ยกนี้เป็นยกที่ 5 แล้วของการดีเบตระหว่าง Michael Saylor ในฝั่งของ Bitcoin และ Frank Giustra ในฝั่งของ Gold ว่าด้วยเรื่องของ Ownership Structure หรือโครงสร้างความเป็นเจ้าของ
- Episode 1 – บทเกริ่นนำ
- Episode 2 – ข้อดี ข้อเสีย
- Episode 3 – ความเสี่ยง
- Episode 4 – ผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมา
- Episode 5 – อุปทาน
โดยพิธีกรได้ถามกับ Michael Saylor ว่า สำหรับคนทั่วไปแล้วมักจะได้ยินเรื่องราวของความเสี่ยงในการถือครองบิตคอยน์ ว่าบางครั้งหากทำ private key หรือกุญแจในการปล็ดล็อคเข้าถึงเหรียญ bitcoin ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ก็จะทำให้สูญเสีย bitcoin ทั้งหมดในกระเป๋าไปได้ และเนื่องจาก bitcoin เป็นพื้นที่เปิดที่เหล่าบรรดา Hacker สามารถทำการ cyber attack เพื่อขโมยรหัสผ่านจากผู้ใช้งานได้ หรือถ้าหากทำ private key หรือก็คือทำรหัสผ่านหาย ก็จะไม่มีใครสามารถเข้าถึงเหรียญนั้นได้อีกเลยตลอดกาล
ทีนี้ Michael คุณช่วยบอกหน่อยว่า คุณจะพูดและแนะนำเรื่องนี้อย่างไรกับเพื่อนสนิทที่สุดของคุณ หากเขากำลังสนใจที่จะลงทุนใน bitcoin
โดยทาง Michael Saylor จะมีเวลาในการอภิปรายอยู่ 5 นาที
โดย Michael Saylor เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบบุคคลิกลักษณะของคนที่ลงทุนในทองคำกับบิตคอยน์นั้น ค่อนข้างมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
โดยทองคำมักจะทำให้ผู้คนที่ลงทุนในตัวมันนั้น มักมีแนวโน้มบุคคลิกที่ชอบยกตนข่มท่านอยู่เล็กน้อย และโดยทั่วไปก็เป็นคนธรรมดา ๆ ที่มักทำอะไรตาม ๆ กันในอดีตที่ผ่านมา ที่เขาบอกว่าทองคำนั้นดีก็ซื้อกันไป แต่จะมีเป็นส่วนน้อยที่จะลงทุนในทองคำด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ และพวกเขาส่วนใหญ่มักพึ่งพาและเชื่อถือค่า CPI หรือ ดัชนีราคาผู้บริโภค มากเกินไป และโดยทั่วไปก็มักจะชอบอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของรัฐบาล และนักลงทุนทองคำมักมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ลงทุนสไตล์ชอบกระจายความเสี่ยง และนอกจากนั้นบ้างก็เป็นนักเทรด นักเก็งกำไร บ้างก็เป็นนักเสี่ยงดวง
ในขณะที่ในฝั่งของ bitcoin คนที่เป็นสาย holder หรือเป็นสายซื้อแล้วถือยาวนั้น จะมีแนวโน้มเป็น bitcoin maximalist คือยึดถือยึดมั่นเชื่อมั่นใน bitcoin เป็นอย่างยิ่ง เป็นพวกที่เชื่อมั่นในเทคโนโลยีอย่าง blockchain และมักเป็นผู้ที่เชื่อว่าเทคโนโลยีจะมาช่วยยกระดับความก้าวหน้าทางการเงินของมนุษยชาติให้ดียิ่งขึ้น และพวกเขาไม่ใช่สายเทรดเดอร์ หรือพวกซื้อ ๆ ขาย ๆ เพื่อเก็งกำไร
ต่อมา Michael Saylor ก็ได้ยกตัวอย่างคำพูดและคำแนะนำจากนักลงทุนทองคำชื่อดังในวงการ ก็มักจะแนะนำว่า ในพอร์ทการลงทุนของคุณ คุณควรจัดสรรไปลงทุนในทองคำเป็นมูลค่าสัก 10% ของพอร์ท
คำถามที่ Michael Saylor ก็คือ ก็ถ้าทองคำมันดีจริง ทำไมคนถึงเอาทองคำเข้าพอร์ทกันแค่คนละ 10% กันล่ะ?
และถ้าพูดถึงในส่วนของบริษัทเหมืองขุดทองคำ ถ้าพวกเขาเชื่อจริง ๆ ว่า ทองคำราคามันจะขึ้นไปสูงอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็คงจะขอยื่นกู้เงินจำนวนหลายพันล้านดอลล่าร์ฯ ที่มีดอกเบี้ยเงินกู้เพียงแค่ 3% ต่อปี เพื่อไปซื้อทองคำมาตุนไว้ในคงคลังแล้วรอให้มันราคาขึ้นมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แต่กลับเป็นว่า พวกเขาไม่มีทองคำเอาไว้ใน balance sheet ของบริษัทซะด้วยซ้ำ เพราะอะไร?
เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นว่าราคาของทองคำมันจะขึ้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังไงล่ะ ดังนั้นสิ่งที่บริษัทเหมืองขุดจะทำก็คือ พวกเขาจะรีบกู้เงินเพื่อมาขุดทองคำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่วงที่ราคาของทองคำยังสูงอยู่ เพื่อเทขายให้ได้กำไรมากที่สุด และใช้หนี้ที่กู้มาเพื่อเพิ่มกำลังขุดให้หมดเร็วที่สุด ก่อนที่ราคาของมันจะร่วงลง
และหลังจากนั้นก็นำผลกำไรส่วนต่างที่ได้จากขายการทองคำที่หักลบกลบหนี้กับที่กู้มาขุดเหมืองแล้วให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท สุดท้ายพวกเขาก็แค่กินส่วนต่างจากการขายทองคำ ไม่ได้เน้นถือทองคำกันสักหน่อย และแน่นอนว่า เมื่อเหมืองขุด ขุดทองคำออกมาเยอะ ๆ มันก็จะกลายเป็นกลไกในการทำลายตลาดทองคำให้ราคาตกไปโดยปริยาย
โดยก่อนการดีเบต ทาง Michael Saylor ได้ลองทำโพลสำรวจกับเหล่าบรรดา bitcoiner หรือเหล่าบรรดาคนที่ลงทุนในบิตคอยน์นั้นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง
- 75% ของ bitcoiners ยินดีที่จะบอกต่อและชวนคนมาลงทุนใน bitcoin เพิ่มอย่างน้อย 3 คนภายในปีนี้
- 43% ยินดีที่บอกต่อและชวนคนมาลงทุนใน bitcoin เพิ่มอย่างน้อย 11 คนหรือมากกว่านั้น
- กว่า 84% กล้าที่เอาบ้านของตนเองไปจำนองเพื่อมาซื้อ bitcoin เพราะพวกเขาเชื่อว่าอัตราการเติบโตของ bitcoin จะสูงกว่าดอกเบี้ยที่เอาบ้านไปจำนอง ในขณะที่ gold miners หรือนักขุดทองก็ไม่กล้าทำ (ก็เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าทองคำมันจะขึ้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไง เดี๋ยวเจ๊ง) และเช่นกันตัวของ Michael Saylor เองเขาก็เชื่อมั่นว่า bitcoin มันมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ที่นอกจากเขาจะเอาเงินสดทั้งหมดของบริษัท MicroStrategy มาซื้อ bitcoin ทั้งหมดแล้ว เขายังกล้ากู้เงินหลายพันล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อมาซื้อ bitcoin นอกจากนั้นยังไม่พอ เขาก็เอาหุ้นบริษัทไปขายต่อสาธารณะชนเพื่อระดมเงินมาลงทุนใน bitcoin เพิ่มอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
- ต่อมา bitcoiners กว่า 51% นั้น พวกเขากล้าใส่ bitcoin ลงในพอร์ทการลงทุนเกินครึ่งหนึ่งของพอร์ททั้งหมดที่พวกเขาลงทุนอยู่ ในขณะที่นักลงทุนทองคำตัวยงกล้าใส่แค่ 10% ของพอร์ทเท่านั้น(ไหนว่าเชื่อมั่นในทองคำไง ไหงใส่แค่ 10%)
- แต่เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง เขาเลยทำโพลว่า มีใครบ้างที่ถือทองคำไม่เกิน 10% ของพอร์ท ปรากฎว่ามีกว่า 84% ที่ถือทองคำในพอร์ทน้อยกว่า 10%
จะสังเกตได้ว่าเหล่าบรรดา Bitcoin Maximalist นั้นมองว่า bitcoin มันคือเงิน มันคือสิ่งที่สามารถรักษามูลค่าความมั่งคั่งได้ พวกเขามักมองโลกในแง่ดี ที่ว่าราคาของมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อราคาของ bitcoin มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นหมายถึงพวกเขารู้สึกได้ถึงการมีเสรีภาพทางการเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาเชื่อมั่นว่าในอนาคตจะเกิด bitcoin standard ที่ทั่วโลกจะใช้ bitcoin เป็นศูนย์กลางที่จะใช้ระบบเศรษฐกิจใหม่ ๆ อีกมากมาย และมันก็เกิดไวรัลไปทั่วโลก ทุกคนต่างยินดีพร้อมใจกันเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ที่ใส่ตาปล่อยแสงเลเซอร์ที่รูปโปรไฟล์ตัวเอง และเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงให้โลกนี้ดีขึ้น พวกเขามีความหลงใหลในการลงทุนใน bitcoin
คำถามสุดท้ายก่อนจบอภิปรายของ Michael Saylor ที่ฝากถามต่อก็คือ ก็ถ้าการลงทุนในทองคำมันดีจริง ไหงเหล่าบรรดานักลงทุนทองคำตัวยงจึงใส่ทองคำเข้าไปในพอร์ทเพียงแค่ 10% กันล่ะ แล้วอีก 90% เอาไปลงทุนอะไรกัน?
แล้วก็จบกันไปสำหรับการอภิปรายจาก Michael Saylor ในฝั่งของ bitcoin ที่ว่าด้วยเรื่องของ Ownership Structure หรือโครงสร้างของความเป็นเจ้าของในบิตคอยน์
โดยทาง Frank Giustra ก็จะมีเวลาในการโต้แย้งอยู่ 1 นาที
โดยทาง Frank ได้บอกว่าทาง Michael Saylor กำลังสับสนว่าหน้าที่ของทองคำคือ Store of Value คือการสะสมความมั่งคั่ง เหตุผลที่ใส่ทองคำไว้ในพอร์ทเพียงแค่ 10%-20% นั้นคือการป้องกันความเสี่ยง มันมีไว้เพื่อเป็นหลักประกัน เพราะมันมีค่า correlation หรือค่าความเกี่ยวข้องกับ Asset ตัวอื่น ๆ ที่น้อย มันทำให้ทองคำไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่นัก หากตลาดอื่นกำลังเป็นขาลง
ส่วนที่ Michael บอกว่า จงเอาเงินทั้งหมดที่มีอยู่ไปลง Bitcoin ให้หมด โดยไม่ต้องสนใจ Asset อย่างอื่นเลย ทาง Frank บอกว่า มันเป็นการลงทุนที่น่าตลกสิ้นดี เพราะคนส่วนใหญ่ที่เจ๊งก็เพราะไม่กระจายความเสี่ยงแต่ทุ่มลงทุนไปกับอย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนบริษัทเหมืองขุดแร่ทองคำ สาเหตุที่พวกเขาไม่ถือทองคำนั่นก็เพราะ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทมหาชน และหน้าที่ของบริษัทมหาชนก็คือการทำกำไรให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้แบ่งปันผลที่ได้จากกำไรให้กับเหล่าบรรดาผู้ที่ถือหุ้นอยู่ ส่วนเงินปันผลของผู้ถือหุ้นแต่ละคนนั้น จะลงทุนในทองคำเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
และที่คุณบอกว่าเหล่า bitcoiners ยินดีที่จะหาคนและแนะนำคนอื่น ๆ เข้ามาลงทุนใน bitcoin นั้น ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมืองพวกแชร์ลูกโซ่ยังไงยังงั้น ที่เกณฑ์คนมาสมัครต่อกันเป็นทอด ๆ ยิ่งทำให้เขาไม่อยากลงทุนใน bitcoin เข้าไปใหญ่
ส่วนที่บอกว่าเหล่าบรรดา bitcoiners มีความรู้สึกว่าได้รับเสรีภายในการใช้เงินของตนเองอย่างอิสระนั้น ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องในเทพนิยาย เพราะถ้าดูความเป็นจริงบนโลกใบนี้ เราทุกคนต่างอยู่อาศัยกันภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของแต่ละประเทศ ไม่มีใครอยากเป็นคนนอกกฎหมายกันสักหน่อย ดังนั้นสิ่งที่ Michael บอกมานั้น มันเป็นแค่เรื่องในจินตนาการที่ใช้ไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
และนี่ก็คือคำโต้แย้งจาก Frank Giustra
โดยทางพิธีกรก็ได้ถาม Frank ต่อทันทีว่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ที่คุณกล่าวพาดพิงความเป็นเจ้าของ bitcoin ว่ามันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก งั้นคุณช่วยบอกเราหน่อยว่าเพราะเหตุใด เมื่อเทียบกับความเป็นเจ้าของในทองคำ
โดยทาง Frank Giustra ก็มีเวลาอภิปรายอยู่ 5 นาที
โดย Frank เริ่มต้นด้วยการบอกว่า เขายังไม่มั่นใจมากพอว่าตลาดของ bitcoin มันเป็นตลาดที่แท้จริงหรือไม่หรือมันเป็นแค่การปั่นราคา เพราะจากที่เขาเคยได้ยินมาว่า ในตลาดของ bitcoin จะมีศัพท์คำหนึ่งที่เรียกว่า Whale หรือคนที่ถือครอง bitcoin อยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ที่สามารถมีอิทธิพลทำให้ราคาของ bitcoin นั้นขึ้นหรือลงอย่างรุนแรงได้ ซึ่งสิ่งที่เขาได้ยินมาก็คือ มีคนจำนวนแค่ 2% เท่านั้น ที่ถือครอง bitcoin เป็นจำนวน 95% ของทั้งตลาด หรือจะพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ หน่อยก็คือ มีจำนวนคนประมาณพันกว่าคนที่ครองตลาด bitcoin อยู่กว่า 40% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ซึ่งถ้าข้อมูลที่เขาได้ยินมานี้ผิดพลาด ก็ช่วยปรับแก้ให้เขาหน่อยละกัน
ซึ่งถ้าหากข้อมูลเหล่านี้เป็นจริง มันทำให้เขานึกถึงตลาดของ penny stock ที่ในช่วงเริ่มต้นแรก ๆ จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาซื้อหุ้นจำนวนมาก ๆ เก็บเอาไว้ตอนมันราคาถูก ๆ อยู่ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ทำการตลาดอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ผู้คนแห่เข้ามาลงทุนจนราคาหุ้นดีดตัวสูงขึ้นแบบบ้าบอแล้วสุดท้ายกลุ่มคนแรก ๆ ก็ทำการเทขายเพื่อทำกำไรอย่างมหาศาล จนราคาหุ้นตกลงแบบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เหล่านายทุนกลุ่มแรกหลอกกินเงินจากแมงเม่าทั้งหลายซะมากกว่า ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้น มันก็เป็นอะไรที่น่ากลัวเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะในปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดที่ออกมากำกับดูแลมันอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ Asset อื่น ๆ มีหน่วยงานคอยควบคุมและดูแลเงินของนักลงทุน
ต่อมาถ้าหากบอกว่า การที่ตลาด Wall Street จะกระโดดเข้ามาลงทุนใน bitcoin นั้นดูน่าเชื่อถือ แต่ Frank บอกว่า พวก Wall Street เห็นอะไรที่มันทำเงินได้ พวกเขาก็กระโดดเข้าใส่หมดแหละ มันไม่ได้เกี่ยวว่าสิ่งนั้นจะเป็นอย่างไร อะไรที่ทำเงินให้พวกเขาได้ก็เอาหมด และพอตลาดไหนเกิดฟองสบู่แตก พวกเขาก็แค่กระโดดไปตลาดอื่นกันแค่นั้น
ส่วนพวก Hedge fund หรือกองทุนป้องกันความเสี่ยง พวกเขามีหน้าคือการลงทุนแบบใดที่กำลังมีโมเมนตัมที่ดี ซึ่งโอเคแหละว่า bitcoin อยู่ในช่วงที่กำลังมีโมเมนตัมที่ดี พวกเขาก็แบ่งเงินมาลงทุน และแน่นอนว่าหาก bitcoin มันดูท่าไม่ดี พวกเขาก็ย้ายเงินออก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คนที่ลงทุนใน bitcoin เหล่านั้น ก็ไม่ได้เป็นแบบ Michael Saylor คือซื้อแล้วถือไปตลอดชีวิตโดยไม่ขาย
ส่วนแอพชื่อดังอย่าง Robinhood ที่เปิดให้รายย่อยซื้อขาย bitcoin หลายล้านคนนั้น เขาก็เห็นมีแต่พวกอยาก get rich quick ที่อยากรวยเร็วกันทั้งนั้น และแน่นอนว่ามีคนที่เจ๊งยับเป็นสัดส่วนที่เยอะกว่าอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้จักการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในตลาด crypto
และนี่ก็คือการอภิปรายของ Frank โดยทาง Michael Saylor จะมีเวลาในการโต้แย้งอยู่ 1 นาที
โดย Michael บอกว่า ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า bitcoin คือตลาดเก็งกำไร เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าเทคโนโลยีทำงานอย่างไร เพราะถ้าหากรู้เทคโนโลยี ก็จะพบว่ามันเหนือยิ่งกว่าเรื่องของการเก็งกำไร หรือเพียงแค่มันอาจเป็นแค่แชร์ลูกโซ่ตัวหนึ่งที่รอวันล่มสลาย
แต่ในขณะที่เทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จนั้น มันคือไอเดียที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อเทคโนโลยีมันดีกว่า ผู้ใช้งานก็จะเข้ามาใช้แล้วก็บอกต่อกับเพื่อน ๆ ของพวกเขา และมันจะไวเป็นไฟลามทุ่งเฉกเช่นกรณีของ uber, youtube, netflix, twitter, facebook ที่เกิดจากการที่ผู้คนบอกต่อ ๆ กันว่า มันคือไอเดียที่ดีกว่าแค่นั้นเอง
ส่วนที่ Frank บอกว่า มีกลุ่มคนอยู่ 2% ที่เป็นผู้ควบคุมตลาดเกือบทั้งหมดนั้น ทาง Michael Saylor เขามองว่า มันไม่เป็นความจริง เพราะถ้าหากดูจากกระเป๋าดิจิตอลบน blockchain แล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่กันบนกระดานเทรดหรือบน exchange อย่าง binance ที่มีจำนวนบัญชีผู้ใช้งานกว่า 56 ล้านบัญชี ทำให้มองเห็นว่าเป็นผู้กุมตลาด แต่นั่นน่าจะเป็นความเข้าใจผิด
ส่วนผู้คนนับล้านที่กำลังถือเงินสดเอาไว้ในมือนั้น นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่มากพอแล้ว ดังคำกล่าวที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง แต่จะเสี่ยงกว่าหากไม่ยอมลงทุนอะไรเลย”
และก็จบยกที่ 5 กันไปในเรื่องของ Ownership Structure ที่ว่าด้วยเรื่องของโครงสร้างของความเป็นเจ้าของใน bitcoin และ gold แล้วพบกันใน episode ต่อไปกันนะครับ
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่ content แนะนำในการลงทุนใด ๆ เป็นเพียงข้อมูลฐานทั่วไปเท่านั้น โดยนักลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเองก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ ด้วยตัวของท่านเอง
Resources