 เท่า by Michael Novogratz | Blue O’Clock Podcast EP.10
Michael Novogratz เจ้าของบริษัท Galaxy Digital Holdings นักลงทุน crypto ที่มีทรัพย์สินราว ๆ $5.67 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 1.9 แสนล้านบาท โดยความมั่งคั่งกว่า 85% ของเขานั้น มาจาก crypto
โดยในคอนเท้นต์นี้ ทาง Michael Novogratz นั้น เขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการของ Bloomberg Crypto เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า
การเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทำให้ระบบการเงินในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไป เพราะเมื่อมีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย ที่ถูกตัดขาดจากการเงิน กลายเป็นว่า การที่รัสเซียมีเงินสำรองคงคลังเป็นสกุลเงินต่างประเทศนั้น พอทางสหรัฐฯ และยุโรป ประกาศแบน ก็ทำให้รัสเซียนั้นจู่ ๆ ก็ไม่สามารถใช้เงินสำรองคงคลังที่เป็นเงินสกุลดอลล่าร์หรือยูโรได้เลย
นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เงินสำรองคงคลังที่ควรจะเป็นของรัสเซียนั้น แท้ที่จริงมันไม่ใช่ มันถูกแบนได้ง่ายมาก
ดังนั้น การที่ประเทศทั่วโลกที่เลือกเก็บเงินสำรองคงคลังเป็นเงิน US Dollar เป็นจำนวนมากนั้น เมื่อก่อนต่างก็คิดว่า มันเป็นสกุลเงินที่มีความเสี่ยงน้อยมากหรือแทบไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับรัสเซีย กลับกลายเป็นว่า ถ้ามีเรื่องกับสหรัฐอเมริกาขึ้นมา โดนแบนเอาได้ง่าย ๆ เลย
ดังนั้นเหตุการณ์นี้ มันจึงเหมือนกับการที่ทำให้คนทั่วโลกต้องเริ่มฉุกคิดแล้วว่า ถ้าเงิน US Dollar มันไม่เหมาะกับการเงินสำรองคงคลังระหว่างประเทศแล้วนั้น แล้วอะไรล่ะ ที่จะสามารถใช้ในการเป็นเงินสำรองคงคลังระหว่างประเทศได้ล่ะ?
ซึ่งแน่นอนว่า ทองคำ ก็เป็นหนึ่งใน Asset ที่ผู้คนทั่วโลกเลือกที่จะใช้ที่เป็นที่หลบภัย ใช้ไปแหล่งเก็บสะสมความมั่งคั่งในวิกฤต และแน่นอนว่าในยุคนี้ ก็มีตัวเลือกใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาอย่าง Bitcoin ที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจที่จะใช้เป็น Store of Value หรือใช้เป็นแหล่งเก็บสะสมความมั่งคั่ง ที่มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของอำนาจจากใครคนใดคนหนึ่ง แถมหลายคนก็ยังให้ฉายามันว่า มันคือ Digital Gold หรือทองคำดิจิตอลอีกด้วย
แน่นอนว่า การที่ผู้คนจะหันมาใช้ Bitcoin อย่างแพร่หลายทั่วโลกนั้น มันไม่ได้เกิดในชั่วข้ามคืน แต่มันจะค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป
แต่เหล่าบรรดาแฟน ๆ ของ cryptocurrency นั้น ก็มักจะคิดว่า นี่แหละ โอกาสที่รัสเซียจะหันไปใช้สกุลเงินดิจิตอลในการเป็นเงินสำรองคงคลังแทน
