Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Artificial intelligence

DeepSeek R1 AI จีนที่สั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยีโลก | Blue O’Clock Podcast EP. 79

DeepSeek R1 ทำน้อย แต่ได้มาก จีนเปลี่ยนโลก AI ด้วยต้นทุนที่ Silicon Valley ต้องสะเทือน

บทนำ: วันที่โลกต้องหันมามองจีน

ในวันที่ 20 มกราคม 2025 – นอกจากจะเป็นวันที่ Donald Trump กลับมารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 อีกครั้ง แล้วโลกยังได้เห็นเหตุการณ์สำคัญอีกหนึ่งเหตุการณ์ นั่นคือการเปิดตัว AI ที่ชื่อว่า DeepSeek R1 จากประเทศจีนอีกด้วย ซึ่งดูก็รู้ว่า เป็นการจงใจเปิดตัวแบบเปิดหน้าชนของประเทศจีนที่มีต่อสหรัฐอเมริกา

ซึ่งเจ้า DeepSeek R1 มันไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลก เพราะในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI บริษัทแม่ของ AI chatGPT ต้องใช้เงินทุนถึง 580 ล้านดอลลาร์ฯ เพื่อพัฒนาโมเดล AI ใหม่ ในขณะที่จีนนั้นกลับสร้าง DeepSeek R1 ด้วยเงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ฯ หรือคิดเป็น 1% ของต้นทุนที่บริษัทใน Silicon Valley ใช้เท่านั้นเอง

และที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นก็คือ DeepSeek R1 สามารถทำงานได้ดีเทียบเท่ากับโมเดล AI ชั้นนำของโลก ที่คิดค่าบริการรายเดือนกว่า $200 แต่ DeepSeek R1 นั้น เปิดให้ใช้ฟรี!

นี่คือหนึ่งในจุดพลิกเกมครั้งใหญ่ เพราะ DeepSeek R1 เลือกที่จะเป็น Open Source ซึ่งหมายความว่าใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึง ใช้งาน หรือแม้แต่ปรับปรุงโมเดลได้เอง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นี่ไม่เพียงทำให้บริษัทเล็ก ๆ และสตาร์ทอัพที่มีงบน้อยสามารถใช้ AI ระดับสูงได้เท่านั้น แต่ยังสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อบริษัท AI ยักษ์ใหญ่ที่พึ่งพารายได้จากค่าบริการ

การเปิดตัวในลักษณะนี้เหมือนการประกาศให้โลกทราบว่า AI ระดับสูงไม่ใช่แค่สำหรับคนที่มีเงินมากอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเครื่องมือที่ “ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้” โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องต้นทุน!

สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป แต่จีนตอบโต้ด้วย DeepSeek R1

us to curb global chip shipment

คุณอาจเคยได้ยินว่าสหรัฐฯ พยายามจำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะ ชิปประมวลผลสำหรับ AI ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในยุคนี้

ตั้งแต่ปี 2022 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการควบคุม การส่งออกชิปประสิทธิภาพสูง ไปยังจีน โดยมีการแบ่งระดับประเทศที่ได้รับอนุญาตเป็น 3 กลุ่ม:

  • Tier 1: ประเทศที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรป ซึ่งยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงได้เต็มที่
  • Tier 2: ประเทศที่ได้รับข้อจำกัดบางส่วน เช่น อินเดียและเม็กซิโก แม้จะเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์เท่า Tier 1
  • Tier 3: ประเทศที่ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน ซึ่งไม่สามารถนำเข้าชิปที่ทันสมัยจากบริษัทอเมริกันได้

แต่แทนที่จีนจะยอมแพ้ให้กับมาตรการเหล่านี้ พวกเขากลับหาทางออกด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ซึ่งนำไปสู่การเปิดตัว DeepSeek R1

นี่คือสิ่งที่จีนต้องการจะบอกโลกว่า “ถึงคุณจะกีดกันเรา แต่เราก็จะหาทางสร้างของเราเอง!” และ DeepSeek R1 ก็คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ของการตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยนวัตกรรม

DeepSeek R1 คืออะไร? ทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญ?

