Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

THE CEO STORY

ประวัติ Elon Musk ต้นแบบของ Iron Man ผู้มีความฝันที่จะรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยการไปตั้งรกรากที่ดาวอังคาร

ในศตวรรษที่ 21 นี้ หากกล่าวถึงบุคคลที่มีนวัตกรรมระดับโลกชื่อของ Elon Musk นั้นจะต้องติดหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความพยายามในการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดของวงการรถยนต์ที่เปลี่ยนจากเติมน้ำมันมาใช้พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% หรือจะเป็นการสร้าง SolarCity ที่เป็นโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จนไปถึงการพยายามที่จะสร้างจรวดเพื่อพามนุษย์ไปตั้งรกรากยังดาวอังคารอันไกลโพ้น ถึงขนาดที่ผู้กำกับอย่าง Jon Favreau ซึ่งเป็นผู้กำกับในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2 ประกาศออกสู่สาธารณะชนว่า Tony Stark หรือ Iron Man นั้น มีต้นแบบมาจาก Elon Musk แถมยังมีฉากในภาพยนตร์ที่ทั้งสองคนได้มาเจอกันจริง ๆ อีกด้วย

ประวัติ Elon Reeve Musk หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Elon Musk นั้น เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1971 ประเทศแอฟริกาใต้ ที่เมือง Pretoria, Transvaal คุณพ่อของเขาคือ Errol Musk ซึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้ที่มีสัญชาติอังกฤษ โดยทำงานเป็นวิศกร ส่วนคุณแม่ของเขาคือ Maye Musk เป็นลูกครึ่งแคนาเดียน-อังกฤษ เป็นนางแบบและผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร มีพี่น้องด้วยกันรวม 3 คน โดย Elon Musk เป็นพี่คนโตสุด มีน้องชายคือ Kimbal Musk และน้องสาวคือ Tosca Musk

Elon Musk ได้เติบโตและอยู่อาศัยในแอฟริกาใต้ตั้งแต่เกิดจนมาถึงตอนที่เขาอายุได้ 9 ขวบ เขาก็ได้รับของขวัญเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในชีวิตนั่นก็คือ Commodore VIC-20 และตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มให้ความสนใจในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์และเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง และตอนที่เขาอายุได้ 12 ขวบ ก็สามารถเขียนเกมขึ้นมาเล่นเองที่ชื่อ Blaster ซึ่งสามารถขายได้ในราคา 500 เหรียญฯ (ราว ๆ 15,500 บาท)

จุดเปลี่ยนแรกของ Elon Musk ในการเริ่มต้นเส้นทางชีวิตของตนเองก็คือ เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 17 ปี เขาก็ตัดสินใจออกจากบ้านโดยบอกกับตัวเองว่า ฉันจะต้องยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง ไม่ใช่เพราะเงินจากพ่อแม่ของเขา ซึ่งในตอนแรกเขาตั้งใจที่จะอพยพไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปในทันที

โดยในปี 1989 Elon Musk ได้ย้ายที่อยู่อาศัยไปที่ประเทศ Canada ที่เมือง Montreal โดยไปอยู่อาศัยกับญาติของแม่ของเขา และได้สัญชาติแคนาดาในเวลาต่อมา ซึ่งในช่วงปีแรกที่เขาอยู่ที่นี่ ก็รับจ็อบเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแลกกับค่าแรงอันน้อยนิด จนกระทั่งเขาอายุได้ 19 ปี ก็ได้เข้าศึกษาที่ Queens University ในเมือง Kingston, Ontario และได้พบกับว่าที่ภรรยาคนแรกของเขาก็คือ Jennifer Justine Wilson โดยต่อมาได้แต่งงานกันในปี 2000 และได้ให้กำเนิดบุตรชายจำนวน 5 คน ก็คือ Damian, Griffin, Xavier, Saxon และ Kai แต่หลังจากอยู่กินกันได้ 8 ปี ทั้งคู่ก็เลิกรากันไปในปี 2008

ต่อมาในปี 2010 และ Elon Musk ก็ได้เข้าพิธีสมรสใหม่กับดาราหญิงที่ชื่อ Talulah Riley โดยทั้งคู่ได้หย่าร้างกันในปี 2012 แต่กลับมาแต่งงานกันใหม่อีกครั้งในปี 2013 และในที่สุดก็หย่าร้างอีกครั้งในปี 2016 (เป็นคนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในเรื่องของชีวิตคู่เอาซะเลย)

