จาก Episode 1 ครั้งที่แล้วเป็นการเปิดอภิปราย ทีนี้มาถึงหัวข้อแรกที่จะทำการอภิปรายก็คือ จงเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ระหว่าง Bitcoin และ Gold ใน 8 เรื่องดังต่อไปนี้
- durable – ความทนทาน
- portable – ความสะดวกในการพกพา
- fungible – การหาสิ่งทดแทน
- verifiable – การพิสูจน์ของแท้
- divisible – การแบ่งซอยย่อย
- scarce – ความหายากหรือความขาดแคลน
- established history – ประวัติศาสตร์
- censorship resistance – การบังคับใช้ของรัฐบาล
โดยหน้าที่ของ Michael Saylor ก็คือ ในหัวข้อที่ว่ามานั้น Bitcoin ดีกว่า Gold อย่างไรบ้างในมุมมองของการเป็น Asset ที่ดี
ซึ่ง Michael Saylor เริ่มด้วยการบอกว่า ในฐานะการขับเคลื่อนมวลมนุษยชาติในมุมมองของวิศวกร ถ้าพูดถึงในด้านวัสดุอย่าง หิน, เหล็ก, คอนกรีต, อลูมิเนียม, ซิลิกอน
- คุณไม่สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ได้โดยปราศจากซิลิคอน (นั่นคือที่มาของชื่อ Silicon Valley เมืองที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นต้องใช้ซิลิคอน)
- คุณไม่สามารถสร้างตึกระฟ้าได้โดยปราศจากเหล็ก
ดังนั้นคุณไม่สามารถอยู่รอดได้ หากไม่เลือกองค์ประกอบที่เหมาะสม และ crypto หรือการเข้ารหัสเปรียบเสมือนเหล็กในยุคของศตวรรษที่ 21 นี้สำหรับเป็นองค์ประกอบของเศรษฐศาสตร์การเงิน และในฐานะของวิศกรก็จะต้องตอบให้ได้ว่า สิ่งใดคือสิ่งที่ถูกและสิ่งใดคือสิ่งที่ผิด
เริ่มต้นกันที่ Gold เป็นลำดับธาตุที่ 79 ตามตารางธาตุ เป็นโลหะในอุดมคติ ที่ไม่สามารถทำลายได้(ถ้าคุณลองเอามันไปหลอมด้วยความร้อนสุดท้ายพอมันเย็นลงก็กลายเป็นทองคำดังเดิม) มันมีความอ่อนนุ่ม มันมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ผู้คนชอบมันมาก โดยเฉพาะเวลาที่นำมันไปทำเป็นเครื่องประดับได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่มันไม่ใช่ Asset ทางการเงินที่สมบูรณ์แบบ เพราะ ทองคำสามารถหาเพิ่มได้ มันสามารถถูกยึดริดรอนได้ ไม่สะดวกต่อการพกพา แบ่งซอยย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ ยาก แถมยังสามารถถูกปลอมแปลงได้ และนอกจากนั้นมันก็มีให้เลือกหลากหลายประเภทมาก ๆ เช่น ทองคำรูปพรรณที่เหมาะเอาไว้สวมใส่ ทองคำแท่งเหมาะเอาไว้สะสม หรือทองคำกระดาษที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการเก็บทองเอาไว้เอง โดยฝากทางร้านเอาไว้ และต้องใช้ความเชื่อใจระหว่างคุณกับเจ้าของร้านนั้นว่า เขาจะเก็บทองคำจริง ๆ ที่คุณทยอยออมเก็บไว้อยู่จริง ๆ หรือไม่
ในขณะที่ Bitcoin นั้นมันไม่ใช่เพียงแต่เป็น Asset นอกจากนั้นมันยังเป็น เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันด้วย protocol กับคอมพิวเตอร์ทั่วโลก และเป็นเครื่องมือที่ประสบความสำเร็จระดับโลกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกการทำธุรกรรมทางการเงินแบบ real time ที่เกิดขึ้นจริง ที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวมันเองไม่ต้องมีคนควบคุม มันทำงานโดยชุดโปรแกรมคำสั่งคอมพิวเตอร์ที่มีความแน่นอน ทำงานอย่างตรงไปตรงมาและมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เป็นระบบการกระจายอำนาจแบบไม่รวมศูนย์ ทุกคนบนโลกนี้สามารถร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของการทำแต่ละธุรกรรมได้ มีความปลอดภัยสูง มันไม่ต้องขออนุญาตใครในการดำเนินการ มันไม่สามารถเปลี่ยนรูปหรือปลอมแปลงได้ ใครก็ตามที่มีสมาร์ทโฟนเพียงแค่หลักพันบาทที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ก็สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ มันเป็นของหายากเนื่องจากมันถูกจำกัดปริมาณเอาไว้ให้มีได้แค่เพียง 21 ล้านเหรียญ BTC เท่านั้น และมันสามารถแบ่งหน่วยย่อยเป็นจำนวนเล็ก ๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยหน่วยเล็กที่สุดคือ 1 satoshi(sat) คือ 1 satoshi = 0.00000001 BTC และนอกจากนั้นมันยังทำการโอนมูลค่าหากันได้ในทันที ซึ่งสิ่งที่ว่ามานี้ ทองคำทำแทบไม่ได้เลย
และนั่นมันทำให้ Bitcoin มันเหมาะกับการเป็นทรัพย์สินทางการเงินที่สมบูรณ์แบบของมนุษยชาติ เพราะในโลกนี้เรายังไม่เคยมีทรัพย์สินที่บริสุทธิ์ขนาดนี้มาก่อน มันเปรียบเสมือนทองคำดิจิตอลที่ปราศจากข้อบกพร่องทางการเงิน
และนอกจากนั้นมันเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วโลก ที่ไม่ว่าใครที่ต้องการร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องและร่วมกันรักษาความปลอดภัยก็สามารถทำได้ทุกคน ซึ่งมันเป็นการมอบอำนาจในการดข้าถึงการเงินให้กับผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลก
และนอกจากนั้นมันยังสามารถสร้าง software ซับพอร์ทการทำงานของ Bitcoin ได้ใน layer ที่ 2 (นั่นก็คือ มันไม่ได้ไปเปลี่ยนระบบดั้งเดิมของ bitcoin แต่ทำให้ระบบที่นำมา plugin เชื่อมต่อเข้าไปใหม่นั้นส่งผลให้การทำงานของ bitcoin ดีขึ้น)
และมันกำลังเกิดปรากฎการณ์ viral ไปทั่วโลก ทุกในระดับ ไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคล ระดับบริษัทห้างร้าน หรือกระทั่งระดับประเทศ (ประเทศ El Salvador สามารถใช้ Bitcoin ชำระหนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมายเป็นประเทศแรกของโลก) และมันจะมีความแข็งแกร่งและถูกพัฒนาในดีขึ้นในทุก ๆ วัน เพราะเนื่องจากมันเป็นซอร์แฟร์ที่สามารถอัพเกรดความสามารถได้
และด้วยความที่มันมี protocol เป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อน bitcoin ที่คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมถึงกันได้ทั่วโลก นั่นมันทำให้ bitcoin เหนือชั้นขึ้นไปอีก ที่ bitcoin นั้นสามารถเชื่อมต่อกับ application การเงินใด ๆ บนโลกใบนี้ด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ยกตัวอย่างเช่น Square และ Paypal ที่เป็นแพลตฟอร์มการเงินระดับโลกที่เข้ามาเชื่อมต่อกับ Bitcoin
โดย Bitcoin มัน harder, smarter, faster และ stronger กว่าทองคำ ซึ่งสิ่งนี้หมายถึงอะไร
- Harder : ความหายากของทองคำนั้น หากย้อนดูก็จะพบว่าทองคำถูกขุดพบเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี เฉลี่ยปีละ 2% ในขณะที่ Bitcoin นั้นการถูกขุดพบนั้นจะมีอัตราที่คงที่ไปตลอดและจะหายากขึ้นในทุก ๆ 4 ปี หรือที่เรียกว่า Halving ที่จะลดจำนวนการขุดพบลงครึ่งนึง ยกตัวอย่างเช่น ในปีแรกสุด ทุก ๆ 10 นาที bitcoin จะถูกขุดพบจำนวน 50 เหรียญ และพอผ่านไป 4 ปี ก็จะถูก halving ให้ลดลงเหลือ 25 เหรียญ อีก 4 ปีถัดไปจะถูกขุดพบได้เพียง 12.5 เหรียญ ซึ่งขณะที่จัดทำวีดีโอนี้เราอยู่ใน state นี้ ซึ่งอีก 4 ปีถัดไป มันก็จะถูกขุดพบได้เพียง 6.25 เหรียญ เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อีกประมาณ 100 กว่าปี ก็จะยังคงเป็นแบบนี้อยู่ จนกว่ามันจะถูกขุดพบครบ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งตอนนี้ถูกขุดพบแล้วประมาณกว่า 18 ล้านเหรียญ (การขุดพบของ bitcoin นั้นหลายคนอาจงงว่ามันเป็นดิจิตอล มันต้องขุดเหมือนเหมืองทองคำหรือยังไงกันหว่า ซึ่งเป็นภาพเปรียบเทียบกับทองคำเท่านั้นเอง เพราะอันที่จริงการที่จะหา Bitcoin ได้นั้น จะกระทำผ่านการประมวลของคอมพิวเตอร์ ที่ทำการแก้สมการและยืนยันการทำธุรกรรมที่ถูกต้องบน blockchain และหากคอมพิวเตอร์เครื่องใดสามารถประมวลผลได้เสร็จก่อน ก็จะได้เหรียญ bitcoin เป็นรางวัลตอบแทน ก็เปรียบเสมือนคนขุดเหมืองทอง ก็จะได้แร่ทองคำเป็นตอบแทนคืนมานั่นเอง) และแน่นอนว่า อะไรที่มีความต้องการสูงขึ้น แต่หายากขึ้น สิ่งนั้นก็จะมีราคาสูงขึ้นเป็นไปตามหลักของเศรษฐศาสตร์นั่นเอง
- Smarter : Bitcoin มันฉลาดปราดเปรื่องกว่าทองคำ ก็ตรงที่มันสามารถเชื่อมต่อกับ application ที่ล้ำยุค เพราะโลกของเรามีการพัฒนา software ให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน CPU ที่ใช้ประมวลผลก็ก้าวหน้าขึ้นในทุก ๆ วัน และ Server ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุก ๆ วัน ความเร็วในการประมวลผลมันจะเร็วขึ้นไปตามกฎของมัวร์ (Moore’s law) ที่ทุก ๆ 2 ปีประสิทธิภาพของเทคโนโลยีจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งความเร็วในการประมวลผลที่สามารถคำนวณได้มากกว่า 100 ล้านครั้งในแต่ละวินาทีทั่วโลก ที่มีเซิร์ฟเวอร์เชื่อมต่อกันเป็นแสน ๆ ตัวกับ Bitcoin application ซึ่งคุณไม่สามารถทำแบบนี้ได้กับ Gold
- Faster : Bitcoin สามารถทำธุรกรรมได้นับพันล้านธุรกรรมด้วยความเร็วแสง และการรันบน application มันทำงานตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปีไม่มีหยุดพัก
- Stronger : Bitcoin มันเป็นช่องทางที่สะสมความถี่ของพลังงานเอาไว้ที่สูงมาก ยกตัวอย่างเช่น เขาสามารถทำการ flash loans หรือกู้เงินด่วนเป็นจำนวน $10,000 หรือประมาณ 300,000 บาท เพื่อใช้สัก 3 วัน ซึ่งสามารถทำแบบนี้ได้นับร้อยครั้ง โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร เพื่อทำธุรกรรมกับบริษัทนับหมื่นทั่วโลก และสามารถใช้เงินที่กู้ยืมมาได้อย่างรวดเร็ว และทุกอย่างทำได้อย่างรวดเร็วราวกับยิงแสงเลเซอร์ออกจากตาด้วยความแม่นยำที่สูง
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม Bitcoin จึงเป็น Asset ที่เหนือกว่า Gold
และ Frank Giustra ก็มีเวลาโต้แย้งกับการอภิปรายของ Michael Saylor ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่นี้ด้วยกัน 1 นาที โดย Frank ยอมรับว่า Bitcoin มันเป็นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมและเขาจะไม่เถียงในเรื่องนั้น แต่สิ่งที่เขาขอโต้แย็งก็คือ เขามองว่า Bitcoin มันทำธุรกรรมได้ช้าเกินไปหากมันจะกลายเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกหันมาใช้กัน และนอกจากนั้นมันยังมีความผันผวนของราคาที่สูงมาก ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นว่า Bitcoin มันจะโอนได้เท่าความเร็วแสงตามที่ Michael Saylor ได้เคลมเอาไว้
ในส่วนของทองคำจริง ๆ ที่จับต้องได้ กับทองคำกระดาษ อันนี้เขายอมรับว่าเขาก็ไม่ชอบทองคำกระดาษ ดังนั้นเขาจึงเก็บเฉพาะทองคำที่จับต้องได้จริง ๆ เท่านั้น พวก Gold ETF นี่เขาไม่ยุ่งด้วยเลย เพราะมันเป็นการทำสัญญาระหว่างสองบุคคล ซึ่งเขามองว่า Bitcoin ที่ทำธุรกรรมระหว่างสองบุคคลนั้นมันคือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หากมีใครเบี้ยวสัญญา
และในส่วนของด้านความปลอดภัยสูง เขาก็ยังคงไม่เชื่อมั่นว่ามันปลอดภัยจริง ๆ และไม่เหมาะกับการครอบครองเอาไว้ตราบใดที่รัฐบาลยังมองว่า Bitcoin นั้นเป็นภัยคุกคาม มันก็ไม่แน่ไม่นอนเสมอไป
และยกแรกของ Frank ก็ได้รับโจทย์เช่นเดียวกันกับ Michael Saylor ที่ต้องอภิปรายว่า เพราะเหตุใดการลงทุนใน Gold นั้นดีกว่าการลงทุนใน Bitcoin
โดย Frank ชี้แจงว่า ทองคำเป็นนิรันดร์ มันจะคงอยู่ตลอดไป ทำลายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น สร้อยคอทองคำที่คุณใส่ในวันนี้ มันอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องประดับสักชิ้นในอนาคตอีกสักสองพันปีต่อจากนี้ได้ และมันก็ยังเป็นทองคำก้อนเดียวกันอยู่
นอกจากนั้นทองคำยังได้ฝังรากลึกลงในระดับวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมากหากคุณต้องการที่จะนำเอาทองคำออกไปจากการเป็น Asset โดยเฉพาะประเทศอย่างอินเดียและประเทศจีนที่ถือว่าเป็นตลาดที่ซื้อขายทองคำใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ซึ่ง Frank เขาก็เชื่อว่าหากอเมริกาย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงจะเลือกที่จะผูกทองคำเอาไปกับระบบเงินดอลล่าร์ แต่ประธาธิบดี Richard Nixon ได้ยกเลิกระบบนี้ไปแล้วตั้งแต่ปี 1971 ทำให้ในปัจจุบันสหรัฐอเมริกาสามารถพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นหายนะทางเงิน แต่ก็ชั่งมันเถอะ เพราะเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว
แต่ทองคำในหลายประเทศทั่วโลก ก็ยังคงเป็นตัวเลือกแรกสุดในการเก็บมันเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งตัวของ Frank เองเขามองไม่เห็นว่าทั่วโลกจะหันมาใช้ Bitcoin เป็นเงินสำรองเฉกเช่นเดียวกับ Gold
โดยทองคำถือว่าเป็น store of value ที่รักษามูลค่าของเงินที่สำคัญสำหรับธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อเป็นสกุลเงินสำรอง และเป็นตัวเลือกที่นอกเหนือคำสั่งหรือนโยบายทางการเงินของสกุลเงินต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ โดยธนาคารกลางได้เก็บสะสมทองคำเอาไว้มากกว่า 33,000 ตันในคงคลังของพวกเขา คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 20 ของทองคำทั้งโลกที่เคยขุดมันขึ้นมา และพวกเขาก็กำลังซื้อและสะสมมันอย่างบ้าคลั่งและอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Frank ไม่เชื่อว่า Bitcoin จะกลายมาเป็นตัวเลือกของเหล่าบรรธนาคารกลางที่จะเก็บมันไว้ในฐานะเงินสำรองคงคลัง
นอกจากนั้น Bitcoin ยังตกเป็นเป้าได้ง่ายในการที่จะถูกโจมตี หากคนคิดว่ามันเป็นภัยคุกคาม ในขณะที่ผู้คนจะไม่ทำเช่นนั้นกับทองคำ เพราะธนาคารกลางคงไม่โจมตีทองคำ เพราะมันเหมือนกับว่าพวกเขาได้ยกปืนขึ้นมาแล้วยิงไปที่เท้าตัวเองยังไงยังงั้น พวกเขาจะจงรักภักดีทองคำไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ในขณะที่ Bitcoin ไม่ได้รับความเชื่อมั่นและจงรักภักดีแบบนี้
และสิ่งที่หลายคนมักเข้าผิดเกี่ยวกับทองคำก็คือ มันไม่ได้ถูกแบบมาเพื่อให้ราคาขึ้นพรวดพราดหวือหวาเหมือนกับหุ้นของบริษัท Tech company ที่พุ่งหยั่งกับจรวดพุ่งไปยังดวงจันทร์ แต่ทองคำมันถูกออกแบบมาให้เป็น Store of value ที่รักษามูลค่าของเงินเอาไว้เพื่อต่อสู้กับค่าเงินเฟ้อจากเงิน fiat ที่มีมูลค่าลดลงเรื่อย ๆ
ต่อมาคือ ทองคำมันถูกพิสูจน์มาแล้วทุกยุคทุกสมัยว่า ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตการเงินของโลกกี่ครั้งก็ตามที มันไม่เคยตาย มันยังคงอยู่และเติบโตเรื่อยมา ไม่เหมือนกับบิตคอยน์ที่ตัวมันจะไม่ได้ถูกพิสูจน์จากวิกฤตการเงินใด ๆ เลย มันเพียงแค่เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดวิกฤตซับไพรม์หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2008 เท่านั้นเอง ในขณะที่ทองคำกลับขึ้นเป็นสองเท่าจากวิกฤตในครั้งนั้น ดังนั้นทองคำมันพิสูจน์ตัวมันเองแล้วว่า มันเป็น Asset ที่สำคัญในระหว่างที่เกิดวิกฤตทางการเงินของโลก
และนอกจากนั้นทองคำยังคงอยู่แม้ว่าจะเกิดสงครามโลก เขาสามารถเก็บเงินไว้ในทองคำของเขาได้ และทองคำมันยังอยู่นอกเหนือการโจมตีจาก cyber attack และการโจมตีจากระบบโครงข่ายไฟฟ้า
และทุกครั้งที่เกิดวิกฤตทางการเงิน ผู้คนทั่วโลกย่อมเลือกทองคำก่อนเสมอโดยสัญชาตญาณและมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งไป
และเพื่อความแฟร์ในการอภิปรายก็ต้องพูดถึงการที่ธนาคารกลางพยายามควบคุมราคาของทำให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เมื่อราคาทองคำมันสูงจนเกินไปพวกเขาก็จะทำการเทขายเพื่อกดให้ราคาของทองคำมันต่ำลง แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยคิดที่จะทำลายมันเลย เพราะมันก็เหมือนกับตัดแข้งตัดขาของตัวเอง ไม่มีใครเขาทำกันหรอก
และนอกจากนั้นเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาได้เลือกที่จะเก็บเงินสำรองระหว่างประเทศเอาไว้ในทองคำกว่า 77% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 4% ของทองคำที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วทั้งหมดบนโลกใบนี้ และประเทศจีนก็มีทองคำไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศคิดเป็น 3% ของทองคำที่ถูกขุดขึ้นมาบนโลก แต่ Frank เชื่อว่าพี่จีนมีมากกว่านั้น เพราะทองคำส่วนใหญ่ถูกขุดพบที่ประเทศจีน และประเทศจีนก็มีการซื้อขายทองคำกันมากที่สุดในโลกอีกด้วย
และนอกจากนั้น Frank ยังไม่เห็นด้วยว่า Bitcoin มันจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 200% ตลอดไป ซึ่งแม้ว่า Michael Saylor อาจจะวิเคราะห์ถูก แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
และนอกจากนั้น Frank ก็ยังไม่เชื่ออีกว่า Bitcoin จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อสกุลเงินดอลล่าร์ โดยเขาเชื่อว่าที่ Michael Saylor บอกว่า Bitcoin มันไม่ได้มาทำลายเงินดอลล่าร์นั้นไม่เป็นเรื่องจริง แต่ Michael ต้องพูดแบบนั้นเพราะเขาแค่ไม่อยากให้รัฐบาลมาโจมตี Bitcoin ก็เท่านั้น แต่มันก็สายไปซะแล้ว เพราะตอนนี้มันถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลไปเป็นที่เรียบร้อย
และการที่ Bitcoin มันเป็นสกุลเงินแบบไม่รวมศูนย์หรือแบบ Decentralized นั้น มันต้องไม่เป็นที่ยอมรับจากรัฐบาลที่เป็นแบบ Centralized อย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะต้องทำให้มั่นใจว่าระบบการเงินจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล เพราะโลกจะวุ่นวายหากไม่มีการควบคุม ไม่มีกฏเกณฑ์ ไม่มีกฎหมายคอยกำกับเกี่ยวกับเรื่องของการเงิน
และนี่ก็คือการอภิปรายของ Frank Giustra ในยกแรกว่าทำไมทองคำถึงดีกว่าบิตคอยน์
โดยทาง Michael Saylor ก็จะมีเวลาโต้แย้งในหัวข้อนี้ประมาณ 1 นาที
โดย Michael Saylor โต้แย้งว่า อย่างแรกเลยนะ Frank บิตคอยน์มันไม่ใช่ payment network หรือเครือข่ายการชำระเงิน เพราะหน้าที่เหล่านั้นเป็นของแพลตฟอร์ม payment ต่าง ๆ อย่างเช่น Paypal ไม่ก็ Square ที่พวกเขามีสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างรวดเร็วต่อผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกในระดับความเร็วแสงที่สร้าง On Top บน Bitcoin อีกทีหนึ่ง โดยการทำธุรกรรมทางการเงินนั้นจะมาจาก application layer 2 ที่สร้างบนเครือข่าย Bitcoin อีกทีหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น