วิธีเตรียมรับมือในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตลาดใกล้พัง by Patrick Bet-David EP.1
Patrick Bet-David นักธุรกิจ นักลงทุน นักเขียน โซเชียลมีเดียอินฟลูเอนเซอร์ เจ้าของบริษัทประกันภัย และผู้ให้บริการให้คำแนะนำทางด้านการเงิน ที่ ณ ปี 2022 นี้ เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ราว ๆ $200 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือกว่า 7 พันล้านบาท ได้ออกมาให้ความรู้ส่วนตัวของเขา ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวในระหว่างที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
ที่แม้ว่าในช่วงวิกฤตจะมีบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ล้มหายตายจากเป็นจำนวนมาก และผู้คนต่างก็จนลง ล้มละลาย แต่ในขณะที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งกลับร่ำรวยขึ้นในช่วงเดียวกันนี้ ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้ Pat ยังคงรอดและนำพาให้ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้ ที่แม้ว่าจะผ่านหลายต่อหลายวิกฤตเศรษฐกิจก็ตามที
โดยหลังจากการมาของโรคระบาดอย่าง covid-19 ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำอย่างต่อเนื่องกินเวลากว่า 2-3 ปี ก็ทำให้ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหน ๆ ก็ตกหมด ทั้งตลาดหุ้น ตลาดคริปโตฯ
แต่ Pat บอกว่า มันยังสามารถตกต่ำย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ได้อีก และผู้คนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ก็คงไม่คิดว่ามันจะตกต่ำกว่านี้ได้อีก เพราะที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าย่ำแย่ ใช้ชีวิตกันลำบามากขึ้นอยู่แล้ว
ซึ่งส่วนตัวของ Pat บอกว่า มันอาจจะเกิดขึ้นภายในอีก 2-5 ปีข้างหน้านับจากนี้ ที่เขาวิเคราะห์เอาไว้ตั้งแต่เดือน มิถุนายน ปี 2022 ที่ผ่านมานี้
ซึ่งมันอาจจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงรอบสิบปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
โดยเนื้อหาในตอนนี้ทาง Patrick Bet-David ก็จะมาพูดถึงวิธีการในการเตรียมรับมือกับทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย(Recession) และรวมไปถึงกรณีของ Market Crash ตลาดหุ้นพังด้วย
ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อตัวคุณได้รับข้อมูลดังกล่าว ก็จงเอาไปพินิจคิดวิเคราะห์ต่อว่า จะใช้ข้อมูลที่ได้รับมานี้ ไปวางแผนการเงินการลงทุนส่วนตัวอย่างไร เพราะในท้ายที่สุดมันก็คือเงินของคุณเอง มันคือการรักษาความมั่งคั่งส่วนตัวของคุณเอง คุณจะต้องตัดสินใจกันเอาเอง
โดย Pat เริ่มต้นที่อธิบายหัวข้อเนื้อหาต่าง ๆ ภายในคอนเท้นต์นี้ว่าตัวของเขาจะพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง
- ความแตกต่างระหว่าง Market crash กับ Recession
- สาเหตุว่าทำไม Recession จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
- วิธีเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ Market crash
- วิธีทำเงินล้านในช่วงที่กำลังเกิด Market crash และหลังเกิดตลาดพังลงด้วย
ซึ่ง Market crash นั้น ส่วนตัวเขาคาดการณ์เอาไว้ว่า มันอาจจะเกิดในช่วง 6-24 เดือน นับจากนี้ เพราะเขาไม่เชื่อว่าทางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED นั้น จะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และการที่ ณ ขณะนี้พวกเขาพยายามขึ้นดอกเบี้ย และปริ้นท์เงินเข้าสู่ระบบอย่างมหาศาลนั้น เป็นเพียงแค่การชะลอเวลาในการรอวันล่มสลายของตลาดก็เท่านั้นเอง
3 ขั้นตอนเตรียมตัวรับมือกับสภาวะ Market crash
ซึ่งจากเหตุการณ์โรคระบาด covid-19 เกิดขึ้น ตั้งแต่ช่วง 2 ปีแล้ว และมีการประกาศ lockdown ผู้คนทำได้อยู่แต่ที่บ้าน แต่กลับได้รับเงินแจกจากรัฐบาลที่พวกเขาปริ้นท์ออกมาอย่างมหาศาล
ซคางแม้ว่าเงินส่วนใหญ่จะตกไปอยู่กับคนรวยซะเยอะ แต่นั่นก็ทำให้บางคนที่เคยมีความมั่งคั่งอยู่ที่ $20,000 ล้านดอลล่าร์ฯ เพิ่มขึ้นเป็น $300,000 ล้านดอลล่าร์ฯ
หรือบางคนเคยมีความความมั่งคั่งอยู่ที่ $1 ล้านดอลล่าร์ฯ ก็เพิ่มขึ้นเป็น $300 ล้านดอลล่าร์ฯ
ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินเฟ้อที่รุนแรง ที่เกิดจากการปริ้นท์เงินเข้าสู่ระบบนับล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีบางส่วนที่ความมั่งคั่งได้ลดลงเนื่องจากตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับสถานการณ์สงครามในยูเครนเข้ามาอีกด้วย
ขั้นที่ 1 – Chase your next 0
แต่จากการที่ตลาดได้ปรับตัวลงมาอย่างรุนแรง มันก็อาจเป็นโอกาสที่ทำให้ใครหลายคน สามารถเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเองได้ ในช่วง 12-36 เดือนต่อจากนี้ เช่น
- จากเดิมที่เคยมีอยู่ $100,000 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $1,000,000
- หรือจากเดิมที่เคยมี $1,000,000 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $10,000,000 ถ้าหากคุณใส่เงินไว้ถูกที่ถูกทางในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้
- หรือหากคุณมีแค่ $10,000 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $100,000
- หรือบางคนบอกมี $100 ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็น $1,000
ขั้นที่ 2 – การเกิด Recession จะเป็นผลดีต่อตลาด
ซึ่งทางทีมงาน Blue O’Clock ได้เคยเคยเนื้อหาที่ Elon Musk พูดถึงข้อดีของการเกิดสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยเอาไว้ที่นี่ ซึ่งโดยคร่าว ๆ ก็คือ ช่วงที่เกิด Recession นั้น จะเสมือนเป็นการล้างไพ่ใหม่กับบริษัทต่าง ๆ ที่จะทำให้เหลือแค่เพียงบริษัทที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ที่จะผ่านวิกฤตดังกล่าวไปได้ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มันเป็นช่วงที่แยกให้เห็นเด่นชัดระหว่างบริษัทที่ยอดแย่กับบริษัทที่ยอดเยี่ยมออกจากกันนั่นเอง
ขั้นที่ 3 – ผู้ที่เตรียมพร้อมรับมือเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ
โดย Patrick เขาได้ยกตัวอย่างจากตัวของเขาที่ได้ผ่านช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ผ่านมา
ปี 2001 Dotcom Bubble
ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี 2001 ที่เกิดสภาวะฟองสบู่ดอทคอมแตกนั้น เขากลับเริ่มต้นเปิดธุรกิจส่วนตัวใหม่ในวันที่ 9/10/2001 ที่เป็นธุรกิจในอุตสาหกรรมการเงิน แถมเดือนต่อมายังเกิดเหตุการณ์ 9 11 ที่เครื่องบินพุ่งชนตึก World Trade Center ซึ่งเป็นช่วงที่ Market Crash ตลาดพังลงดิ่งเหวแบบสุด ๆ
และก่อนที่จะเกิด Recession หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยตามมาหลังจากตลาดพังก็คือ เขาได้เริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับ Insurance เกี่ยวกับธุรกิจประกันภัย ซึ่งในช่วงนี้นี่แหละที่เขาบอกว่า คนทึ่ม ๆ แบบเขา ไม่น่าจะทำเงินได้ ก็กลับสามารถทำเงิน $100,000 หรือราว ๆ 3 ล้านกว่าบาทได้ในช่วงนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาเรียนไม่จบปริญญา พึ่งกลับมาจากการเกณฑ์ทหาร ที่มีแต่กล้ามโต ๆ ที่แขน
ซึ่งในช่วงนี้ลยุทธ์หลักของเขาคือการออมเงิน อารมณ์ประมาณว่า ตื่นมาโทรหาลูกค้า เก็บเงินประกัน ออมเงิน หมดวันแล้วก็นอนพัก แล้วก็ตื่นมาโทรหาลูกค้า วนลูปแบบนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน จนเขาออมเงินได้ราว ๆ $100,000
ปี 2008 Recession – Subprime mortgage crisis
และในปี 2008 ก็เกิดสภาวะ Recession สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ซึ่งในช่วงนี้ก็มีเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่าง Subprime mortgage crisis หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้พังลง
ซึ่งในช่วงนี้ทั้งเงินออม เงินลงทุนของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็น $500,000
และในเวลาต่อมาในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2009 เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท PHP AGENCY ที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงิน วางระบบการเงินให้กับองค์กรต่าง ๆ ขึ้นมา
ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในการก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับการเงินเลยก็ว่าได้ เพราะในช่วงนี้นี่เองที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง AIG ที่เป็นกลุ่มบริษัทประกันภัย และผู้ให้บริการทางการเงิน สัญชาติอเมริกัน ก็เกือบล่มสลายด้วยเหมือนกัน
แต่ในช่วงนี้นี่แหละ ที่บริษัทของเขาจากเดิมที่มี agent ตัวแทนประกันภัยเพียง 66 คน ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 20,000+ กว่าคนในทุกวันนี้
และในช่วงก่อนที่จะเกิดสภาวะ Recession ครั้งต่อไป ในช่วงนี้นี่เอง ที่เขาสามารถทำเงินล้านแรกได้เป็นที่สำเร็จ ($1 M)
ปี 2020 Covid Market Crash
ซึ่งหลังจากที่เกิดการ lockdown ประเทศ ธุรกิจ บริษัทห้างร้านต่าง ๆ หยุดชะงัก บริษัทไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย จึงเกิดโครงการ PPP LOAN ที่เป็นสินเชื่อให้แก่ธุรกิจ SMEs ในสหรัฐฯ
ซึ่งถ้า Pattrick ทำการกู้เงินจากตรงนี้ บริษัทเขาจะได้เงินสดมาราว ๆ $4 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อมาใช้หมุนได้ แต่ก็ต้องเสียดอกเบี้ยด้วย
แต่ Pat บอกว่า ก็ในเมื่อบริษทัเรามีเงินสดในคลังอยู่กว่า $15 ล้านดอลล่าร์ฯ จะไปกู้มาทำไม และคนที่มาเสนอเงินกู้ก้อนใหญ่นี้ให้แก่เขา เขาก็บอกว่า น่าจะไปให้พวกร้านอาหารที่เดือดร้อนจากการที่ต้องถูกบังคับให้ปิดร้านจนเจ๊งซะมากกว่า
ดังนั้น การมีเงินสดสำรองเอาไว้ภายในบริษัทใช้ในยามฉุกเฉินนั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะในช่วงที่ประเทศถูก lockdown นั้น รายได้จะหายวับไปในทันที ในขณะที่รายจ่ายยังคงเดินหน้าอยู่เช่นเดิม
ซึ่งอันที่จริงธุรกิจของเขาที่เกือบ 100% ต้องนัดพบปะพูดคุยกับลูกค้าซึ่ง ๆ หน้า เพราะมันคุยผ่าน Zoom แล้วมันไม่ค่อยเวิร์ค
ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใน 6 เดือน หลังจากเกิด covid-19 แต่ธุรกิจเขาก็ยังตะกุกตะกักกับการไปหาลูกค้าแบบตัวต่อตัวอยู่ ดังนั้นแม้ว่าจะกล้า ๆ กลัวที่จะใช้ zoom ให้มากขึ้นในการติดต่อพูดคุยกับลูกค้า แต่เขาก็ตัดสินค้า เพิ่มการขายผ่าน Zoom เป็น 10% และยังใช้การพูดคุยซึ่งหน้าอยู่ 90%
ซึ่งนั่นมันก็ดีกว่าไม่ลองเปลี่ยนรูปแบบอะไรเลย
ดังนั้น Pat จึงเตือนว่า ในตอนนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามที หากคุณไม่มีการเตรียมตัวใด ๆ คิดว่า เศรษฐกิจคงไม่ย่ำแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรหรอก ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรหรอก ก็ดำเนินชีวิต ดำเนินธุรกิจตามปกติต่อไป
ซึ่งการชะล่าใจดังกล่าว ราคาที่คุณอาจจะต้องจ่ายก็คือ ถ้าเป็นบริษัทก็เตรียมปิดกิจการได้เลย ส่วนถ้าดันเป็นพนักงานของบริษัทที่ปิดตัวลง แต่ไม่มีการเตรียมตัวใด ๆ เลย แย่แน่นอน เพราะนอกจากจะตกงานแล้ว ยังหางานใหม่ยากสุด ๆ ในช่วงดังกล่าวซะด้วย และยิ่งไม่มีเงินเก็บเงินออม ไม่มีการวางแผนการลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่มีแหล่งรายได้ที่สองที่สามเผื่อเอาไว้ แย่แน่ ๆ ในช่วง 12-24 เดือนนับจากนี้
ในขณะที่ช่วงนี้ มีคนแพนิค ตกใจ อย่างรุนแรงเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนตัวของ Pat เขาเป็นนักสะสมการ์ด baseball อยู่แล้ว ซึ่งเขาได้การ์ดหายากมา 2 ใบในราคา $540,000 ที่เจ้าของเดิมรีบขายออกในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอย่างมาก เพราะตกใจกับสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยและต้องการเงินสดเร่งด่วน
ซึ่งพอผ่านไปเพียง 13 เดือน หลังจากที่เศรษฐกิจได้ฟื้นตัวขึ้นมาแล้วนั้น การ์ด baseball ดังกล่าว เขากลับขายออกไปได้ในราคา $2.1 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือฟันกำไรเหนาะ ๆ เกือบ 4 เท่า ซึ่งราคาการ์ดดังกล่าวนอกจากมันจะราคาพุ่งเพิ่มขึ้นแล้วนั้น ก็ยังบวกกับได้ของราคาถูกจากเจ้าของคนก่อนหน้า ที่รีบขาย รีบใช้เงินด่วนเพราะไม่ได้เตรียมเงินสดเอาไว้เพียงพอกับวิกฤตที่เกิดขึ้นนั่นเอง
ซึ่งประเด็นที่ Pat พยายามจะสื่อก็คือ จะเป็นตลาดใดก็ได้ เป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ เป็นตลาดการลงทุนต่าง ๆ ก็ตามที พอมันเกิดวิกฤต จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากตกใจแตกตื่น หวาดกลัว
ยกตัวอย่างจาก Robert Kiyosaki ที่เขาได้ทำการกู้เงินกว่า $300 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อเข้ากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่กำลัง ON SALE ในช่วงที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ในช่วงดังกล่าวมีแต่คนแย่งกันขายบ้าน ตัดราคาแล้วตัดราคาอีก ยอมหั่นราคากว่าครึ่ง เพื่อเปลี่ยนบ้านให้เป็นเงินสดเร็วที่สุด
ซึ่งในปัจจุบันอสังริมทรัพย์ดังกล่าว สามารถสร้าง Cash Flow ให้กับเขาได้อย่างมหาศาล
ดังนั้นคนที่มีเงินสดอยู่ในมือเป็นจำนวนมากบวกกับการตัดสินใจที่เฉียบคม จะทำให้คนดังกล่าว สามารถคว้าโอกาสในการทำเงินอย่างมหาศาลได้นั่นเอง
และในช่วงที่เกิดสภาวะ Recession นี้นี่เอง ก็ส่งผลให้ Patrick Bet-David เขามีเงินออมเพิ่มจากหลักแสนเป็นหลักล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และความมั่งคั่งก็เพิ่มเป็น แปดหลัก เก้าหลัก หรือกว่า $100,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้ในที่สุด
และนั่นคือที่มาของสูตรการไล่ล่าหาเลขศูนย์มาต่อท้ายความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
แล้วก็จบกันไปกับ Episode ที่ 1 แล้วมาติดตามกันต่อใน Episode ที่ 2 นะครับ
Resources
- https://youtu.be/j9vL6K2Yop0
- https://phpagency.com/about-us/
- https://invest.hawaii.gov/wp-content/uploads/2020/04/THAI_PPP_Required-Info-Documents_DBEDT_Final_v3-_AP042220.pdf
- https://www.celebritynetworth.com/richest-celebrities/authors/patrick-bet-david-net-worth/