กลับเข้าเรื่องกันต่อ…

หลังจากที่ Elon Musk ได้เข้าเรียนที่ Ontorio เป็นเวลาสองปี ในที่สุด เขาก็มีโอกาสได้ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา หลังจากได้รับทุนการศึกษาจาก University of Pennsylvania โดยเขาได้รับปริญญาในสาขาวิทยาศาสตร์บัณฑิตสาขาวิชาฟิสิกส์(Bachelor of Science degree in Physics Bachelor) และในปีถัดมาก็ได้เข้าไปเรียนต่อที่ Wharton School of Business และได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตด้านเศรษศาสตร์(Bachelor of Science degree in Economics) อีกหนึ่งใบ ซึ่งเรียกได้ว่าเรียนมาสายตรงกับเป้าหมายของเขาตั้งแต่แรกเลย

ทุกครั้งที่ Elon Musk เริ่มสับสนและรู้สึกหลงทาง เขาจะนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อว่า The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy ที่เขียนโดย Douglas Adams ซึ่งได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับ Elon Musk เกี่ยวกับเรื่องของอวกาศ โดยเขาได้ตั้งเป้าว่า สักวันหนึ่งฉันจะต้องคงดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติด้วยการไปตั้งอนานิคมใหม่ที่ดาวอังคารให้จงได้ (นี่แหละที่เขาเรียกว่า หนังสือเปลี่ยนชีวิต)

เรียกได้ว่า เขามีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่วัยเด็กกันเลยทีเดียว และสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้เขาสามารถไปถึงฝั่งฝันได้ก็คือ “เงิน” โดยเขาคิดว่า สิ่งที่จะสามารถสร้างเม็ดเงินและผลักดันความฝันของเขาให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ก็คือ เขาจะต้องกระโดดเข้าสู่โลกธุรกิจในอุสาหกรรมอินเตอร์เน็ต, พลังงานธรรมชาติและยานอวกาศ

โดยในปี 1995 Elon Musk ได้เข้าศึกษาที่ Stanford University แต่ก็เรียนไปได้แค่ 2 วัน เขาก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วไปเริ่มต้นธุรกิจกับน้องชายของเขา Kimbal Musk เพื่อเริ่มต้นต้นธุรกิจอินเตอร์เน็ตที่ชื่อว่า Zip2 ซึ่งเป็นบริษัทที่รวบรวมข้อมูลของหนังสือพิมพ์เจ้าต่าง ๆ (คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลือง)อย่าง The New York Times และ Chicago Tribune โดยพวกเขาได้รับเงินทุนจำนวนก้อนหนึ่งจาก Angel Investor หรือนักลงทุนอิสระ โดยเขาได้อาศัยหลับนอนที่เดียวกันกับที่เขาเช่าใช้เป็นออฟฟิศ และในเวลาที่ต้องอาบน้ำ เขาก็ต้องเดินไปสนามกีฬาที่อยู่ใกล้ ๆ กัน

จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1999 บริษัท AltaVista(ซึ่งในปัจจุบันได้ถูก Compaq ซื้อกิจการไป) ซึ่งเป็น Serch Engine ยักษ์ใหญ่ ณ ขณะนั้น ได้ทำการติดต่อและเข้าซื้อกิจการของ Zip2 โดยจ่ายด้วยเงินสดจำนวน 307 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 9,500 ล้านบาท) และอยู่ในรูปของหุ้นอีก 34 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 1,000 ล้านบาท) รวม ๆ แล้ว Zip2 สามารถทำเงินได้กว่าหมื่นล้านบาท ซึ่ง Elon Musk มีหุ้นส่วนในบริษัทอยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ เขาจึงได้รับส่วนแบ่งประมาณ 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 680 ล้านบาท โดยเขาได้ใช้เงินเกือบทั้งหมดไปกับการซื้อคอนโดหรูขนาด 1,800 ตารางฟุตพร้อมกับรีโนเวทใหม่ทั้งหมด, ซื้อรถซุปเปอร์คาร์ Mclaren F1 และเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Dassault 900 ขนาด 12 ที่นั่ง อีกด้วย