Lightning Network ที่เป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้ในการโอน Bitcoin ได้แบบสายฟ้าแล่บ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าโอนได้ในระดับความเร็วแสง โอนปุ๊บเข้าปั๊บ ดังเช่นในประเทศ El Salvador ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ก็พูดอยู่นั่นแหละว่า Bitcoin มันโอนช้า มันอืดเกินไปจะกลายเป็นสกุลเงินของโลกที่ผู้คนทั้งโลกโอนกันไปมา มันช้าเกินกว่าที่จะทำการค้ากันได้ ซึ่งนั่นมัน layer 1 ของ Bitcoin แต่ตอนนี้มันยกระดับเป็น Layer 2 ที่มีแพลตฟอร์มและ application ที่สร้างบนตัวมันอีกทีหนึ่งที่รวดเร็วในระดับความเร็วแสงแล้วเฟร้ย
ส่วนที่ Frank บอกว่า Bitcoin มันไม่มีความปลอดภัยที่อย่างที่คิดนั้น Michael Saylor บอกว่า การเข้ารหัสแบบ crypto ที่เรียกว่า crypto keys หรือกุญแจสำหรับปลดล็อครหัสนั้น มันปลอดภัยโคตร ๆ มันเป็นการคิดค้นและประดิษฐ์ที่ดีที่สุดตั้งแต่ถือกำเนิดมนุษยชาติขึ้นมาเลย (ซึ่งเขาในฐานะที่มองในมุมมองของคนที่เป็นวิศวกร) ซึ่งเขาบอกว่ายังไม่มีทรัพย์สินใดบนโลกใบนี้ ที่มีความปลอดภัยในระดับนี้มาก่อน เราไม่เคยมีสินทรัพย์สินใดที่สามารถกักเก็บมูลค่านับร้อยล้าน พันล้าน ด้วยเพียงแค่ password keys หรือรหัสผ่านที่ปลดล็อคกุญแจ ที่สามารถจดจำไว้ในหัวของเรา หรือเก็บรหัสลับซ่อนเอาไว้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
โดย Michael Saylor เขาเชื่อว่า ในท้ายที่สุด คนทั้งโลกที่มีมือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกงของพวกเขานั้น สุดท้ายพวกเขาจะเป็นคนเลือกเองว่า พวกเขาจะถือเงินสกุลใด และพวกเขาจะถือทรัพย์สินประเภทใด
และแน่นอนว่าสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขาเลือกอาจจะเป็นดอลล่าร์ก็เป็นได้ และพวกเขาก็จะใช้มันเป็นตัวกลางในการแปลกเปลี่ยนและใช้เพื่อการชำระเงิน ในขณะที่ Asset ที่พวกเขาเลือกนั้นจะต้องเป็น Bitcoin อย่างแน่นอน
ซึ่งการที่ Bitcoin จะประสบความสำเร็จได้นั้น มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสกุลเงินที่ดีตราบใดที่โลกใบนี้มีสกุลเงินที่แข็งแกร่งจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในโลกของการเงิน และพวกเขาจะรักษาสกุลเงินที่แข็งแกร่งของพวกเขาเอาไว้ โดยนั่นเป็นสงครามของ currency หรือสงครามของสกุลเงิน แต่ในขณะที่ Bitcoin มันไม่ได้อยู่ในสงครามสกุลเงิน แต่มันกำลังแข่งขันอยู่ในสงครามของ Asset หรือสินทรัพย์ และเมื่อพูดถึงสงครามใน Asset มันก็ต้องถูกเปรียบเทียบกับทองคำซึ่งนั่นมันก็ถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อเขามองว่ามันเป็น Asset ดังนั้นสิ่งที่เขาจะพิจารณาก็คือ เงินสดในกระเป๋า ณ ตอนนี้ เขาเลือกที่จะเก็บมันไว้ในทองคำหรือบิตคอยน์ดีกว่ากัน และผมก็เลือก Bitcoin
To be continued… โปรดติดตามต่อใน Episode ที่ 3
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง
Resources