การดีเบตระหว่าง Michael Saylor ในฝั่งของ Bitcoin และ Frank Giustra ในฝั่งของทองคำ ยกที่ 3 ว่าด้วยเรื่องของ Historical Performance หรือผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมาในการลงทุนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
โดยพิธีกรได้เริ่มต้นพูดว่า ฉันรู้ว่าจุดแข็งที่โดดเด่นของ Bitcoin ที่ Michael Saylor ได้อภิปรายมาก่อนหน้านี้นั้น หลัก ๆ ก็คือ มันมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 200% ต่อปี และราคามันก็พุ่งสูงขึ้นอย่างโดดเด่น แต่ Michael คุณเองก็พูดออกมาจากปากคุณเองว่า ไอ้การเติบโตดังกล่าว มันก็ไม่สามารถการันตีอะไรได้ว่ามันจะเติบโตไปถึงจุดไหน
และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้คนทั่วโลกเกิดอาการ FOMO (Fear Of Missing Out) ที่แปลได้ว่า การที่ผู้คนกลัวพลาดโอกาสในการเก็งกำไรจากการที่ราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือศัพท์ในวงการมักจะเรียกว่า กลัวการตกรถ ทำให้ราคาของ Bitcoin ในบางช่วงนั้น สูงเกินจริงไปมาก ทำให้ราคาของ Bitcoin ที่สูงขึ้นนั้น อาจไม่ได้มาจากคุณค่าในตัวของมันจริง ๆ แต่เป็นราคาที่เกิดจากการเก็งกำไรของผู้คนในตลาด crypto หากมองในมุมนี้แล้วนั้น Michael คุณจะมีคำอธิบายอย่างไรบ้าง
โดยในยกนี้ Michael Saylor จะเปิดก่อน โดยเขามีเวลาอภิปราย 5 นาที
Michael Saylor เริ่มต้นด้วยการพูดว่า “ผมคิดว่า Bitcoin เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างน้อย” โดย Michael Saylor ได้เล่าย้อนถึงการเติบโตในหนึ่งปีให้หลังที่ผ่านมาว่า Bitcoin มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 693% ในขณะที่ทองคำนั้นมีอัตราการเติบโตอยู่แค่เพียง 4.66%
และถ้าหากดูการเติบโตย้อนหลังไปประมาณ 5 ปี ถ้าหากคุณลงทุนในทองคำด้วยเงินจำนวน $1 ดอลล่าร์ฯ ผ่านไปห้าปีเงินลงทุนในทองคำคุณจะงอกเป็น $1.33 ดอลล่าร์ฯ ในขณะที่หากคุณลงทุนใน Bitcoin ด้วยจำนวนเงินเท่ากันผ่านไปห้าปีเช่นกัน เงินที่ลงทุนในบิตคอยน์จะงอกเป็น $132 ดอลล่าร์
ซึ่งหากคุณเลือกที่จะลงทุนในทองคำแทนที่จะเป็นบิตคอยน์แล้วล่ะก็ นั่นหมายถึง คุณจะสูญเสียความมั่งคั่งไปมากกว่า 99%
ซึ่งหากดูการเติบโตย้อนหลังไป 10 ปี Bitcoin จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 190% ต่อปี ในขณะที่ทองคำมีอัตราเฉลี่ยสิบปีให้หลังอยู่ที่ 1.65%
ทีนี้มาดูผลย้อนหลังสัก 100 ปีกันบ้าง โดยทองคำเมื่อ 1 ศตวรรษที่แล้วมีราคาอยู่ที่ราว ๆ $20 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ โดยในปัจจุบันทองคำก็เติบโตโดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $1,700 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ซึ่งโอเค ในมุมของคนที่ลงทุนในทองคำก็คงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ดูสิร้อยปีที่ผ่านมาทองคำโตขึ้นตั้ง 80-90 เท่า หรือกว่า 8,500% เลยเชียวนะ
แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นกลับพบว่า ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ไม่มีใครได้รับผลตอบแทนนั้นจริง ๆ เลย โดยเฉพาะคนที่ครอบครองทองคำกว่าร้อยละ 95 นั้น มักจะถูกรัฐบาลริบทองคำนั้นไป ซึ่งแม้ว่าในสหรัฐอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นทั้งหมด แต่หลายร้อยประเทศทั่วโลกเป็นอย่างนั้น ซึ่งอันที่จริง ควรจะนำปัจจัยนี้ไปคำนวณความเสี่ยงในการลงทุนในทองคำซะด้วยซ้ำ ดังนั้นจากการลงทุนด้วยเงินจำนวน $1 ดอลล่าร์ ที่ควรจะได้รับ $100 ดอลล่าร์ แต่พอเพิ่มความเสี่ยงในการถูกริบทองคำกว่าร้อยละ 95 นั้น กลายเป็นว่า ลงทุน $1 ดอลล่าร์ ก็อาจมีโอกาสได้รับผลตอบแทนแค่เพียง $5 ดอลล่าร์เท่านั้น เพราะที่เหลือทองคำถูกริบไปเกือบหมด
ดังนั้นหากรวมปัจจัยความเสี่ยงที่มีโอกาสถูกยึดได้ด้วยเข้าไปแล้ว ทำให้หากคำนวณโอกาสผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำกว่าร้อยปีที่ผ่านมา ควรจะเหลือแค่เพียง 1.5% ต่อปี และจากนี้ไปอีกร้อยปีก็คงไม่แตกต่างกันกับร้อยปีที่ผ่านมาสักเท่าไหร่นัก
ในขณะที่ใครหลาย ๆ คนมักพูดดว่า Bitcoin มีความผันผวนของราคาที่สูง ซึ่งเขามองว่า หากนำเอาตัวเลขของ 1 ปีย้อนหลังที่ผ่านมาลองมาคำนวณดูแล้วจะพบว่า 12 เดือนให้หลังมันมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 693% ในขณะที่หากคุณลองไปดูเวลาที่ราคาของ Bitcoin ร่วงลงในแต่ละเดือน โดยเขาได้อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ Binance ที่เป็นกระดานเทรดอันดับ 1 ของโลกนั้นจะพบว่า ในแต่ละเดือน Bitcoin ร่วงสูงสุดจะอยู่ที่ -13%, -10%, -14%, -11%, -17%, -11%, -25%, -21%, -16% และ -12% ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวจะพบว่า โอกาสที่ราคาของ Bitcoin จะร่วงลงต่ำสุดอยู่ที่ -25% ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตที่ 693% แล้วจะพบว่า มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงในปีที่ผ่านมา
ส่วนในเรื่องของ Liquidity หรือสภาพคล่องของ Bitcoin นั้นมีสูงมาก หากนับเฉพาะบน Binance ในตลาด spot แล้วจะพบว่า มีการซื้อขายกันมากกว่า $10 Trillion ดอลล่าร์ฯ ต่อวัน นั่นหมายถึงว่า เราสามารถเปลี่ยน Bitcoin เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว
และวันแรกที่บริษัท Microstrategy ของเขาประกาศว่า ได้ซื้อ Bitcoin ด้วยจำนวนเงินกว่า $250 ล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งแน่นอนว่าก่อนการประกาศเข้าซื้อ Bitcoin นั้น เขาก็จะต้องตัดสินใจว่า เงินสดในบริษัทของเขาควรจะลงทุนในสินทรัพย์สินใดกันแน่ และแน่นอนว่าตัวเลือก ณ ตอนนั้น เขาก็ต้องเลือกระหว่าง จะนำเงินสดไปลงทุนใน Bitcoin หรือ ทองคำดีกว่ากัน และวันที่เขาอภิปรายอยู่นี้ตัวเลขก็ชี้ชัดว่า หากเขานำเงินดังกล่าวไปลงทุนในทองคำ บริษัทของเขาจะสูญเสียความมั่งคั่งไปมากกว่า $4,000 ล้านดอลล่าร์ฯ ภายในเวลาแค่เพียง 8 เดือนเท่านั้น เมื่อเทียบกับการนำเงินดังกล่าวไปลงทุนใน Bitcoin
ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวมันเป็นการเดิมพันที่มีมูลค่ากว่า $4,000 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือมากกว่า 1.2 แสนล้านบาทเลยทีเดียว
และแม้ว่า Gold ETF หรือทองคำกระดาษนั้น มันจะผลักดันในตลาดทองคำมีมูลค่าสูงกว่าตลาดทองคำที่จับต้องได้จริง ๆ กว่า 10 เท่าก็ตามที แต่เขาก็มองว่า การลงทุนในทองคำกระดาษนั้นมันเป็นแค่ของเล่นสำหรับเด็กเท่านั้น
ส่วนในเรื่องที่ Bitcoin มีความผันผวนที่สูงในช่วงทศวรรษแรกนั้น เขาไม่เถียง เพราะมันเป็นเรื่องปกติของ Asset ที่พึ่งเกิดขึ้นมาใหม่บนโลกใบนี้ แต่พอเริ่มต้นในทศวรรษถัดไปมันจะเริ่มนิ่งขึ้นด้วย Network หรือเครือข่ายของผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากเปรียบเป็น Human Asset หรือการลงทุนในบุคคลที่ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงอย่างการลงทุนใน Lebron James เมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 19 ปี ที่พึ่งเริ่มต้นในสายนักกีฬาบาสเกตบอลมืออาชีพในลีค NBA แล้วล่ะก็ ในช่วงนั้น Performance ของเขามีความผันผวนที่สูงมาก จนในปัจจุบันเขาสามารถพาทีมต่าง ๆ พาคว้าแชมป์ NBA ได้อย่างมากมาย
และเช่นเดียวกัน การลงทุนใน Asset ที่ผันผวนสูงในช่วงแรกอย่าง Bitcoin ที่ในอนาคตมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และ Bitcoin จะสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาหลาย ๆ อย่างได้ดีกว่าทองคำ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมเขาจึงเลือกลงทุนใน Bitcoin
และนี่ก็คือการอภิปรายของ Michael Saylor ในมุมของ Historical Performance หรือผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมาของ Bitcoin
โดยทาง Frank Giustra ก็มีเวลาในการโต้แย้งการอภิปรายของ Michael Saylor เมื่อสักครู่อยู่ 1 นาที
โดย Frank เริ่มต้นว่า การเปรียบเทียบ Performance เมื่อสักครู่ของ Michael Saylor ที่ยกการเปรียบเทียบจากตัวเลขเพียงแค่ 1 ปีให้หลังนั้น มันเป็นอะไรที่วัดค่ากันไม่ได้ ตัวเลขมันดูสวยหรูจนเกินไป ซึ่ง Frank บอกว่า หากยกตัวเลขผลประกอบการสัก 4 ปีย้อนหลังมาเทียบกัน ตัวเลขของ Bitcoin มันจะดูแย่ลงกว่านี้มาก เพราะในช่วงปี 2018 นั้นราคาของ Bitcoin มันร่วงลงอย่างรุนแรง ดังนั้นข้อแรกเลยก็คือ คุณจะต้องมองช่วงเวลาที่มากกว่า 1 ปีเพื่อมาเปรียบเทียบ
อย่างที่สอง เขาไม่เห็นด้วยกับการคำนวณของ Michael Saylor ที่บอกว่า Bitcoin มีอัตราการเติบโตแบบ Compund interest หรือแบบดอกเบี้ยทบต้นอยู่ที่ราว ๆ 190% ต่อปี แต่เดี๋ยวเรื่องนี้เขาจะดีเบตในภายหลัง
และการที่คุณโชว์ว่า คุณได้กำไรจากการลงทุนใน Bitcoin มหาศาลแค่ไหนเมื่อเทียบกับการที่จะลงทุนในทองคำ ภายใน 1 ปีที่ผ่านมานั้น มันไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยว่า Bitcoin มันจะมาเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่งหรือ Store of Value อย่างทองคำ
ทีนี้ก็ถึงตาของฝั่งในการอภิปรายของฝ่ายทองคำกันบ้าง
โดยพิธีกรได้เริ่มต้นว่า ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม ปี 2020 ราคาของทองคำได้ขึ้นได้แตะจุดสูงสุดใหม่ที่ราคา $2,075 ต่อออนซ์ และทองคำในปี 2020 ที่ผ่านมาก็เติบโตขึ้นกว่า 20-30% ต่อปี และเนื่องจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้มีการปริ้นท์เงินเป็นจำนวนมากเข้าสู่ตลาด แต่ราคาของทองคำกลับไม่สามารถทำราคาสูงสุดใหม่ได้ ซึ่งในความเห็นของพิธีกรก็บอกตรง ๆ ว่าการรับรู้ในตลาดตอนนี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้ลงความเห็นแล้วว่า Bitcoin ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกของการลงทุนในฐานะที่เป็น Asset หรือสินทรัพย์ ซึ่งทำให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ในช่วงสิบปีต่อจากนี้ การเติบโตของทองคำ อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 13% ต่อปีเท่านั้น ดังนั้น Frank บอกเราหน่อยว่า นี่คือจุดจบของราคาทองคำตลอดระยะเวลากว่า 3,000 ปี ที่จะจบราคาสูงสุดที่ราคาแค่นี้หรือไม่?
โดย Frank Giustra จะมีเวลาในการอภิปราย 5 นาที
ทาง Frank ก็ได้ตอบสั้น ๆ กลับไปว่า ‘ไม่ใช่แน่นอน’ ซึ่งอย่างแรกที่ผู้คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับอรรถประโยชน์ของทองคำเลยก็คือ การลงทุนในทองคำ ไม่ใช่ว่าคุณจะมองไปที่ราคาของมันขึ้น ๆ ลง ๆ แต่สิ่งที่คุณจะต้องมองก็คือการนำทองคำไปเปรียบเทียบกับค่าสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศที่มีปัญหาเรื่องการถดถอยของค่าเงิน เช่น ในประเทศอาร์เจนตินา ที่มีสกุลเงินเปโซ ซึ่งหากดูจากสถิติจะพบว่า ทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 28 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับสกุลเงินเปโซอาร์เจนตินา หรืออีกสักตัวอย่างหนึ่งจากประเทศตุรกี เมื่อราคาทองคำเทียบกับสกุลเงิน Lira ของตุรกี จะมีค่าเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ที่กำลังเกิดวิกฤตทางการเงิน และนี่แหละคือวิธีการที่จะวัดมูลค่าที่แท้จริงของทองคำ ที่จะทำงานได้ดีมากในช่วงที่เกิดค่าเงินเฟ้อสูง
ซึ่งหากย้อนกลับไปในช่วงปี 1970 ในแถบทวีปอเมริกาเหนือ(North America) ที่ราคาของทองคำอยู่ที่ $35 และพุ่งขึ้นไปที่ราคาเกือบ ๆ $850 ในช่วงเวลา 10 ปีนั้น ราคาทองคำได้เติบโตสูงขึ้นเกือบ 25 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า มันเป็นช่วงที่เกิดค่าเงินเฟ้อสูงมากในช่วงนั้น นี่จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ชี้ชัดแล้วว่า ทองคำมันทำงานได้ดีเมื่อเงินภาวะเงินเฟ้อ
และแม้ว่าในปี 2020 ที่ผ่านมา ราคาของทองคำจะปรับตัวลง แต่คุณจะเห็นได้ว่าเหล่าบรรดาธนาคารกลางและธุรกิจในอุตสาหกรรมเครื่องประดับนั้น ต่างเข้ามาช้อนซื้อทองคำไปเป็นจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะประเทศอินเดียที่เป็นประเทศที่ทำอุตสาหกรรมเครื่องประดับที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และธนาคารกลางทั่วโลกต่างก็ประกาศเข้าซื้อทองคำจำนวนมหาศาลเพื่อเก็บเข้าคงคลัง นั่นเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ในตลาดเงินยังมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดทองคำอยู่มาก
ตรงกันข้ามกับ Bitcoin ที่มีประวัติศาสตร์แค่เพียง 10 ปีนิด ๆ เท่านั้น แถมมันยังไม่ได้ถูกพิสูจน์ตัวเองในช่วงที่เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรงมาก่อนอีกด้วย ดังนั้นในฐานะนักลงทุนเขาจึงยังไม่ยอมรับว่าผลงานในอดีตของ Bitcoin ที่ดีนั้น ในอนาคตมันจะดีแบบนี้หรือไม่ เพราะการลงทุน ผลประกอบการในอดีตก็ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดและการันตีว่ามันจะดีในอนาคตด้วย
ส่วนถ้าถามว่า การมาของ Bitcoin มีผลต่อราคาของทำหรือไม่ Frank เขาก็ตอบตรง ๆ ว่าเขายอมรับว่ามันมีผลจริง ซึ่งเขาได้ข้อมูลมาจากเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ที่รายงานว่า การลดลงของราคาทองคำนั้น มีผลกระทบมาจากอะไรบ้าง
- ผลกระทบกว่า 40% มาจาก Higher Bond yields หรือการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล
- 36% มาจากการปรับตัวค่าเงินของ US Dollar
- และ 24% มาจาก Bitcoin
แปลง่าย ๆ ก็คือ การปรับตัวลดลงของราคาทองคำก็สืบเนื่องมาจากเม็ดเงินของนักลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดอื่น ๆ นั่นเอง