ต่อมาในเดือนมีนาคม ปี 1999 นี้นี่เอง เขาก็ได้เริ่มต้นธุรกิจที่ชื่อว่า X.com ซึ่งเป็นระบบการรับชำระเงินบนอินเตอร์เน็ต ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จนกระทั่งในเดือนมีนาคม ปี 2000 เขาก็ได้ควบรวมกิจการเข้ากับคู่แข่งอย่าง Confinity ซึ่งขับเคลื่อนโดย Peter Theil แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Paypal โดย Elon Musk นั้นดำรงในตำแหน่งประธานบริษัทและ CEO ของ Paypal

และในระหว่างที่กำลังฟอร์มทีมงานใหม่หลังควบรวมกิจการ Elon Musk ก็มักมีปัญหากับ Max Levchin ที่เป็น CTO ของบริษัทในเรื่องของการวางระบบเซิร์ฟเวอร์ เขาจึงลาไปพักร้อนที่ประเทศออสเตรเลียชั่วคราว ทางกรรมการบอร์ดบริหาร จึงฉวยโอกาสนี้ในการปลด Elon Musk ออกจากตำแหน่ง CEO แล้วตั้งตั้งให้ Peter Thiel ขึ้นเป็น CEO แทน แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเติบโตของบริษัท แต่กลับเติบโตอย่างรวดเร็ว แถม Elon Musk ยังลงทุนเพิ่มใน Paypal อีกด้วย จนกระทั่งในปี 2002 eBay ก็เข้าซื้อกิจการ Paypal ไปในราคา 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 46,500 ล้านบาท) โดย Elon Musk ได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวน 180 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 5,500 ล้านบาท) ซึ่งเพียงพอจะเขาจะนำไปลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทนและวิศวกรรมอวกาศต่อไป

Tesla Motors

ในปี 2003 ได้กำเนิดบริษัทอย่าง Tesla Motors ที่ก่อตั้งโดย Martin Eberhard และ Marc Tarpenning ซึ่งเป็นบริษัทแรก ๆ ที่พยายามจะสร้างรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า 100% จนในปี 2004 Elon Musk ก็กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย โดยลงทุนใน Tesla กว่า 70 ล้านเหรียญฯ (หรือราว ๆ 2,200 ล้านบาท) และกลายมาเป็นประธานบริษัทของ Tesla 

Elon Musk เข้ามามีส่วนช่วยในการออกแบบรถ Tesla รุ่น Roadster และได้รับรางวัลการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโลก(Global Green) ในปี 2006 และบริษัทได้เติบโตอย่างรวดเร็ว และสามารถระดมทุนเพิ่มได้อีกกว่า 100 ล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งรวมไปถึงยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่มีผู้ก่อตั้งอย่าง Larry Pages และ Sergey Brin ก็เข้ามาลงทุนใน Tesla Motors นี้ด้วย

แต่ในปี 2007 ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อ Tesla Roadster กำลังเข้าสู่ไลน์การผลิต และด้วยการบริหารที่ไม่ดีพอของฝ่ายการผลิตทำให้ราคาขายปลีกพุ่งขึ้นสูงเป็น 2 เท่า ของราคาที่มันควรจะเป็น แถม Martin Eberhard ผู้ร่วมก่อตั้ง Tesla ยังมีการบริหารกลยุทธ์ที่ผิดพลาดในการส่งมอบรถให้กับลูกค้าล่าช้ามากกว่า 1 ปี ทำให้ Tesla ตกอยู่ในวิกฤตทางเงินอย่างหนัก

Elon Musk จึงต้องลงมาจัดการเองทั้งหมด โดยไล่ทีมงานที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวในครั้งนี้ออกทั้งหมด รวมไปถึงผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Martin Eberhard ด้วย จนในเดือนธันวาคม ปี 2007 Elon Musk ได้แต่งตั้ง CEO และประธานบริษัทคนใหม่เข้ามาบริหาร นั่นก็คือ Ze’ev Drori และบริหารได้เป็นอย่างดี แต่เขาบริหารได้เพียง 1 ปี ก็ลาออกไปในเดือนธันวาคม ปี 2008

Elon Musk กับ Ze’ev Drori ช่วยกันแก้วิกฤต โดยการลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างเท่าที่ลดได้ ไม่ว่าจะเป็น ลดค่าแรงของพนักงาน, ลดคำสั่งซื้อจากซับพลายเออร์, ปิดออฟฟิศบางแห่ง จนในปี 2008 สามารถทำให้ Tesla Roadster ออกสู่ตลาดในราคาที่เหมาะสมได้ในที่สุด

ซึ่งในระหว่างที่เกิดวิกฤตการเงินของ Tesla ในช่วงนี้นี่เอง บริษัทซอร์แวร์ที่ Elon Musk เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่อย่าง Everdream ถูกเทคโอเวอร์ไปโดย Dell ในราคา 120 ล้านเหรียญฯ Elon Musk จึงนำเงินมาลงทุนใน Tesla Motors เพิ่มอีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงทำให้ Tesla Motors รอดพ้นจากการล้มละลาย ณ เวลานั้น รวมไปถึง Elon Musk ยังออกมาให้คำมั่นสัญญาแก่ลูกค้าของเขาว่า จะรับผิดชอบโดยการคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ให้กับลูกค้าในกรณีที่เขาบริหารธุรกิจล้มเหลวอีกด้วย

แม้ว่า Tesla Motors จะมีปัญหาเรื่องเงินทุนอยู่บ่อยครั้ง แต่ Elon Musk ก็สามารถหาแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ เข้ามาช่วยกิจการได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการไปดึงบริษัทสัญชาติเยอรมันอย่าง Daimler ที่ผลิตรถให้ค่ายอย่าง Mercedes-Benz เข้ามาร่วมลงทุนกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว ๆ 1,500 ล้านบาท) และยังได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา(DOE)ที่พร้อมที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับทาง Tesla Motors อีกด้วย

และในวันที่ 29 มิถุนายน ปี 2010 Elon Musk ก็ได้นำ Tesla Motors(TSLA) เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น Nasdaq โดยราคาหุ้นเริ่มต้นที่ 17 ดอลล่าร์ต่อหุ้น และสามารถระดมทุนได้กว่า 225 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว ๆ 7 พันล้านบาท)

และหลังจากนั้น ก็ได้ออกรถรุ่นใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Model S, Model X และล่าสุด Model 3 ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ปี 2016 โดยมีราคาถูกที่สุดตั้งแต่ Tesla Motors เคยทำมา โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 35,000 เหรียญฯ (ราว ๆ 1.1 ล้านบาท) ซึ่งมีราคาถูกกว่ารุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้เกือบครึ่ง ทำให้ยอดจองของ Model 3 นั้น พุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติกาล โดยมียอดจองรวมแล้วมากกว่า 5 แสนคัน ณ ปัจจุบัน ซึ่งเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาติด ๆ ก็คือ แล้วจะผลิตรถยังไงให้ถึงมือลูกค้าทั้งหมดได้รวดเร็วที่สุด โดยมีการแซวกันเล่น ๆ ว่า หากกำลังผลิตของ Tesla Motors ยังได้แค่นี้ สำหรับลูกค้าที่จองรถเข้ามาเป็นลำดับที่ 5 แสน อาจจะได้รับรถอีกทีในอีก 300 ปีข้างหน้า

แม้ว่ายอดจองจะมีตัวเลขค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากราคารถที่ต่ำ ทำให้เงินจองก็ต่ำลงไปด้วย ในขณะที่ไลน์การผลิตรถยนต์ ยังคงมีค่าใช้จ่ายที่สูงเหมือนเดิม ซึ่ง Elon Musk จำเป็นที่จะต้องปรับเปลีั่ยนแผนการผลิตใหม่เกือบทั้งหมด เพราะยิ่งส่งรถได้ช้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อลูกค้า และหลังจากที่ Tesla Motors ประกาศการส่งมอบรถเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ก็ส่งผลให้หุ้นของ Tesla Motors ตกลง จึงอาจจะทำให้เกิดภาวะวิกฤตทางการเงินอีกครั้งหลังจากที่ Elon Musk เคยพาบริษัทรอดวิกฤตการล้มละลายมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ต้องคอยเฝ้าดูกันต่อไป

SolarCity

ในด้านของพลังงานธรรมชาติ Elon Musk ได้สนใจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ โดยในปี 2003 เขาได้ติดต่อ SolarCity Corperation ที่มีสำนักงานใหญ่ที่ San Mateo, California ก่อตั้งโดยสองญาติพี่น้องอย่าง Lyndon Rive และ Peter Rive โดย Elon Musk ได้ลงทุนเงินไปเป็นจำนวน 10 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ 31 ล้านบาท)

โดย SolarCity ได้จัดส่งพลังงานแสงอาทิตย์ไปยังที่อยู่อาศัยของพลเรือนและรัฐบาล และในปี 2008 ยังได้เข้าไปติดตั้งระบบสร้างพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง British Motors และ eBay อีกด้วย

การเข้าไปลงทุนใน SolarCity ของ Elon Musk นั้น เนื่องจากเขาต้องการสร้าง Eco-system โดยใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อนำไปซับพอร์ทกับที่เติมพลังงานไฟฟ้าให้กับ Tesla Motors และเป็นการรณรงค์เพื่อลดภาวะโลกร้อนโดยหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่

โดยในวันที่ 10 ธันวาคม ปี 2012 SolarCity ได้เข้าระดมทุน IPO ในตลาดหุ้น ซึ่งมูลค่าของหุ้นนั้น เพิ่มขึ้นจาก 8 ดอลล่าร์ เป็น 11.79 ดอลล่าร์ และในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 2015 ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นไปที่ 57.60 ดอลล่าร์

ซึ่งต่อมา Tesla Inc. ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ SolarCity ไปในราคา 2.6 พันล้านเหรียญฯ และคาดการณ์เอาไว้ว่าบริษัทนี้มีศักยภาพมากพอที่จะกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า $1 Trillion (1 ล้านล้านดอลล่าร์ฯ) ได้ในอนาคต

SpaceX

และแล้วก็มาถึงธุรกิจที่ Elon Musk วาดฝันเอาไว้ตั้งแต่วัยเด็ก ว่า สักวันหนึ่งนั้น เขาจะรักษาเพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงดำรงอยู่สืบไป โดยตั้งใจที่จะพาชาวโลกไปตั้งอนานิคมบนดาวอังคาร ผ่านธุรกิจวิศวกรรมอวกาศ

โดยในปี 2001 Elon Musk ได้เดินทางไปที่มอสโก ประเทศรัสเซียเพื่อติดต่อขอซื้อจรวด เขาได้รับข้อเสนอในการปล่อยจรวด 1 ครั้งในราคา 8 ล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งเขาพบว่าราคามันสูงจนเกินไป

และหลังจากที่เขากลับมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาก็ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทผลิตจรวดซะเอง โดยในวันที่ 6 พฤษภาคม ปี 2002 เขาก่อตั้งบริษัท SpaceX ที่เมือง Hawthorne รัฐ California โดยจะผลิตและสร้างจรวดด้วยตนเอง ซึ่งเขาใช้เงินทุนที่ได้จากการขาย Paypal ไป มาลงทุนเป็นจำนวนกว่า 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

และเนื่องจากเป้าหมายของธุรกิจอวกาศของเขา ไม่เหมือนกับเจ้าอื่น ๆ ที่่ผ่าน ๆ มา ที่เป้าหมายมีเพียงแค่ส่งจรวดไปโคจรรอบโลกเท่านั้น แต่เป้าหมายของ Elon Musk นั้นต้องการส่งจรวดไปตั้งอาณานิคมใหม่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น โดยโครงการของ SpaceX ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากกลุ่มต่าง ๆ มากมาย เช่น Founders Fund ที่มี Peter Theil ผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal กับ Elon Musk นั่นเอง รวมไปถึง DARPA, ORS, Celestis, ATSB, SpaceDev, Orbcomm, NSPO, Astrium

SpaceX ได้เปิดตัวโครงการ Falcon 1 ในปี 2002 ซึ่งโครงการนี้ ใช้เวลาในการสร้างจรวดประมาณ 4 ปี จนในวันที่ 19 ธันวาคม ปี 2005 SpaceX ได้ทำการปล่อยจรวด Falcon 1 เป็นครั้งแรก แต่ก็ล้มเหลวในการกลับมาลงจอดบนพื้นโลก ต่อมาได้ทำการปล่อย Falcon 1 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 21 มีนาคม ปี 2006 แต่ก็ยังคงล้มเหลวอีก ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม ปี 2008 ได้พยายามปล่อย Falcon 1 อีกครั้งหนึ่ง แต่เครื่องกลับระเบิดหลังจากที่พยายามลงจอดลงบนพื้นโลก ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่มีต่อ Elon Musk จนเขาเหลือเงินทุนในการปล่อยจรวดอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

