Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

How to

3 วิธีการเพิ่มรายได้ในกระเป๋าคุณให้ตุงยิ่งกว่าเดิม

สำหรับบทความนี้ Dan Lok ได้มาให้มุมมองและวิธีการในการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น ซึ่งไม่ว่า ณ ตอนนี้คุณจะอยู่ในฐานะพนักงานประจำหรือกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวก็ตามที ก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ได้ว่า หากคุณอยู่ในฐานะพนักงานประจำจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้นายจ้างเพิ่มรายได้ให้คุณ และหากคุณอยู๋ในฐานะนายจ้าง คุณต้องการพนักงานแบบไหนที่คุณอยากเพิ่มรายได้ให้เขา

วิธีที่ 1 – จงเป็นพนักงานที่เหนือกว่าพนักงานทั่วไป

พนักงานทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาทำงานหนักเพียงเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกไล่ออก ทำไปเรื่อย ๆ เพื่อหวังว่านายจ้างจะยังคงจ่ายค่าจ้างเพื่อที่จะนำเงินก้อนนี้ไปจ่ายค่าเช่ารถ ค่าเช่าบ้าน ค่ากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ว่าจะทำมากหรือทำน้อย ยังไงสิ้นเดือนก็ได้เงินก้อนนี้อยู่ดี จะทำงานหนักกว่านี้ไปเพื่ออะไร

แต่คุณสามารถทำได้ดีกว่าพวกเขาเหล่านั้น วิธีการคือ การที่คุณทำประโยชน์และส่งมอบคุณค่าให้แก่บริษัทของคุณ ให้แก่เจ้านายของคุณ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมีข้อแม้ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ คุณจะต้องอยู่ในบริษัทที่เห็นคุณค่าในตัวคุณ ซึ่งหากมองในมุมของเจ้าของบริษัทดีที่นั้น พวกเขาก็กำลังมองหาคนที่สามารถทำงานได้ดีกว่าค่ามาตรฐานของคนทั่ว ๆ ไป ที่พร้อมจะจ่ายค่าตอบแทนให้คุณอย่างเหมาะสมกับทักษะที่คุณมีอยู่และคุณค่าที่คุณสามารถสร้างให้แก่บริษัทได้ ซึ่งคำถามสำคัญที่คุณควรตั้งคำถามกับตัวคุณเองก็คือ

  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้กลายเป็นพนักงานที่มีคุณค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยของพนักงานทั่ว ๆ ไป?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มคุณค่าใหแก่บริษัท?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้กลายเป็นบุคคลที่มีแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้และคนอื่นทำแทนไม่ได้?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อทำให้รายได้บริษัทเพิ่มขึ้น?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้งานของทีมออกมาดีขึ้น?
  • ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น?

และเมื่อผลงานคุณเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนในบริษัทแล้ว เมื่อถึงเวลาคุณสามารถพูดคุยกับหัวหน้าของคุณ ในผลงานที่ผ่าน ๆ มา ที่คุณทำให้กับบริษัท เพื่อต่อรองให้นายจ้างของคุณจ่ายค่าตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งหากนายจ้างคนนั้นเป็นนายจ้างที่ดี พวกเขาจะเห็นคุณค่าในตัวคุณและยอมเปย์ให้คุณมากขึ้นอย่างแน่นอน

วิธีที่ 2 – ย้ายตัวคุณไปอยู่ในแผนกที่เกี่ยวข้องกับผลกำไรของบริษัท

ในโลกของธุรกิจนั้น จะประกอบกลุ่มคน 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ

กลุ่มที่ 1 – Operational Jobs

  • Customer Service เช่น คอลเซ็นเตอร์, งานบริการลูกค้า เป็นต้น
  • Product Fulfillment เช่น พนักงานเติมของในชั้นวาง, พนักงานแพคของส่งของ เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 – Technical Jobs

  • Legal department เช่น ทนายประจำบริษัท, ผู้ให้คำปรึกษาด้านกฏหมาย, ผู้จัดทำเอกสารทางกฏหมาย เป็นต้น
  • Accounting department เช่น พนักงานบัญชี, ผู้ตรวจสอบบัญชี เป็นต้น
  • Financial department เช่น ผู้ให้คำปรึกษาด้านวางแผนการเงิน

กลุ่มที่ 3 – Revenue Generating Jobs

  • Salespeople – พนักงานขาย
  • Marketers – นักการตลาด
  • Copywriters – นักเขียนคำโฆษณา
  • Leader – หัวหน้าทีมขาย, หัวหน้าทีมการตลาด

ซึ่งงานใน 3 กลุ่มนี้ งานกลุ่มของ Operational นั้น จะมีค่าตอบแทนน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นตำแหน่งงานที่สามารถหาคนทดแทนได้ง่าย ใครมาทำแทนก็ได้ในแทบจะทันที ซึ่งต่อให้คุณทำงานในกลุ่มนี้ได้ดีมากแค่ไหนก็ตาม คุณก็อาจจะได้ค่าจ้างเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ไม่มากอย่างที่คุณต้องการได้

แต่ในขณะที่กลุ่มงานของ Revenue Generating นั้น คือกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้หรือสร้างผลกำไรให้กับบริษัทโดยตรง ซึ่งคนกลุ่มนี้ มักจะได้รายได้ตามผลงานที่สามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่น ในตำแหน่งของนักขาย หากได้ค่าคอมมิชชั่นหรือส่วนแบ่งจากยอดขายทั้งหมดที่ทำได้อยู่ที่ 10% ยกตัวอย่างเช่น

  • ถ้าคุณทำยอดขายได้ 100,000 บาท คุณจะได้ค่าคอมมิชชั่น 10,000 บาท
  • ถ้าคุณทำยอดขายได้ 1,000,000 บาท คุณจะได้ค่าคอมมิชชั่น 100,000 บาท
  • ถ้าคุณทำยอดขายได้ 10,000,000 บาท คุณจะได้ค่าคอมมิชชั่น 1,000,000 บาท

จะเห็นได้ว่า รายได้ของคุณ จะไม่มีเพดานจำกัด รายได้ของคุณจะเติบโตขึ้นเท่ากับคุณค่าที่คุณสามารถสร้างให้แก่บริษัทได้นั่นเอง

วิธีที่ 3 – เป็นพนักงานบริษัทในคราบของผู้ประกอบการ

หลายคนอาจคิดว่า เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจส่วนตัว(Entrepreneur)นั้น จะต้องเริ่มด้วยการลาออกจากงานประจำแล้วมาเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งนั่นมันก็ไม่ผิดอะไร แต่จริง ๆ แล้ว การที่คุณจะกลายเป็นผู้ประกอบการและฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้นั้น คุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่เป็นพนักงานในบริษัท ซึ่งข้อดีก็คือ คุณไม่ต้องเริ่มทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์ แต่คุณสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกับเจ้าของบริษัทที่เป็นหัวหน้าคุณได้เลย โดย Dan Lok ได้ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับบริษัทของเขาว่า

มีอยู่วันหนึ่งที่พนักงานของเขา ได้มาเสนอตัวเองกับ Dan ว่า เขามีไอเดียต่อยอดจากธุรกิจหลักของบริษัท ที่จะสามารถสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทของ Dan ได้ โดยที่เขาเสนอตัวเป็นผู้รับผิดชอบในโปรเจคนี้เอง โดยที่ Dan สนับสนุนด้านการเงินทุนในโครงการนี้กับฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน พร้อมกับคำปรึกษาและการโค้ชชิ่งเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่ง Dan Lok ได้เห็นผลงานที่ผ่านมาของพนักงานคนนี้ว่า เขามีผลงานในอดีตที่ดีมาก ๆ แล้วเขาก็สนับสนุนโครงการนี้ โดยการลงเงินในโปรเจค ซึ่ง Dan ขอส่วนแบ่งเป็นจำนวน 90% และให้ส่วนแบ่งกับพนักงานคนนี้ 10% ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านไปพนักงานคนนี้ก็สามารถผลักดันให้โปรเจคนี้เติบโตได้อย่างมากมาย โดย Dan ยินดีที่จะเพิ่มส่วนแบ่งให้แก่พนักงานคนนี้ จาก 10% ไปเป็น 20%, 30%, 50% หรือแม้กระทั่ง 80%

จนกระทั่งมาถึงจุด ๆ หนึ่งที่ Dan Lok เห็นว่าพนักงานคนนี้ สามารถเติบโตและยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเองได้แล้ว Dan จึงถือหุ้นไว้เพียง 10% และสุดท้าย Dan Lok ก็ได้ขายหุ้น 10% นั้นไป เพื่อให้พนักงานคนนี้ กลายเป็นเจ้าของบริษัทในโครงการใหม่แบบ 100% เต็ม

ซึ่งถ้าถามว่า Dan Lok ได้ประโยชน์อะไรจากโครงการนี้ อย่างแรกก็คือ ตลอดระยะเวลาที่โครงการดำเนินการนั้น Dan Lok ได้ผลกำไรที่พนักงานคนนี้สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งเขาสามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าเป็น 10 เท่า จากที่ทำโปรเจคเก่า ๆ ที่ผ่าน ๆ มา และนอกจากนั้นยังได้ความภาคภูมิใจ อิ่มเอมใจ ที่เห็นพนักงานคนหนึ่ง สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเองโดยมี Dan Lok คอยให้คำปรึกษาอยู่ และนอกจากนั้น ในอนาคตก็ยังสามารถเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมงานกันได้ ที่สามารถทำให้เกิดโปรเจคใหม่ ๆ ที่เจ๋งกว่าเดิมขึ้นไปอีกได้เช่นกัน

Resource