ผมจะสร้าง AI ที่แท้จริงเอง by Elon Musk
Elon Musk เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla, SpaceX, Twitter ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Tucker Carlson บนช่อง Fox News เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2023 ที่ผ่านมานี้ ในหัวข้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ AI หรือปัญญาประดิษฐ์
ซึ่งในเนื้อหานี้จะพาไปเจาะลึกจากมุมมองและวิสัยทัศน์ของเขาที่ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการแห่งยุคที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ ว่าเขามีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับ AI ในยุคปัจจุบัน
สร้างกฎควบคุม AI
โดยในเรื่องของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์นั้น ทาง Elon Musk เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เขาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอยู่ ที่เขาคิดว่า มันคือหนึ่งจาก 5 เรื่องที่เขาคิดว่า มันจะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของโลกเราเป็นอย่างมาก
เพราะเท่าที่เรารู้ว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลก แม้ว่าจะมีพละกำลังและความคล่องตัวน้อยกว่าลิงชิมแปนซีก็ตามที แต่มนุษย์ก็ยังคงฉลาดกว่าลิง
ซึ่งจู่ ๆ พอมีบางอย่างที่คิดว่า มันน่าจะมีความฉลาดกว่ามนุษย์โผล่ขึ้นมานั้น มันก็เป็นสถานการณ์ที่ยากมากที่จะบอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกอนาคตของเรา
โดย Elon Musk บอกว่าการมาของ AI นั้น มันอาจจะนำพาให้โลกเข้าสู่ในระดับที่เรียกว่า Singularity ที่เหมือนกับมนุษย์เราค้นพบ black hole หรือหลุมดำแล้ว จากนั้นก็ไม่รู้อีกแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เพราะมันยากที่จะคาดเดา
หรือแปลในอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้ามีการพัฒนา AI ให้มีความสามารถเหนือมนุษย์และพวกมันสามารถควบคุมระบบได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไปแล้วล่ะก็ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ดังนั้นส่วนตัวของเขาจึงคิดว่า เราควรที่จะต้องระวัง AI เอาไว้ โดยมีการกำกับดูแลจากทางรัฐบาล เพราะมันสามารถส่งผลกระทบต่อผู้คนในสาธารณะได้ เฉกเช่นเดียวกับวงการอาหารและยา ที่จำเป็นที่จะต้องมีการควบคุม เพราะไม่เช่นนั้นแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ได้
โดยส่วนตัวของ Elon Musk นั้น เขาบอกว่าเขาเป็นผู้ที่คอยผลักดันและสนับสนุนให้มีการออกกฎควบคุมอยู่เสมอมา ซึ่งแน่นอนว่า การควบคุมนั้น ไม่ใช่งานที่สนุกเอาซะเลย เพราะมันเป็นงานที่ยากที่จะทำการควบคุมอะไรสักอย่าง
ซึ่งส่วนตัวของเขานั้น ก็คุ้นเคยดีกับการอยู่วงการที่มีกฎควบคุมอย่างเคร่งครัด
ยกตัวอย่างเช่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการออกกฎควบคุมอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ในกระบวนการการผลิต ซึ่งก็มีการควบคุมทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย ก็มีการออกกฎควบคุมกันหมด เพื่อความปลอดภัยของมนุษย์
และเช่นกัน อย่างในอุตสาหกรรมอวกาศ ที่กว่าจะปล่อยจรวดได้นั้น จะต้องมีใบอนุญาต และผ่านกฎการควบคุมต่าง ๆ อย่างมากมาย ที่กว่าจะสามารถปล่อยจรวดขึ้นสู่บนท้องฟ้าได้ ไม่ใช่จู่ ๆ นึกจะปล่อยก็ปล่อย
ซึ่งภายนอกของตัวเขานั้น ผู้คนบางส่วนอาจจะมองว่า ตัวเขานั้นเป็นพวกต่อต้านและไม่เคารพกฎ แต่เชื่อเถอะว่าจริง ๆ แล้วนั้น ตัวของเขาเห็นด้วยกับการมีกฎการควบคุมและปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าว
โดยทาง Elon Musk ก็ได้เสนอแนะวิธีการเริ่มต้นในการออกกฎการควบคุมในเรื่องของ AI ซึ่งสิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ การค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับด้าน AI และขอความคิดเห็นจากคนในวงการอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์
จากนั้นจึงค่อยเสนอร่างตั้งกฎ แล้วก็หวังว่าผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรม AI ต่าง ๆ นั้น จะยอมรับและปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าว ซึ่งตัวของ Elon Musk เขามองว่า ถ้าเป็นไปในแนวทางนี้ โอกาสที่มนุษย์เราจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการมาของ AI นั้นจะเป็นในไปทิศทางที่ดีกว่า
AI อันตรายแค่ไหน?
AI ในมุมมองของ Elon Musk นั้น เขาบอกว่า มันอันตรายซะยิ่งกว่าการออกแบบเครื่องบินที่ผิดพลาด และออกแบบรถยนต์ในไลน์การผลิตที่ผิดพลาด
มันอันตรายมากถึงขนาดที่ว่า มันสามารถทำลายอารยธรรมของมนุษย์เราได้เลย ที่เหมือนกับในหนังเรื่อง The Terminator ได้เลย
แต่มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะตอนนี้ data center หรือศูนย์รวมข้อมูลนั้นยังคงอยู่ที่หน่วยราชการลับของมนุษย์อยู่ ซึ่งเหล่าบรรดาหุ่นยนต์ทั้งหลาย ต้องใช้ข้อมูลดังกล่าวในการทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์
แต่โดยปกติทั่วไปแล้ว การออกกฎระเบียบต่าง ๆ นั้น มันมักจะถูกจัดตั้งขึ้น หลังจากที่เกิดเรื่องร้ายแรงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นถ้าหากเรารอให้ AI ก่อเรื่องที่ร้ายแรงก่อน แล้วค่อยจัดตั้งกฎระเบียบทีหลังนั้น ทาง Elon Musk เขามองว่า ถ้ารอให้ถึงจุด ๆ นั้น ก็คงจะสายเกินแก้ ช้าเกินไปที่จะควบคุมพวกมันได้แล้ว
เพราะเมื่อถึงจุด ๆ นั้น AI จะสามารถจัดการ ควบคุม คิดได้เอง ตัดสินใจแทนมนุษย์ และไม่สามารถปิดระบบมันได้อีกต่อไป
OpenAI & chatGPT
ส่วนตัวของ Elon Musk นั้น เขาก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง chatGPT จากบริษัท OpenAI ที่พัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์แต่สาเหตุที่เขาออกมาจากบริษัทนั้นก็เพราะ ในตอนแรกเขาตั้งใจที่จะให้ OpenAI นั้นเป็นบริษัทแบบ non-profits ที่เปิดให้ใช้งานฟรีแบบสาธารณะ แต่เนื่องจากตอนนี้มันกลายเป็น บริษัทที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำเงินให้กับนายทุนไปแล้ว ซึ่งมันขัดกับอุดมการณ์ในตอนแรกของเขา เขาจึงได้ถอนตัวออกมา
Larry Page กับ Google
โดยส่วนตัวแล้ว ตัวของ Elon Musk ได้เคยมีโอกาสนั่งพูดคุยเรื่อง AI กันกับผู้ก่อตั้ง Google อย่าง Larry Page ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขา แต่ดูเหมือนว่าทาง Larry Page จะไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับ AI มากสักเท่าไหร่นัก
โดย Elon Musk บอกว่า เป้าหมายของ Google ก็คือ การพัฒนา AI ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า AGI: Artificial General Intelligence ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงที่มีความสามารถในระดับที่เทียบเท่าหรือมากกว่ามนุษย์ ที่สามารถคิดเอง ทำเอง ได้ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยส่วนตัวของ Elon Musk เขาก็เห็นด้วยที่จะทำเรื่องนี้ แต่ในดีมีเสีย เป็นของคู่กัน แม้ว่ามันจะมีประโยชน์อย่างมหาศาล แต่มันก็เป็นตัวอันตรายอย่างยิ่งยวดด้วยเช่นกัน
ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่พอเวลามีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ เข้ามา คุณก็ต้องการที่จะผลักดันมันให้ออกไปในวงกว้าง พัฒนามันให้ถึงขีดสุด
โดยหน้าที่ ที่ Elon Musk เขาหวังเอาไว้ก็คือ เขาจะต้องทำให้มั่นใจว่า จะยังคงทำให้มนุษยชาติยังอยู่รอดปลอดภัย จนกว่า AI จะไปถึงจุด ๆ นั้น
Google DeepMind
โดยในปัจจุบัน Elon Musk บอกว่า ทาง Google มีเจ้า DeepMind ที่เป็นบริษัทวิจัยปัญญาประดิษฐ์จากสหราชอาณาจักร ที่ Google ได้เข้าซื้อกิจการไปในปี 2014
โดยเจ้า DeepMind นี้เป็นที่รู้จักกันดีจากโปรแกรม AlphaGo ซึ่งมันสามารถเอาชนะผู้เล่น Go มืออาชีพแชมป์โลกที่เป็นมนุษย์ไปในปี 2016 ได้ ซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในด้านปัญญาประดิษฐ์ เนื่องจากเกมกระดาน Go นั้น เป็นเกมที่ซับซ้อน ที่เราเคยคิดว่ามันน่าจะยากเกินกว่าที่คอมพิวเตอร์จะเชี่ยวชาญได้ แต่เราก็คิดผิด
ซึ่งก็ถือได้ว่า Google ได้ครอบครองความสามารถของ AI กว่า 3 ใน 4 ที่มีอยู่บนโลกนี้ เพราะพวกเขามีทั้งเงิน มีทั้งระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผล ที่ทรงพลังมากกว่าใคร ๆ ที่แทบจะผูกขาดในตลาดนี้ แต่กลับให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยน้อยกว่าที่มันควรจะเป็น ซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลย
ซึ่งบริษัทของ Google นั้น สามารถพูดได้ว่าเป็นองค์กรที่อยู่ตรงข้ามกับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรมากที่สุด เพราะพวกเขาเป็นบริษัทที่มีเป้าหมายในการสร้างผลกำไรเป็นหลัก
ในขณะที่บริษัท AI ควรจะเป็นบริษัทแบบ Open Source ที่มีความโปร่งใส ทุกคนสามารถตรวจสอบได้
เพราะเมื่อไหร่ที่เป้าหมายขององค์กรใดก็ตามที่ต้องการหาผลกำไรสูงสุดจาก AI แล้วล่ะก็ มันก็ไม่ต่างจากการไปเล่นกับจอมปิศาจที่มีความละโมบอย่างไม่จบไม่สิ้น
ซึ่งหลังจากที่ Elon Musk เขาได้สร้างบริษัท OpenAI ที่เป็นเจ้าของ chatGPT ปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำขึ้นมา เขาก็ไม่ได้คุยกับ Larry Page เลยเป็นเวลาหลายปีนับจากนั้น เพราะมันคงทำให้ Larry Page หัวเสีย ที่จู่ ๆ Google ก็มีคู่แข่งขันที่น่ากลัวขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ Google DeepMind ผูกขาดตลาดนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
AI นั้นอันตรายอย่างไร?
แล้วที่ว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นอันตราย แล้วมันอันตรายอย่างไรบ้าง?
โดย Elon Musk ได้ขึ้นต้นด้วยวลีเก่าแก่ที่เคยพูดเอาไว้ว่า “The pen is mightier than the sword” ปากกานั้นทรงพลังยิ่งกว่าดาบ
ความหมายก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ AI ที่มีความสามารถในการเขียนขั้นสูง มันสามารถที่จะเขียนสิ่งที่สามารถโน้มน้าวผู้คนได้ ชี้นำผู้คนได้ มีอิทธิพลทางความคิดต่อผู้คนได้
ยกตัวอย่างเช่น มันสามารถใช้โน้มน้าวผู้คนบนโซเชียลมีเดียได้ อย่างบน Twitter ไม่ก็ Facebook ที่พวกมันอาจใช้ข้อความที่บิดเบือนในการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะในทางที่แย่ ซึ่งปัญหาก็คือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้อความดังกล่าวนั้นเป็นจริงหรือเท็จแค่ไหน?
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีคนบางกลุ่มกำลังฝึกให้ AI โกหกได้แบบเนียน ๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ ที่เราไม่สามารถบอกได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่เป็นจริงหรือไม่
OpenAI chatGPT กับ Microsoft
OpenAI ที่เป็นบริษัทแม่ของ เจ้า AI chatGPT นั้น จากเป้าหมายเดิมที่ทาง Elon Musk เขาร่วมปลุกปั้นมันขึ้นมา ที่แต่เดิมทีตั้งใจจะให้มันเป็น Open source เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร แต่หลังจากที่มันได้กลายเป็นองค์กรแสวงหาผลกำไร ที่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า มีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เป็นนายทุนอยู่ ก็จะเห็นได้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกเขาก็ได้นำเจ้าปัญญาประดิษฐ์ตัวนี้ ไปรวมเข้ากับ saerch engine ของพวกเขาที่ชื่อว่า Bing ที่แม้ว่าจะเป็นรองจาก Google เยอะ ที่ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครเทียบเคียง Google ได้เลย
แต่พอเอา Bing มารวมเข้ากับเจ้า OpenAI ChatGPT-4 แล้วนั้น ก็ทำให้ Google ถึงกับร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาในรอบ 20 กว่าปีนี้เลยทีเดียว
ดังนั้น นี่คือศึกยักษ์ชนยักษ์ระหว่าง Google ที่มี DeepMind กับ Microsoft ที่มี OpenAI ที่ต่อสู้กันด้วยปัญญาประดิษฐ์ ประเภท GPT: Generative Pre-trained Transformer เป็นซอฟท์แวร์ที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถตอบโต้กับมนุษย์ในรูปแบบข้อความ
AI ทางเลือกที่สามของมนุษย์โลก
โดย Elon Musk เขาก็ได้ออกตัวว่า เขาคือคนที่จะสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นตัวเลือกที่สามให้แก่มนุษย์โลก ที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจของ Google และ Microsoft
ที่ถึงแม้ว่า เขาจะเริ่มต้นช้าไปในอุตสาหกรรมนี้ก็ตามที แต่เขาก็จะลองดูสักตั้ง เพราะเขามีความตั้งใจว่า เจ้า AI ที่เขาจะสร้างขึ้นมานี้ มันจะส่งผลดีมากกว่าผลเสียอย่างแน่นอน ไม่ใช่ลูกผีลูกคน ที่ไม่สามารถบอกได้ว่า มันจะดีหรือไม่
เพราะเท่าที่เขารู้มาตอนนี้ ว่ามีคนกำลังฝึก AI ใช้ในเรื่องของการเมืองอยู่ และพยายามที่จะบิดเบือนข้อมูลแล้วปล่อยข้อมูลดังกล่าวสู่โลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันถูกฝึกไปในทางที่ไม่ดี
ดังนั้น เขาเลยจะสร้าง AI ที่ชื่อว่า Truth GPT เพื่อจุดประสงค์สูงสุดก็คือ การเข้าในใจธรรมชาติที่แท้จริง การเข้าใจทุกสิ่งในจักรวาลนี้อย่างถ่องแท้ ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะนำพาโลกไปในทิศทางที่ดี เพราะเมื่อ AI ถูกสร้างให้เข้าใจในธรรมชาติ ในจักรวาลนี้ มันก็ไม่น่าที่จะทำลายมนุษย์ เพราะมนุษย์เรานั้นก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่ง Elon Musk เขาก็หวังว่ามันจะออกมามีรูปร่างประมาณนี้
AI จะมีจิตวิญญาณ มีความรู้สึก รักสวยรักงามหรือไม่?
โดย Elon Musk บอกว่า เนื่องจากเขามีมุมมมองต่อโลกนี้ในมุมของวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาก็ตอบไม่ได้ว่า จิตวิญญาณของคนเรานั้นมีหรือไม่มี เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่สามารถให้คำตอบได้
ส่วนการที่ AI จะรักสวยรักงามนั้น ตอนนี้เราอาจจะเห็นได้จากเจ้า AI ที่ชื่อว่า Midjourney ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ ที่สร้างงานศิลปะ วาดภาพออกมาได้อย่างสวยงาม ภายในเสี้ยววินาที ซึ่งมันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อเอามาก ๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่นั้นก็เริ่มยอมรับแล้วว่า เจ้า AI ตัวนี้ สามารถสร้างงานศิลปะในระดับที่เรียกว่าสวยงามกว่าคนทั่ว ๆ ไปซะอีก
ซึ่ง ณ เวลานี้ มันยังคงทำได้ดีในเฉพาะภาพนิ่ง แต่อีกไม่นาน มันจะสามารถสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหว หรือจำพวกหนังสั้นได้เลย เพราะจริง ๆ แล้ว ภาพเคลื่อนไหวมันก็มีพื้นฐานมาจากภาพนิ่งหลาย ๆ frame มาฉายต่อ ๆ กันนั่นเอง
และนอกจากนั้น ตอนนี้ก็เริ่มมี AI ที่สามารถเลียนแบบหน้าตาและเสียงของผู้คนออกมาแล้ว แล้วเราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่า เสียงนั้นเป็นของจริง หน้านั้นเป็นของคน ๆ นั้นจริง ๆ ?
ทำไม Elon Musk จึงเข้าซื้อ Twitter
ซึ่งทาง Elon Musk เขาได้เคยให้สัมภาษณ์สื่ออื่น ๆ มาก่อนหน้านี้แล้วว่า เขาต้องการให้ Twitter เป็นพื้นที่ที่มีอิสระเสรี หรือ free speech ในการพูดในข้อเท็จจริง ที่ยังคงอยู่ในกรอบของกฎหมายอยู่
ซึ่งตอนแรกที่เขามองว่า มันน่าจะเป็นบริษัทที่มีการเงินที่ดูดี แต่ตอนนี้มันกลับถูกตีมูลค่าของบริษัทใหม่ที่เหลือแค่เพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับราคาในตอนที่เขาได้ซื้อกิจการมา
โดยเขาอยากพัฒนาให้ Twitter นั้น เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้เสียงคนส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์การตัดสินจากคนบนชุมชนออนไลน์
ซึ่งเขาก็พยายามทำระบบที่เรียกว่า community note ที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้คนบนโลกออนไลน์ แข่งกันเขียนความจริง นำเสนอแต่ความจริง ซึ่งแม้ว่ามันจะไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ แต่มันก็ทำให้คนได้คิดไตร่ตรองในสิ่งที่ตนเองกำลังจะพิมพ์มากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเผยแพร่ข้อความดังกล่าวออกไปบนโลกออนไลน์
ซึ่งถ้าถามเขาว่า เขารู้สึกอย่างไรกับการที่เข้าซื้อ Twitter แล้วนั้น จะไปกระทบกับผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ภายในประเทศ
โดยทาง Elon Musk ก็ให้คำตอบว่า เขารู้อยู่แล้วว่า จะมีผลกระทบเชิงลบเข้ามาบ้างมันเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เขาให้ความสำคัญต่อผู้คนจริง ๆ ที่ใช้งานอยู่บน Twitter มากกว่าสิ่งใด เพราะโดยธรรมชาติแล้วนั้น หากสิ่งดังกล่าวมันมีประโยชน์ ผู้คนก็จะหันมาใช้มันมากขึ้น และเช่นกันหากสิ่งดังกล่าวมันมีประโยชน์น้อย พวกเขาก็จะค่อย ๆ เลิกใช้ไปเอง
ดังนั้น เขาจึงมีความเชื่อว่า ถ้าข้อมูลที่อยู่บน Twitter เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นความจริง ผู้คนก็จะเข้ามาใช้งานมากขึ้นอย่างแน่นอน
โดยคำแนะนำที่ Elon Musk อยากจะบอกถึงสำนักพิมพ์ หรือสื่อต่าง ๆ ที่จะใช้ Twitter เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารนั้น เขาไม่อยากให้สำนักข่าว Tweet ไปเรื่อยเปื่อน Tweet เป็นร้อย ๆ ข้อความต่อวัน เพราะมันจะทำให้หน้า feed ของผู้ติดตามนั้น รกไปด้วยข้อความจากสำนักพิมพ์ดังกล่าว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ
โดยสิ่งที่เขาแนะนำให้ทำมากกว่าก็คือ การเลือกที่จะ Tweet ข้อความเฉพาะเรื่องเด่น ๆ เรื่องที่สำคัญ ๆ เรื่องที่มีผู้คนบนโลกออนไลน์ตอบโต้กันมากที่สุด โดยเอามาสัก Top 10 ที่ร้อนแรงที่สุดจะดีกว่า
เพราะบัญชี Twitter ส่วนตัวของเขานั้น แม้ว่าจะไม่ใช่บัญชีที่มีผู้ติดตามมากที่สุด แต่เป็นแอคเค้าท์ที่มีการตอบโต้หรือมีคนบนโลกออนไลน์มีส่วนร่วมมากที่สุดในโลก ก่อนที่เขาจะเข้าซื้อกิจการซะอีก ดังนั้น เขาจึงคิดว่า เขารู้วิธีที่จะใช้งานมันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเขาใช้มันอย่างเข้มข้นตั้งแต่ปี 2009 มาแล้ว แล้วเขาก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างน Twitter ที่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ไม่ถูกไม่ควรสักเท่าไหร่นัก และก็ดูเหมือนว่าทางบอร์ดผู้บริหารของ Twitter ก็ไม่ได้สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงมันสักเท่าไหร่นัก
เขาก็เลยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงมัน แต่ก็มีเงินสดไม่พอซื้อกิจการของ Twitter เขาจึงไปหาเงินสดเพิ่มบางส่วนจากนักลงทุน และในที่สุดเขาก็เข้าซื้อกิจการของ Twitter จนได้
ซึ่งทันทีที่เขาได้เข้าไปดูภายในกิจการของ Twitter สิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้รับรู้ก็คือ ข้อมูลบน Twitter ทั้งหมดนั้น ทางรัฐบาลสามารถเข้าดูได้หมดทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ข้อความที่แต่ละคนส่งหากันส่วนตัว
ดังนั้น สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือ ทำการเข้ารหัสให้กับการส่งข้อความส่วนตัวหากัน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถปิดหรือเปิดการเข้ารหัสระหว่างการสนทนาได้โดยอิสระ ที่แม้ว่าจะมีใครเอาปืนมาจ่อหัวของเขา ที่เป็นเจ้าของ Twitter อยู่ ก็ไม่สามารถอ่านข้อความของผู้ใช้งานคน ๆ นั้นได้ หากทำการเปิดการเข้าหรัสข้อความส่วนตัวเอาไว้อยู่ ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่มันควรจะเป็น
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ทางรัฐบาลมาบังคับให้ Twitter เปิดเผยข้อมูลของคน ๆ นั้น Elon Musk ก็ไม่สามารถเปิดอ่านได้ หาก user ดังกล่าวเปิดการเข้ารหัสข้อความเอาไว้
รัฐบาล การเลือกตั้ง กับ Twitter
พิธีกรได้ถามกับ Elon Musk ว่า มีรัฐบาลส่งข้อความส่วนตัวมาหาเขาเกี่ยวกับเรื่องขอดูข้อมูลหลังบ้านหรือข้อความส่วนตัวของคนที่พวกเขาต้องการมาบ้างไหม?
ทาง Elon Musk ก็ตอบไปว่า ถ้าส่งข้อความมาโดยตรงนั้นไม่ค่อยมี มีแต่ส่งอ้อม ๆ เพราะพวกเขาน่าจะเกรงว่า ถ้าส่งข้อความหาผมโดยตรง ผมก็จะนำข้อความดังกล่าวไป Tweet แบบสาธารณะบน Twitter อย่างแน่นอน
แล้วผมก็จะถามกลับต่อพวกเขาว่า ผมทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญข้อไหนอยู่หรือไม่
ส่วนถ้าให้ถามว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกานั้น ทาง Twitter จะมีบทบาทสำคัญต่อการใช้ในการหาเสียงหรือไม่?
ทาง Elon Musk เขาก็ตอบว่า เขาเชื่อว่าจะมีการใช้ Twitter มีส่วนร่วมในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว แต่มันจะถูกใช้ในหลายประเทศทั่วโลก
เพราะเป้าหมายของ Twitter ที่เขาจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงก็คือ ต้องการให้มันเป็นเครื่องมือที่ทุกคนสามารถใช้พลังของสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่เอนเอียงไปฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของพรรคการเมือง
Mark Zuckerberg กับ Facebook
ซึ่งทางพิธีกรก็ได้ถามความเห็นจาก Elon Musk ว่า เขาคิดยังไงที่ Mark Zuckerberg ไม่ใช้ Facebook ยืนหยัดความเป็นกลางแบบเขาบ้าง?