และในที่สุดในวันที่ 28 กันยายน ปี 2008 การปล่อยจรวด Falcon 1 ในครั้งที่ 4 ก็สามารถกลับลงจอดบนพื้นโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถดึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ ได้มีการเซ็นต์สัญญากันระหว่าง SpaceX และ NASA ที่มีดีลสูงถึง 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 5 หมื่นล้านบาท โดยจรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้นี้ ได้ช่วยลดต้นทุนให้กับการขึ้นบินแต่ละครั้งได้อย่างมหาศาล โดยอย่างน้อยที่สุด สามารถลดค่าใช้จ่ายให้เหลือเพียง 1 ใน 3 จากเดิม

แต่ SpaceX ก็ยังคงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของฝันอันยิ่งใหญ่ของ Elon Musk ที่ต้องการจะไปตั้งรกรากที่ดาวอังคาร โดยเขาได้วางแผนเอาไว้ว่า เป้าหมายคือการส่งคนจำนวน 1 ล้านคน ไปยังดาวอังคาร โดยจรวดเที่ยวหนึ่งจะจุคนได้ประมาณ 100 ที่นั่ง นั่นก็หมายถึง จะต้องส่งจรวดจำนวน 10,000 เที่ยว และคาดว่าแผนนี้น่าจะใช้ได้ในช่วง 40-100 ปี นับจากนี้

โดยจะใช้เวลาเดินทางจากโลกไปยังดาวอังคารประมาณ 80 วัน แต่จะพยายามลดลงให้เหลือเพียง 30 วัน นอกจากนั้นปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามดวงดาวจะตกอยู่ที่คนละ 10 พันล้านเหรียญฯ (หรือราว ๆ 3 แสนล้านบาท) แต่เขาวางแผนเอาไว้ว่า ค่าเดินทางจะต้องลดให้เหลือคนละ 100,000-200,000 ดอลล่าร์ฯ(หรือราว ๆ 3-6 ล้านบาท) ต่อคนให้ได้ โดยคาดว่าหากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ลูกเรือเที่ยวบินแรกอาจจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปี ข้างหน้านี้ ก็เป็นได้

สรุป หลังจากที่ Elon Musk ได้ขาย Paypal ไป เขาได้เงินส่วนแบ่งมา 180 ล้านดอลล่าร์ฯ โดยแบ่งลงทุนในธุรกิจหลักด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่

  • ลงทุนใน Tesla Motors : $70 M
  • ลงทุนใน SolarCity : $10 M
  • ลงทุนใน SpaceX : $100 M

จะเห็นได้ว่า แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนแรกที่เขาขาย Zip2 ไป แล้วเอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนเงินแทบหมด แต่ในขณะที่ครั้งนี้ เขาได้นำเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายกิจการ นำไปลงทุนและต่อยอดตามความฝันด้วยการทุ่มหมดหน้าตักกันเลยทีเดียว

อีลอน มัสก์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า

If something is important enough you should try, even if the probable outcome is failure.

หมายถึง หากมีบางสิ่งบางอย่างที่มันมีค่ามากพอสำหรับคุณ คุณก็ควรลองพยายามลุยกันดูสักตั้ง แม้ว่าผลลัพธ์ที่คาดเอาไว้นั้น มันจะล้มเหลวก็ตามที

Elon Musk


ยังมีอีกหลายโครงการที่ยังไม่ได้พูดถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ

  • Hyperloop : ระบบการขนส่งมวลชนที่ Elon Musk ต้องการให้กลายเป็นระบบการส่งทางเลือกที่ 5 ของโลก นอกเหนือจากทางรถยนต์, รถไฟ, เรือ และเครื่องบิน
  • OpenAI : Elon Musk ได้ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2015 โดยเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยเขาต้องการพัฒนาให้ปัญญาประดิษฐ์นั้นมาช่วยในด้านความปลอดภัยและเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
  • Neuralink : เป็นการต่อยอดจาก OpenAI โดยโครงการนี้ ต้องการเชื่อมต่อระหว่างสมองของมนุษย์รวมเข้ากันกับปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งหากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Matrix แล้วล่ะก็ อีกหน่อยการที่มนุษย์จะเรียนรู้ทักษะใด ๆ ก็สามารถโหลดข้อมูลใส่สมองได้ในทันที

Resources: