4 อุปนิสัยเศรษฐีเงินล้าน ที่น่าจะรู้ตั้งนานแล้ว by Graham Stephan
Graham Stephan เศรษฐีเงินล้านจากอสังหาริมทรัพย์และ Youtuber ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 3 ล้านคน โดย ณ ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ $20 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 687 ล้านบาท
โดยในคอนเท้นต์นี้ เขาจะมาแชร์ประสบการณ์ในช่วงอายุ 20-30 ปี ที่ผ่านมาของเขาว่า มีอุปนิสัยอะไรบ้างที่ช่วยนำพาให้เขาสามารถเป็น Millionaire หรือเป็นเศรษฐีเงินล้านได้
อุปนิสัยที่ 1 – Don’t Live Above Your Means อย่าใช้จ่ายเกินกว่าที่หาได้
มันคือเรื่องของ Spending Habit หรือนิสัยการจับจ่ายใช้สอย โดย Graham บอกว่า หลังจากที่คนส่วนใหญ่พึ่งเรียนจบแล้วเริ่มต้นหางานทำ จากเดิมที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ยังขอเงินจากครอบครัวอยู่ แต่พอทำงานแล้วเริ่มต้นหารายได้ได้ด้วยตนเองแล้วนั้น จากคนที่ไม่เคยมีรายได้ พอมีมันก็อยากจะไปจับจ่ายใช้สอย โดยไม่ได้คำนึงว่าในอนาคตจำเป็นที่จะต้องใช้เงินไปกับเรื่องใดหรืออะไรบ้าง คิดแค่เพียงว่า ใช้วันนี้หมดเดี๋ยวสิ้นเดือนก็หาได้ใหม่
ซึ่งถ้าหากเราใช้ชีวิตในช่วงวัยเริ่มต้นทำงาน ให้เหมือนกับตอนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย มันจะช่วยประหยัดเงินได้อย่างมากมาย เช่น อยู่ห้องเดียวกับรูมเมท, เสื้อผ้าก็ใส่แบบง่าย ๆ บ้าน ๆ , ช่วยกันหารค่าน้ำมันรถ หรือกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพื่อประหยัดค่าอาหาร เป็นต้น
แต่พอมาเป็นวัยทำงาน กลับกลายเป็นว่า เริ่มต้นแต่เช้าด้วยการซื้อกาแฟ starbucks สักแก้ว มื้อเที่ยงอีกสักแก้ว ตอนกลางคืนทำ OT ล่วงเวลา กลัวจะหลับก็ซัดอีกสักแก้ว
ซึ่งก็มีหลายต่อหลายคนมีน้ำโห ที่พอมีใครพูดว่า “ดื่มกาแฟ starbucks จะทำให้จนลง” ซึ่ง ใช่ แค่เพียงกาแฟ starbucks ไม่กี่แก้วนั้น ไม่ได้ทำให้ใครจนลง แต่สิ่งที่ Graham พยายามจะสื่อก็คือ เมื่อคุณตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตที่มีมาตรฐานที่สูงขึ้น มันจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่กาแฟแก้วนั้นแก้วเดียวอย่างแน่นอน เช่น ในร้านก็มีขนม มีเค้ก ขาย จากเคยกินเค้กชิ้นละ 30 บาท มาร้าน starbucks ก็ต้องเค้กชิ้นละ 150 บาท
เช่นเดียวกัน หากคุณเริ่มต้นด้วยเสื้อเชิ้ตสุดหรู มันไม่หยุดแค่เสื้อแน่ ๆ เพราะมันจะลามไปกางเกงสุดหรู รองเท้าสุดหรู กระเป๋าสุดหรู บลาๆๆ เป็นต้น ดังนั้นจงใช้จ่ายให้น้อยเข้าไว้
ต่อมาคือการออม ที่น่าจะรู้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ เพราะสิ่งที่คนอายุน้อยได้เปรียบกว่าคนอายุมากก็คือ มีเวลาในออมที่ยาวนานกว่า เพราะเงินออมนั้น มันจะสามารถเติบโตแบบ Exponential หรือเติบโตแบบก้าวกระโดดแบบไม้ฮ็อกกี้ได้ ซึ่งสิ่งนั้นจะเรียกว่าพลัง Compound Interest คือพลังของดอกทบต้น ยกตัวอย่างเช่น หากเราเริ่มต้นออมเงินตั้งแต่อายุ 20 ปี ทุก ๆ 1 บาท ที่ลงทุน ในที่ ๆ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี และออมไปจนกระทั่งเกษียณอายุ 60 ปี หรือออมเป็นระยะเวลา 40 ปี เงิน 1 บาท นั้นจะเติบโตเป็น 21.72 บาท ในวันที่เราเกษียณ
แต่ในขณะที่หากเราเริ่มต้นออมเมื่อตอนอายุ 30 ปี ด้วยเงินจำนวนเท่ากัน แต่เวลาจนถึงเกษียณนั้น จะเหลือให้ออมแค่ 30 ปี และเมื่อลองไปคำนวณกับอัตราผลตอบแทนที่เท่ากันกับข้างต้น เงิน 1 บาท ดังกล่าว จะมีมูลค่าในวันเกษียณอยู่ที่ 10.06 บาท
จะเห็นได้ว่า การออมก่อนรวยกว่าตั้ง 2 เท่า เพราะมันมีเวลาให้เงินเติบโตยาวนานกว่านั่นเอง
อุปนิสัยที่ 2 – Not Building Credit History ไม่สร้างเครดิตสะสมเอาไว้
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว Graham เขารู้สึกเสียดายมากที่ไม่ได้สมัครบัตรเครดิตเอาไว้ เพราะเขามีอคติไม่ดีกับมัน เวลาจะซื้ออะไรเขาก็ไม่อยากเป็นหนี้ เขาจึงเลือกที่จะใช้บัตรเดบิตหรือบัตร ATM ในการซื้อสินค้าตลอดไม่ว่าราคามันจะแพงแค่ไหนก็ตามที และเขาก็คิดว่าเขาเจ๋งมากที่ไม่ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิต แต่มาถึงตอนนี้เขากลับรู้ว่าตนเองนั้นงี่เง่าสุด ๆ
เพราะเมื่อเขาเริ่มต้นที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ เขาก็เริ่มเรียนรู้และเห็นความสำคัญของการมีเครดิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็เหมือนกับช่วงตอนที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษาอยู่ ที่พวกเขาก็มักจะเรียกดูประวัติการเรียนและเกรดเฉลี่ย ในขณะที่ในชีวิตจริงของคนเรานั้น ในเรื่องของการเงิน เครดิตก็เหมือนกับประวัติการใช้เงินของคนเรา ที่สามารถบอกคน ๆ นั้นได้ว่ามีนิสัยการใช้เงินอย่างไร มีประวัติการใช้เงินที่ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งยิ่งเรามีประวัติการใช้เงินที่ดี ก็จะยิ่งมีเครดิตมากยิ่งขึ้น การใช้ชีวิตของเราก็จะง่ายยิ่งขึ้นด้วย เช่น เวลาที่เราไปขอกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ ก็จะผ่านได้อย่างง่ายดาย แถมยังจ่ายดอกเบี้ยในเรตที่ถูกกว่าคนอื่น ๆ และนอกจากนั้น ก็จะมีสถาบันการเงินมากมายมายื่นข้อเสนอให้คุณราวกับผึ้งตอมเกสรดอกไม้กันเลยทีเดียว เพราะพวกเขาเล็งเห็นว่า เมื่อพวกเขาให้เงินทุนแก่คนที่มีเครดิตที่ดี นั่นก็หมายถึงบุคคลดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ต่ำในการผิดนัดชำระหนี้ เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย
ซึ่งการใช้บัตรเครดิตนั้น คุณจะต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดในแต่ละเดือนให้ตรงตามกำหนด มันจะทำให้คุณได้คะแนนสะสมไปแบบฟรี ๆ แต่ระวังเอาไว้ว่าอย่าจ่ายขั้นต่ำ หรือผิดนัดชำระ หรือไปเอาบัตรเครดิตใบอื่นมาโปะ ไม่เช่นนั้นแล้วคุณจะมีดอกเบี้ยเงินกู้บานเบอะ เป็นหนี้ท่วมหัว ชีวิตพังได้เลยทีเดียว
อุปนิสัยที่ 3 – Don’t Wait For Things To Happen อย่ามัวรีรอให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น
เมื่อสมัยที่เรายังเป็นนักเรียน นักศึกษาอยู่ เรามักจะได้คำแนะนำจากคุณพ่อคุณแม่ ว่าจะต้องทำอะไรยังไงจึงจะได้มีความรู้ไปทำมาหากิน เช่น พาเข้าโรงเรียนที่ดี แนะนำให้อ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนในห้อง ติวพิเศษ ตั้งเป้าให้ทำให้ได้เกรดดี ๆ เพื่อที่จบแล้วจะได้ไปสมัครงานในบริษัทที่มีตำแหน่งดี ๆ เงินเดือนเยอะ ๆ ซึ่งช่วงนั้นเราก็จะมีครอบครัว คอยบอกกล่าวสั่งสอนเรื่อยมา
แต่พอเรียนจบ เริ่มต้นทำงานที่แรก ทีนี้ เราไม่มีใครคอยบอกว่าจะต้องทำอะไร เป้าหมายคืออะไร เรียนรู้แบบไหน ซึ่งถ้าหากเราคิดว่า เดี๋ยวนั่งในออฟฟิศไปเรื่อย ๆ ก็คงมีอะไรเกิดขึ้นเองแหละมั้ง