ซึ่งทาง Michael Novogratz นั้นเขากลับมองว่า มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เพราะ cryptocurrency ส่วนใหญ่มักหมุนเวียนอยู่ในกระดานเทรดหรือ Exchange ที่มีการทำ KYC : Know Your Customer ที่ต้องยืนยันตัวตน ซึ่งแน่นอนว่า มันสามารถตรวจสอบได้ ถ้าพบว่าเกี่ยวข้องกับทางรัฐบาลของรัสเซียก็โดนแบนได้เช่นกัน และนอกจากนั้น เวลาที่มีการทำธุรกรรมบนโลก Blockchain ก็สามารถตรวจสอบเส้นทางการโอน cryptocurrency ได้ เพราะมันแสดงเป็นสาธารณะ ซึ่งทาง CIA ก็สามารถวางกับดักเพื่อดักทางการเดินเงินของทางรัฐบาลรัสเซียและตามรอยเงินดิจิตอลนั้นไปได้เช่นกัน
แต่แน่นอนว่าประชาชนรัสเซียทั่วไป ที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการทำสงครามในครั้งนี้ พวกเขาก็กำลังเผชิญกับการล่มสลายของสกุลเงินรูเบิลที่เป็นสกุลเงินหลักของประเทศรัสเซีย ที่ในช่วง 10 ปีล่าสุดที่ผ่านมานั้นมันสูญเสียมูลค่าในตัวมันเองไปแล้วกว่า 90%
ดังนั้นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่าก็คือ คนธรรมดา ๆ ทั่วไป ที่ไม่ต้องการถังแตกเพราะถือสกุลเงินรูเบิลเอาไว้ ต่างก็ตัดสินใจเข้ามาถือ Bitcoin แทน เพราะมันมีมูลค่าในระยะยาวที่มั่นคงกว่าการถือสกุลเงินของประเทศตัวเอง
และส่วนตัวของ Mike เขามองว่า Bitcoin นั้นแตกต่างออกไปจาก cryptocurrency ตัวอื่น ๆ เพราะ Bitcoin มันถูกออกแบบมาให้เป็น Asset ที่สามารถเป็น Store of Value หรือเป็นแหล่งเก็บสะสมความมั่งคั่งของคนเราเอาไว้ได้ ในขณะที่เหรียญ stablecoin หรือ Ethereum หรือ NFT นั้น เขามองว่ามันเป็นสกุลเงินดิจิตอลซะมากกว่า ในขณะที่ Bitcoin นั้นคือ ทองคำดิจิตอล มันคือ Asset ตัวแรกของโลกที่อยู่ในรูปของดิจิตอล
ส่วนความเห็นของ Mike ในเรื่องของ CBDC : Central Bank Digital Currencies นั้นเขาบอกว่า ผู้คนส่วนใหญ่ยังสับสนว่า มันเหมือนกับ Stablecoin ที่เป็นสกุลเงินดิจิตอลหรือไม่อย่างไร
เพราะอันที่จริงแล้ว มันต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่ามูลค่าของมันคือ $1 ดอลล่าร์เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็น CBDC มันคือสกุลเงินที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลโดยตรง และควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเขาสมมติว่า ถ้ารัฐบาลบราซิลออกนโยบายออกมาว่า ห้ามคนที่เป็นเกย์ ใช้ CBDC ซื้อของเด็ดขาด ก็สามารถออกกฏและแบนได้ทันที มันทำให้ความเป็นส่วนตัวของผู้คนนั้นหายไป เพราะข้อมูลทุกอย่างต้องถูกเปิดเผยต่อรัฐบาลโดยตรง
ส่วนที่ผู้คนส่วนใหญ่มักพูดว่า Bitcoin มันไม่ได้เป็น Haven Asset หรือทรัพย์สินที่หลบภัยในยามสงครามสักกะหน่อย ก็เห็นได้ชัดว่า พอมีสงครามรัสเซียกับยูเครนเกิดขึ้น ราคาของมันกลับดิ่งเอา ๆ ไหงเป็นงั้น?
โดย Mike ก็อธิบายว่า พอสงครามเกิดขึ้น ราคาหุ้นก็ร่วงเอา ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น Tech Company หรืออย่าง หุ้นบริษัทในประเทศจีน ถ้าในมุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่ ก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หุ้นก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว ทำไมต้องเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีกด้วยการเข้าซื้อ Bitcoin กันล่ะ?
ซึ่งเป็นปกติในภาวะความไม่แน่นอนของโลก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่โลกกลับมาสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง เราจะเห็นความเคลื่อนไหวในการเติบโตของ Bitcoin ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า ณ ตอนนี้ มีคนทั่วโลกจำนวนกว่า 150 ล้านคน ได้กระโดดเข้ามาในตลาดของ Bitcoin เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเศรษฐกิจของ Bitcoin นั้นมันมีขนาดใหญ่กว่าประเทศรัสเซียซะอีก แถมมันยังเป็นระบบเศรษฐกิจที่อยู่นอกเหนือจากการแทรกแทรงจากใครคนใดคนหนึ่งอีกด้วย
ส่วนราคาของ Bitcoin นั้น ทาง Mike เขาคาดการณ์ว่า ภายในปีนี้ราคาของมันน่าจะวิ่งอยู่ที่ช่วง $30,000 – $50,000 ต่อ BTC ส่วนถ้ามองในระยะยาวอีก 5 ปีข้างหน้า เขาคาดว่าราคาน่าจะขึ้นไปที่ราว ๆ $500,000 ต่อ BTC หรือเหรียญละ 15 ล้านบาท (ซู้ดดดดดดดดด) ถ้าดูจาก cycle หรือรอบราคาทุก ๆ 4 ปี ที่เกิด Bitcoin Halving คือปริมาณการขุดของ Bitcoin จะลดลงครึ่งนึงทุก ๆ 4 ปี และหากเทียบกับอัตราการเติบโตในยุคของอินเตอร์เน็ต ที่แรก ๆ ก็มีคนไม่กี่ล้านคนที่ใช้มัน สุดท้ายคนทั่วโลกก็เข้ามาใช้มัน ในขณะที่ Bitcoin ตอนนี้นั้น มันมีอัตราการเติบโตที่เร็วกว่ายุคของอินเตอร์เน็ตซะอีก ดังนั้น จากผู้ใช้งานทั่วโลกตอนนี้ที่มีประมาณ 150 ล้านคน ในอนาคตมันจะพุ่งขึ้นเป็นหลานพันล้านคน
ซึ่ง Mike เขาเห็นแนวโน้มว่า Bitcoin มันกำลังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหลาย ๆ ทวีป และนอกจากนั้น ในสหรัฐอเมริกา ในกองทุนบำเน็จบำนาญ ผู้คนก็มีแนวโน้มที่อยากให้ Bitcoin รวมอยู่ในนั้นด้วยมากขึ้นเรื่อย ๆ
บวกกับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะรุ่นหลัง Gen Z นั้น พวกเขาเติบโตมากับการหมดหวังในระบบเศรษฐกิจในยุคเก่า หมดความเชื่อมั่นกับระบบการเงินแบบเดิม ๆ ดังนั้นคนรุ่นใหม่ก็จะมีแนวโน้มที่จะเลือกระบบการเงินใหม่ ๆ อย่าง Bitcoin มากกว่าคนรุ่นก่อน แถมข้อดีของ Bitcoin ก็คือ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าร่วมระบบเศรษฐกิจนี้ได้ ขอเพียงมีสมาร์ทโฟนราคาถูก ๆ สักเครื่องที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ คน ๆ นั้นก็สามารถเป็นเจ้าของ Bitcoin ได้แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมั่งคั่งร่ำรวยมาก่อน ในขณะที่ระบบการเงินแบบเก่านั้น มักจะถูกจำกัดวงเงินไว้ที่สูงมาก เช่น หากต้องการลงทุนในกองทุนบางอย่างอาจจะต้องมีเงินเริ่มต้นขั้นต่ำ หลายหมื่นหรือหลายแสนจึ้นไป ถึงจะลงทุนได้ ในขณะที่การลงทุนใน Bitcoin นั้น มีเงินหลักสิบ หลักร้อย หลักพัน ก็เริ่มต้นลงทุนได้แล้ว
Resources
- https://youtu.be/BRQIMjZLMDk
- https://youtu.be/j-zYmjIn20g
- https://markets.businessinsider.com/currencies/news/mike-novogratz-crypto-85-wealth-5000-ether-price-forecast-2021-5-1030431554