DeepSeek R1 เป็นเหมือน “สมองกล” ที่ฉลาดมาก ซึ่งมันถูกพัฒนาขึ้นในประเทศจีน มันทำหน้าที่เรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เช่นเดียวกับ AI ที่เรารู้จักกัน อย่างเจ้า ChatGPT

แต่สิ่งที่ทำให้ DeepSeek R1 แตกต่างก็คือ มันฉลาดมากในราคาที่ถูกมาก ในขณะที่ AI เจ้าอื่น ๆ ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทรงพลังจำนวนมากและใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมหาศาล แต่เจ้า DeepSeek R1 ใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่าแต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน

ลองนึกภาพแบบนี้ว่า:

  • ChatGPT ต้องใช้คอมพิวเตอร์ถึง 50,000 เครื่อง และพลังงานเทียบเท่ากับไฟฟ้าที่ใช้ในเมืองขนาดเล็กย่อม ๆ
  • ในขณะที่เจ้า DeepSeek R1 นั้นใช้คอมพิวเตอร์แค่ 10,000 เครื่อง และใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 85% เมื่อเทียบกับ ChatGPT จากอเมริกา

สูตรลับของ DeepSeek R1: ทำไมทำน้อยแต่ได้มาก

การที่ DeepSeek R1 สามารถทำได้ดีขนาดนี้ เพราะจีนใช้วิธีการพัฒนาที่ไม่เหมือนใคร ที่ทำให้มันประหยัดต้นทุนและทรงพลัง:

  1. ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้ว
    เพราะแทนที่จะเริ่มสร้างทุกอย่างใหม่หมดเริ่มต้นจากศูนย์ แต่พี่จีนเลือกใช้วิธี “การถามคำถาม” (Synthetic Data Harvesting) กับ AI ตัวอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วในท้องตลาด เช่น ChatGPT แล้วเก็บข้อมูลจากคำตอบเหล่านั้นมาใช้ต่อ เปรียบเหมือนกับการไปอ่านหนังสือในห้องสมุด แทนที่จะเขียนหนังสือทุกเล่มใหม่ทั้งหมด
  1. แบ่งงานให้คนเล็ก ๆ ทำ
    DeepSeek R1 ใช้เทคนิค “สมองแบ่งงาน” (Decentralized Mixture-of-Experts หรือ MoE) หรือการแยกงานออกเป็นส่วนเล็ก ๆ โดยมี AI ย่อย ๆ หลายตัวทำหน้าที่เฉพาะทาง เช่น บางตัวถนัดแก้โจทย์คณิตศาสตร์ บางตัวถนัดวิเคราะห์ภาษา ด้วยวิธีนี้ งานทั้งหมดจะถูกกระจายให้ AI ทำพร้อมกัน ลดภาระการประมวลผลของระบบหลัก ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้คอมพิวเตอร์ทรงพลัง และทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นในต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิมอย่างมาก
  2. ใช้ทีมเล็ก ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
    ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ต้องใช้วิศวกรหลายพันคน แต่จีนกลับใช้ทีมงานราว ๆ 140 คน แต่สามารถพัฒนา AI ระดับโลกได้สำเร็จ และแน่นอนว่าทำให้ประหยัดค่าจ้างวิศวกรได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย

ผลกระทบที่ทำให้โลกสะเทือน

หลังจากการเปิดตัว DeepSeek R1 ตลาดหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ส่งผลให้:

  • Nvidia: หุ้นของผู้ผลิตชิป AI ร่วงลงถึง 17% ภายในเวลา 3 วัน
  • Alphabet (Google): หุ้นลดลง 3.4% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันในตลาด AI
  • Microsoft: หุ้นลดลง 2.3% ที่เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ใน OpenAI บริษัทแม่ของ chatGPT
  • Broadcom: บริษัทผู้ผลิตชิปรายสำคัญของสหรัฐฯ ก็เผชิญผลกระทบ หุ้นลดลงกว่า 18%

ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากการมาของเจ้า DeepSeek R1 นั้น ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่กำลังเปลี่ยนกฎของเกมในโลกธุรกิจอีกด้วย

DeepSeek R1: “Sputnik Moment” ของยุค AI

ก่อนหน้านี้ Eric Schmidt อดีต CEO ของ Google และผู้มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรม AI เคยให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ว่า “สหรัฐฯ นำหน้าจีนในด้าน AI อยู่ 2-3 ปี ซึ่งถือเป็นเวลาที่ยาวนานในโลกเทคโนโลยี”

แต่เพียง 6 เดือนต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน 2024 เขากลับเปลี่ยนมุมมอง โดยกล่าวสุนทรพจน์ที่ Harvard University ว่า “จีนกำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว และข้อจำกัดที่สหรัฐฯ วางไว้เพื่อสกัดจีนอาจไม่ได้ผลอย่างที่คิด” พร้อมทั้งยอมรับว่า “ผมเคยคิดว่าการคว่ำบาตรชิปจะทำให้จีนชะลอตัวลง… แต่มันกลับทำให้จีนหาทางออกใหม่ได้เร็วขึ้น”

ซึ่งการมาของ DeepSeek R1 ได้ถูกเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ “Sputnik Moment” ในช่วงสงครามเย็น ที่เมื่อสหภาพโซเวียตส่งดาวเทียม Sputnik ขึ้นสู่อวกาศเป็นครั้งแรก ทำให้สหรัฐฯ ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโต้

ในยุคนี้ จีนเองก็กำลังสร้าง “Sputnik Moment” ของตัวเองผ่าน DeepSeek R1 ที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว รวมถึง บทบาททางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ที่ไม่สามารถมองข้ามได้ โดยในปี 2025 ประเทศจีนครองสัดส่วน 27% ของการผลิตอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปี 2018 และตามการคาดการณ์ของ UN จีนอาจครองสัดส่วนถึง 45% ภายในปี 2030

ความสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้ช่วยส่งเสริมให้จีนมีทรัพยากรและความสามารถในการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง DeepSeek R1 เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังใช้พลังของอุตสาหกรรมมหาศาลเพื่อขยายอิทธิพลในโลกเทคโนโลยีอย่างไร

โลกใหม่ที่ AI เป็นของทุกคน

การที่ DeepSeek R1 ใช้เงินและทรัพยากรน้อยกว่า แต่สามารถสร้าง AI ระดับโลกได้นั้น มันหมายความว่า ต่อจากนี้ AI จะไม่ใช่ของเล่นของคนรวยหรือเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเดียวอีกต่อไป

เพราะ:

  • สตาร์ทอัพในอินเดีย ใช้ AI ที่มีงบน้อยในการพัฒนาระบบวิเคราะห์การขาย
  • ห้องทดลองในบราซิล ใช้ AI เพื่อวินิจฉัยโรค
  • นักเรียนในอิหร่าน ใช้ AI ตรวจสอบการทุจริต

การมาของเจ้า DeepSeek R1 ได้เปิดโอกาสให้คนตัวเล็ก ๆ และประเทศที่กำลังพัฒนาได้มีส่วนในโลกของ AI มากยิ่งขึ้น

คำถามสำคัญก็คือ: AI จะเปลี่ยนอนาคตของเรายังไงบ้าง?

เพราะแม้ว่าการมาของ DeepSeek R1 จะนำโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาสู่โลกของเรา แต่ก็ยังคงมีคำถามสำคัญที่ต้องหาคำตอบ:

  1. จะควบคุมมันยังไง?
    เพราะถ้า AI อย่าง DeepSeek ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การแฮ็กข้อมูลหรือการทำสงครามไซเบอร์ จะเกิดอะไรขึ้น?
  2. ใครจะได้ประโยชน์?
    AI ที่เปิดให้ทุกคนใช้ได้ฟรีนั้น อาจทำให้บริษัทใหญ่เสียเปรียบ แต่ก็อาจถูกใช้ในทางที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำได้เช่นกันหากประเทศใดหรือองค์กรใดไม่มีข้อมูลขนาดใหญ่และทีมผู้เชี่ยวชาญจะพัฒนามัน
  3. มนุษย์จะปรับตัวยังไง?
    เมื่อ AI เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนจะต้องเรียนรู้วิธีการใช้ AI เพื่อไม่ให้ตนเองนั้นถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

บทสรุป: DeepSeek R1 กับยุคใหม่ของ AI

DeepSeek R1 ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่มันคือ “เครื่องหมายแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของโลก AI

มันแสดงให้เห็นว่า เงินไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง ในโลกเทคโนโลยี แต่การคิดอย่างชาญฉลาดและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพต่างหากที่สำคัญ

และนี่คือคำถามที่ทุกคนควรถามตัวเอง:

“ถ้า AI ไม่ใช่ของเล่นของคนรวยอีกต่อไป… คุณจะใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณยังไง?”

Resources

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *