Site icon Blue O'Clock

Michael Saylor ทำนายราคา Bitcoin ในระยะยาว

Michael Saylor - ไมเคิล เซย์เลอร์

Michael Saylor ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท MicroStrategy บริษัทมหาชนที่มี Bitcoin มากที่สุด ณ ขณะนี้ ที่มี Bitcoin อยู่ในครอบครองราว ๆ 125,000 BTC

โดยคอนเท้นต์นี้เป็นการสัมภาษณ์จากช่อง Youtube สัญชาติเกาหลีใต้ BitSHUA เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ที่ผ่านมา โดย Michael Saylor ได้เปรียบเทียบการลงทุนเมื่อตอนที่เขาได้เคยลงทุนในบริษัท Tech Company เมื่อทศวรรษที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Google, Apple และ Facebook โดยที่หุ้นเหล่านี้ สามารถทำกำไรได้สูงสุดก็ในช่วง Early Stage หรือในช่วงแรก ๆ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความ Unique มีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากบริษัทอื่น ๆ และผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่รับรู้ว่าบริษัทเหล่านี้มีศักยภาพในการเติบโตมากแค่ไหน และอย่างที่เรารู้ ๆ กันว่า การลงทุนในหุ้นเหล่านี้ หลังจากที่ผ่านช่วง Early Stage ไปแล้ว ก็ไม่สามารถทำกำไรได้มากมายอะไรสักเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับช่วงแรก ๆ

โดยที่ Bitcoin นั้น Michael Saylor ก็ได้เปรียบว่ามันมีลักษณะที่คล้าย ๆ กับบริษัท Tech Company เหล่านั้นในช่วง Early Stage เอามาก ๆ มันยังคงมีศักยภาพที่สามารถเติบโตได้ในอนาคตอีกอย่างมหาศาล

โดย Michael Saylor บอกว่า แนวโน้มของโลกในยุคปัจจุบันนั้น มีแนวโน้มที่ธุรกิจต่าง ๆ จะกลายเป็นบริษัทที่มีลูกค้านับพันล้านคนทั่วโลก เฉกเช่นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Amazon, Apple หรืออย่าง Facebook ด้วยเครือข่ายดิจิตอล ที่ต้องขอบคุณการมาของโลกอินเตอร์เน็ตที่ทำให้ผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อหาถึงกันได้ ซึ่งธุรกิจต่าง ๆ ณ ปัจจุบันก็สามารถเชื่อมต่อถึงลูกค้านับล้านคนได้ภายในเสี้ยววินาที แถมมันยังเป็นเครือข่ายที่สามารถปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้เรื่อย ๆ อย่างเช่น Application ที่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ สินค้าหรือบริการผ่านดิจิตอลเน็ตเวิร์คที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ที่ไม่มีวันหยุด มันสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปี แบบไม่มีหยุดพัก ซึ่งนั่นคือข้อได้เปรียบในการแข่งขันในวงการการทำธุรกิจในยุคนี้

ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Amazon ที่เป็นธุรกิจ Ecommerce อันดับ 1 ของโลก ที่เริ่มสร้างหน้าร้านเป็นของตัวเอง แถมหน้าร้านของพวกเขายังสามารถอัพเกรดได้ในทุก ๆ นาที ซึ่งต่างจากร้านค้าปลีกทั่วไปที่สร้างจากอิฐจากปูนที่ไม่สามารถอัพเกรดระบบของตนเองได้ ดังนั้นมันไม่มีทางเลยที่ร้านค้าปลีกแบบปกติทั่วไป จะสู้ร้านของ Amazon ที่มีระบบเทคโนโลยีที่สามารถอัพเกรดได้อยู่ภายในหลังบ้านของพวกเขา

หรืออย่างบริษัท Apple มีที่ศักยภาพในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ถึงมือลูกค้านับพันล้านคนทั่วโลกได้ภายในสัปดาห์เดียว ในขณะที่รายอื่น ๆ นั้น ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ นั่นคือพวกเขามีเทคโนโลยีและระบบที่สามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา

ซึ่งการลงทุนที่ดีที่สุดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานี้ ทาง Michael Saylor ก็บอกว่าการลงทุนในบริษัทที่สามารถ Digital Monopoly หรือสามารถกินรวบตลาดดิจิตอลได้โดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดได้เฉกเช่นบริษัท Amazon, Google, Apple หรือ Facebook และรวมไปถึง Bitcoin ที่กำลังมีลักษณะที่คล้าย ๆ กับบริษัท Tech Company ดังกล่าว

และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้คนอันน้อยนิดที่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนั้น และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ บวกกับสิ่งนั้นไม่มีใครสามารถหยุดการเติบโตของมันได้ นั่นคือสิ่งที่ Michael Saylor บอกว่า นั่นแหละ มันคือสิ่งที่น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะที่ ณ ตอนนี้ ผู้คนหลายร้อยล้านคนต่างเข้าใจในบริษัทอย่าง Google, Apple, Amazon, Facebook หรืออย่าง Youtube เป็นอย่างดี นั่นแสดงให้เห็นว่า การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุดในบริษัทเหล่านั้นได้หมดลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าหากย้อนกลับไปสักเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว ที่ผู้คนยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับ Amazon หรือ Apple นั่นคือเวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน และคนที่ลงทุน ตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้วนั้น ก็ได้ผลกำไรไม่ต่ำกว่า 20 เท่ากันถ้วนหน้า ซึ่งการที่จะหาผลตอบแทนที่สูงขนาดนี้จากบริษัทดังกล่าว มันจะไม่มีอีกแล้วที่จะมีหลายสิบเด้งแบบนี้กับบริษัทอย่าง Amazon, Apple, Google หรืออย่าง Facebook

และเช่นเดียวกันที่ว่า ทำไม ณ เวลา เป็นเวลาที่ Bitcoin เป็นสิ่งที่น่าลงทุน ก็เพราะตอนนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจใน Bitcoin ซึ่งถ้าหากผ่านพ้นช่วงเวลาที่กำลังถกเถียงในตัวของ Bitcoin ไปแล้ว เมื่อนั้น มันก็มีโอกาสที่จะเติบโตกว่า 30 40 50 เท่าเลยก็ยังได้ แต่มันจะยังไปไม่ถึงจุดนั้น หาก ณ ตอนนี้ผู้คนต่างยังคงถกเถียงกันอยู่ว่า Bitcoin มันลวงโลกบ้างล่ะ Bitcoin มันจะล่มสลายบ้างล่ะ ราคาของ Bitcoin จะตกลงเหลือ 0 บ้างล่ะ หรือ Bitcoin มันมีความผันผวนที่สูงจนราคาอาจร่วงลงกว่า 90% จนพอร์ทการลงทุนระเบิดบ้างล่ะ

และนี่ก็คือคำแนะนำในการลงทุนใน Bitcoin สำหรับผู้เริ่มต้น โดยทาง Michael Saylor ได้แบ่งประเภทของคนที่เข้ามาในตลาด Bitcoin ออกเป็นอยู่ 3 ประเภทก็คือ

ถ้าคุณเป็น Saver คือเป็นนักออม แนวความคิดของคุณก็คือ คุณไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการออม และคุณก็จะเลือกออมในทรัพย์สินที่แข็งแกร่ง ไม่เสียมูลค่าในการออม และเป็นทรัพย์สินที่มีอัตราการเติบโตในระยะยาว ซึ่งการออมส่วนใหญ่ก็ยาวในระดับ 10 ปีขึ้นไป

ถ้าคุณเป็น Investor หรือนักลงทุน โดยเฉพาะใน Bitcoin อย่างน้อยคุณก็ต้องลงทุนกับมันเป็นระยะเวลา 4 ปีขึ้นไป เพราะทุก ๆ 4 ปี จะเกิด Bitcoin Halving ที่จำนวน Supply หรือจำนวนการผลิตของ Bitcoin จะลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งในทางหลักเศรษฐศาสตร์ ที่สิ่งใดก็ตามที่ผู้คนมีความต้องการในตัวมันสูง แต่มันมีจำนวนการผลิตที่ลดลง ราคาของมันก็จะพุ่งสูงขึ้นเป็นธรรมดา ซึ่งการที่จะเป็นนักลงทุนที่มั่นใจในการลงทุนในระยะยาวหลายปีได้นั้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องศึกษา ทำการวิจัย ค้นคว้าหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี ซึ่งนักลงทุนหลายต่อหลายเจ้าส่วนใหญ่ก็ใช้เวลานานนับปีที่กว่าจะตัดสินใจเข้ามาลงทุน

แต่ถ้าหากคุณจะบอกว่าคุณเป็น Investor หรือนักลงทุน แต่พอถามว่า คุณคาดหวังว่าจะได้กำไรเมื่อไหร่ หากคุณตอบว่า น่าจะประมาณ 4 สัปดาห์หรือ 1 เดือน นั่น Michael Saylor บอกว่า คนเหล่านั้นไม่ใช่นักลงทุน แต่เป็นนักเก็งกำไรหรือ Speculator

ซึ่งถ้าหาก Speculator เหล่านั้น มีการวิเคราะห์ มีเทคนิค มีอัลกอลิทึ่ม มีระบบ มีข้อมูลเฉพาะทาง ในการตัดสินใจลงเงิน ก็อาจจะเรียกคนกลุ่มนี้ได้ว่าเป็น Trader ที่รู้ว่าจังหวะไหนน่าจะได้กำไรหรือขาดทุน

แต่หาก Speculator คนใดที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับที่พวกเขาจะลงเงินเลย แถมวิเคราะห์ไม่เป็น รู้แค่ว่าออกแค่หัวกับก้อย ไม่รวยก็จนกันไปข้างนั้น พวกนี้จะจัดอยู่ในกลุ่มของ Gambler หรือนักพนันดี ๆ นี่เอง

โดย Michael Saylor มักจะมอบพูดกับเหล่าบรรดาคนที่ติดตามเขาว่า หากคุณคิดที่จะเข้ามาลงทุนใน Bitcoin หากคุณคิดว่า คุณไม่สามารถถือมันได้อย่างน้อยสัก 10 ปี แค่ 10 นาทีคุณก็ไม่ควรถือมัน นั่นหมายถึงว่า หากคุณคิดว่าจะลงทุนใน Bitcoin ไม่ถึง 10 ปี ก็อย่าเข้ามาลงทุนในตลาดนี้เลยจะดีกว่า

และสิ่งที่ Michael Saylor คิดว่า นี่คือวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับบุคคลธรรมดาทั่ว ๆ ไป ก็คือ หากคุณคิดที่จะเริ่มต้นลงทุน สิ่งแรกที่คุณควรทำก่อนก็คือ การเก็บออมเงินในรูปของสกุลเงินที่มั่นคงในถิ่นฐานที่คุณอาศัยอยู่ ให้ได้อย่างน้อยสัก 12 เดือนหรือ 1 ปี เช่น หากคุณอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ให้เก็บอยู่ในรูปของเงินบาท ให้เพียงพอต่อการใช้งานในช่วง 12 เดือนในอนาคต ถ้าเป็นภาษาบ้านเราก็คือ ให้มีเงินออมฉุกเฉินอย่างน้อยสัก 12 เดือน ที่สามารถหยิบมาใช้กินใช้จ่ายได้ในทันที ในกรณีที่หากไม่มีรายได้เข้ามาเลยในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่เอาเข้าจริง ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่ผ่านมานี้ 36 เดือนอาจจะไม่พอใช้ซะด้วยซ้ำ

และเมื่อคุณออมเงินได้สัก 12 เดือนแล้ว หากเงินคุณยังเหลืออยู่ และคุณต้องการเก็บเงินนี้เอาไว้ให้กับครอบครัว ให้กับลูกหลานในอนาคตอีก 10 ปี 30 ปี 50 ปี หรืออีก 100 ปี ข้างหน้า คุณก็ควรนำเงินก้อนนี้ไปใส่ไว้ใน Portfolio Property หรือพอร์ทของทรัพย์สิน โดยคุณสมบัติของทรัพย์สินที่ดีก็คือ มันต้องมีความหายาก และมีคนต้องการมันเยอะ โดยเฉพาะคนรวยที่ต้องการครอบครองมันในอีก 10 ปี 30 ปี 50 ปี ข้างหน้า

ซึ่งทรัพย์สินหายากดังกล่าว อาจจะเป็น Bitcoin, ไม่ก็อสังหาฯ บนพื้นที่ที่หาได้ยากมีอยู่อย่างจำกัด หรือไม่ก็อาจเป็นผลงานศิลปะหายากอย่างงานของ Leonardo Da Vinci ไม่ก็ของ Picasso หรืออาจจะเป็นของสะสมหายากเช่นนาฬิกา Limited Edition

ดังนั้นในพอร์ทของทรัพย์สินนั้น มันไม่ใช่หุ้นบริษัทต่าง ๆ เพราะการลงทุนในบริษัทนั้นมีความเสี่ยงสูง และมันไม่ใช่การเก็บมูลค่าในรูปของสกุลเงิน แต่มันคือการเก็บทรัพย์สินที่หายาก และมีคนรวยต้องการมัน ซึ่งนั่นคือกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการออมที่ Michael Saylor คิดเอาไว้ ดังนั้นหากคุณคิดที่จะเป็นนักออม ก็อย่าได้มัวแต่เช็คราคาของสิ่งนั้นแบบรายนาที รายชั่วโมง เอาเวลาไปโฟกัสทำมาหากินจะดีกว่า

และจากข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหล่าสถาบันการเงินและธนาคารยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกันกับบริษัท Microstrategy อย่างบริษัท KPMG ก็เป็นบริษัทที่คอยตรวจสอบบัญชีให้กับทาง MicroStrategy ซึ่ง KPMG นั้น เป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูงระดับโลกในการตรวจสอบบัญชีเพื่อสร้างความโปร่งใสให้ในธุรกิจขนาดใหญ่

ซึ่งแนวโน้มของสถาบันการเงินต่าง ๆ นั้น ทาง Michael Saylor บอกว่า พวกเขามีความต้องการที่จะให้บริการที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrency กับลูกค้าของพวกเขา ซึ่งนั่นถือว่าเป็นข่าวดี ที่สถาบันการเงินเห็นว่า bitcoin นั้นเป็นมิตรมากกว่าที่จะมองเป็นภัยคุกคาม

สุดท้ายทางพิธีกรก็ได้ถาม Michael Saylor ว่า ในช่วงชีวิตของเรานี้ เรามีโอกาสจะได้เห็นราคาของ Bitcoin ในราคาเหรียญละ $1M หรือประมาณ 30 ล้านบาทต่อ 1 BTC หรือไม่?

ซึ่งทาง Michael Saylor ก็ตอบว่า มีแน่นอน!!! ซึ่งก่อนจะไปถึงที่ราคานั้น ก่อนอื่น Bitcoin จะต้องมาแทนที่ทองคำให้ได้ซะก่อน ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ Bitcoin เข้ามาแทนที่ทองคำได้นั้น ราคาต่อ 1 BTC ก็น่าจะขึ้นไปอยู่ที่ราว ๆ $500,000 หรือประมาณ 15 ล้านบาทต่อ 1 BTC เหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ ณ ตอนนี้ตลาดทองคำมีขนาดตลาดอยู่ที่ราว ๆ $11 Trillion ส่วนขนาดตลาด Bitcoin มีขนาดตลาดอยู่ที่ราว ๆ $0.7 Trillion หรือตามอยู่ราว ๆ 15 เท่า ซึ่งถ้าเอาไปคูณกับราคาของ Bitcoin ณ ปัจจุบันที่ราว ๆ $40,000 นั้นก็จะได้ราว ๆ $600,000 ต่อ 1 BTC นั่นเอง

แต่ Bitcoin มันจะไม่ได้หยุดอยู่ที่แค่ทองคำเท่านั้น เพราะเขาคิดว่า มันจะเข้ามาแทนที่อย่างพันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินอื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ตลาดของ Bitcoin นั้นมันจะไม่ขึ้นไปที่ $100 Trillion หรืออีก 100 เท่าในอนาคต ซู้ดดดดดดดด!!!

คำถามก็คือ มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? ก็เท่านั้นเอง


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

Resources

Exit mobile version