พอเอาเข้าจริง มีน้อยมากที่จะมีคนมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชและคอยบอกเราอยู่ตลอดเวลา ว่าจะต้องทำอะไร ยังไงบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่พอเข้าไปแล้ว ถึงกับเคว้ง เพราะไม่มีใครสนใจเรามากขนาดนั้น ไม่มีใครจะสนใจหากเราโดนไล่ออก และต้องลำบากไปหาสมัครงานทำที่อื่น
ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องริเริ่มทำอะไรบางอย่างขึ้นมา เพื่อที่จะให้บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานอย่างสูงนั้น ไม่มีใครที่เอาแต่นั่งอยู่เฉย ๆ แล้วเอาแต่ภาวนาว่า เดี๋ยวมันก็มีสิ่งดี ๆ เข้ามาเอง เพราะพวกเขาล้วนแล้วแต่ขวนขวาย กระตือรือร้น ที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้
อุปนิสัยที่ 4 – Don’t Play It Safe Take More Risk อย่ามัวเพลย์เซฟ ให้พุ่งชนความเสี่ยง
ความเสี่ยงในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ให้คุณไปกระโดดบันจี้จัมพ์ หรือขี่มอเตอร์ไซต์ผาดโผนแต่อย่างใด แต่ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึง การนำพาตัวเราเองไปพบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เราอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบายสักเท่าไหร่นัก อย่างเช่น ลองเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ หรือลองเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวดู
ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง เราอาจเกิดคำถามกับตนเองว่า สิ่งนั้นที่เราไม่ได้ทำ เป็นเพราะเราไม่น่าจะทำได้หรือแค่ยังไม่ได้ลองลงมือทำกันแน่?
ยกตัวอย่างจาก Graham สมัยตอนที่เขาเริ่มต้นอาชีพนายหน้าอสังหาฯ ที่เขามักจะปฏิเสธคำเชิญชวนจากลูกค้าใหม่ ๆ เพียงเพราะ เขารู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องไปพบเจอผู้คนใหม่ ๆ สังคมใหม่ ๆ ทำให้เขาพลาดโอกาสที่ดีอย่างมากมาย หรืออย่างตอนที่เขาหันมาทำวีดีโอลง Youtube มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาหยุดทำวีดีโอไปเป็นปี เพราะเขาไม่กล้าที่จะทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ เพื่ออัดวีดีโอลงบนโลกอินเตอร์เน็ต (ซึ่งตอนนี้รายได้จาก Youtube มากกว่ารายได้จากอสังหาฯ ที่เขาครอบครองอยู่ทั้งหมดซะอีก)
ซึ่งที่ว่ามานั้น ถ้าหากเขาคิดได้ตั้งแต่อายุ 20 เขาน่าจะไปได้ไกลกว่านี้มาก ๆ แต่กว่าจะคิดได้ก็ผ่านไปอีก 10 ปีนู่นแหละ
และอีกเช่นเดียวกัน ถ้าหากอายุ 30 ปี เขาก็ยังคิดไม่ได้ เขาก็คงไม่ได้มาเป็นอย่างเฉกเช่นทุกวันนี้
และข้อดีของการกล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่นั้น แม้ว่าสิ่งนั้นจะล้มเหลว แต่คุณจะได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปใช้และพัฒนาต่อได้ในอนาคต แถมอายุน้อยก็ยังมีเวลาให้เริ่มต้นใหม่ ยังมีเวลาให้สร้างตัวใหม่ แถมภาระก็ยังน้อย เช่น คุณยังไม่ได้กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ยังไม่มีลูกมีเมีย ให้คอยกังวลว่าหากล้มแล้ว จะพาครอบครัวแย่ไปด้วย
ให้คุณลองทำในสิ่งใหม่ ๆ ลองทำธุรกิจ หรือลองหาช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ดู
Resources