โอเคแหละว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านนี้ Bitcoin เติบโตได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าดูภาพรวม 10 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า ราคาและความผันผวนของ Bitcoin นั้นมีสูงมาก ใครที่ลงทุนในตัวมันแทบจะหัวใจวาย ท้องไส้ปั่นป่วนราวกับกำลังอยู่บนรถไฟเหาะ Roller Coaster นั่นมันไม่น่าจะใช่สิ่งที่เอาไว้ใช้กักเก็บมูลค่าหรือเอาไว้ Store of Value ได้เลย ในขณะที่การที่คุณถือทองคำเอาไว้นั้น นอกจากมันจะไม่เสื่อมค่าแล้ว มันยังไม่ต้องการดูแลอะไรมากมาย ไม่หวาดเสียว ไม่ใจหายตุ๊บ ๆ ต่อม ๆ ทำให้คุณนอนหลับไร้กังวลน้อยกว่าการถือ Bitcoin อย่างแน่นอน ยกเว้นเสียแต่ว่าทาง Michael Saylor จะมีเหตุผลที่ดีกว่านี้เพื่อที่จะโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจนำเงินไปลงทุน Bitcoin
และนี่ก็คือการอภิปรายของ Frank Giustra ในฝั่งของทองคำที่ว่าด้วยเรื่องของ Historical Performance หรือผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมา
โดยทาง Michael Saylor นั้น จะมีเวลาในการโต้แย้งอภิปรายนี้อยู่ 1 นาที
Michael Saylor เริ่มต้นด้วยการบอกว่า อย่างแรกเลยคุณไม่สามารถใช้ทองคำได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับปัจเจกบุคคล เพราะทองคำอาจถูกยึดเมื่อไหร่ก็ได้ และข้อด้อยของทองคำในช่วงสิบปีที่ผ่านมานั้น ที่จะต้องคอยวัดประสิทธิภาพเทียบกับค่าของ cpi inflation หรือค่าเงินเฟ้อของดีชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งจะต้องรอให้ค่า cpi inflation สูงขึ้นเสียก่อนถึงจะวัดค่าได้ แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ค่า cpi inflation มันไม่ได้พุ่งสูงขนาดนั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี Inflation เกิดขึ้น เพราะตลอดสิบปีที่ผ่านมา Inflation มันเกิดขึ้นกับตลาดของ Asset หรือในตลาดของสินทรัพย์ สืบเนื่องมาจากการเติบโตและการก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่เม็ดเงินส่วนใหญ่จะไหลเข้าไปสู่ ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรรัฐบาล หรือตลาดสินทรัพย์อื่น ๆ แต่ที่แน่ ๆ มันไม่ได้ไหลไปในตลาดทองคำ ดังนั้นทองคำจึงไม่ได้เป็นตัวเลือกที่จะป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจาก Inflation อีกต่อไป
ซึ่งแน่แหละว่า ทองคำมันเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่ย่ำแย่ แต่มันใช้งานได้ยากมากในระดับท้องถิ่น ในขณะที่ Bitcoin ใคร ๆ ก็สามารถใช้ได้ ขอแค่มีเพียงสมาร์ทโฟนแอนดรอยราคาพันกว่าบาทสักเครื่องนึง และสามารถใช้ซื้อ Bitcoin เริ่มต้นได้ด้วยเงินแค่เพียง $10 บน Exchange อย่างบน Binance หรืออย่างในไทยบน Bitkub สามารถเริ่มต้นซื้อ Bitcoin ได้ด้วยเงินเพียง 10 บาท
และธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน ยุโรป ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า Bitcoin ไม่ใช้ currency หรือสกุลเงิน แต่มันเป็น Digital Asset หรือสินทรัพย์ดิจิตอล ที่มันไม่ได้มีหน้าที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย แต่มันเป็นเป็นการลงทุนเพื่อซื้อและถือในระยะยาว
และนี่ก็คือการโต้แย้งจาก Michael Saylor ในยกที่ 3 ที่ว่าด้วยเรื่องของ Historical Performance หรือผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมาในการลงทุนระหว่าง Bitcoin กับ Gold แล้วพบกันใน Episode ที่ 5 นะครับ
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง
Resources