โดยทาง Elon Musk ก็แสดงความคิดเห็นว่า Mark Zuckerberg นั้น ได้ใช้เงินจำนวนกว่า $400 ล้านดอลล่าร์ฯ ไปกับการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ที่ใช้ไปในแคมเปญการรณรงค์หาเสียง ซึ่งถ้าดูจากการกระทำดังกล่าวแล้วนั้น น่าจะสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างโดดเด่นด้วย
ดังนั้น คุณคิดเอาเองก็แล้วกันว่า Facebook มีความเป็นกลางหรือไม่?
แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบก็คือ ‘ไม่’
Joe Biden กับ Donald Trump
ในขณะที่ Elon Musk นั้นเขาได้ทำการปลดล็อคแอคเค้าท์ Twitter ของ Donald Trump ที่ถูกแบนไปจากทีมผู้บริหารก่อนหน้าที่เขาจะเข้าซื้อกิจการ แต่ทาง Donald Trump ก็ไม่ได้ออกมาตอบรับอะไร เพราะเขาก็มีช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ส่วนตัวของเขาอยู่แล้ว
ซึ่งถ้าให้ถามว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาทาง Elon Musk เขาลงคะแนนเสียงให้กับใคร เขาก็ตอบว่า เขาลงคะแนนเสียงให้กับ Biden ที่เขาก็บอกว่า เขาไม่ได้เป็นแฟนตัวยงอะไรกับ Joe Baiden เพราะตอนที่เขาตัดสินใจว่าจะลงคะแนนเสียงให้ใครนั้น เขาคิดแค่เพียงว่า ลองให้โอกาสคนธรรมดา ๆ สักคน ลองเข้ามาบริหารบ้านเมืองดู ซึ่งอาจจะทำให้ประเทศเป็นกลางมากขึ้นก็ได้
เพราะอย่างที่เรารู้ ๆ กันดีว่าฝั่งของ Donald Trump นั้น เป็นมหาเศรษฐี มีอำนาจ มีเงินมหาศาล
Elon Musk ไล่พนักงาน Twitter ออก
ต่อมาพิธีกรได้ถาม Elon Musk ว่า เขาไล่พนักงาน Twitter ออกไปเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับก่อนที่เขาจะเข้ามาซื้อจกิจการ?
โดยทาง Elon Musk ก็ตอบว่า ตอนนี้เหลือพนักงานอยู่ประมาณ 20% เมื่อเทียบกับก่อนที่เขาจะเข้ามา หรือไล่ออกไปแล้วราว ๆ 80% ซึ่งโอเคแหละว่า ก็มีพนักงานบางส่วนที่สมัครใจลาออก
แล้วถามว่า ไล่พนักงานออกเกือบหมด จะรันบริษัท Twitter ได้ยังไง?
ทาง Elon Musk เขาก็ตอบว่า อันที่จริงแล้วที่ Twitter ไม่ต้องใช้พนักงานจำนวนเยอะขนาดนั้น เหตุผลก็เนื่องมาจาก ทันทีที่มีการปลดล็อคนโยบาย censorship หรือระบบการแบนนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้คนเฝ้าระวังหรือมาดูแลในเรื่องเหล่านี้มากนัก
และถ้าให้เทียบกราฟในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทเทียบกับจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้นแล้วนั้น กราฟของการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นแทบจะเป็นเส้นตรงไม่มีการพัฒนาอะไรที่คืบหน้าเลย
ดังนั้น เขาก็เลยตั้งคำถามว่า แล้วพนักงานจำนวนเยอะแยะเหล่านั้น กำลังทำอะไรกันอยู่?
เขาจึงพบว่า ในบริษัท Twitter นั้น ได้รับพนักงานที่ใช้งานไม่ได้มาเป็นจำนวนมาก
และบริษัทที่เป็นซอร์ฟแวร์อย่าง Twitter นั้น ก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องใช้พนักงานเยอะเหมือนกับบริษัทผลิตรถยนต์อย่าง Tesla และบริษัทที่ผลิตยานอวกาศอย่าง SpaceX ที่ใช้จำนวนคนมากและผลิตได้ยากกว่า
ซึ่งเขาก็ใช้เวลาเป็นปีในการกดปุ่มระเบิดตูมนี้กับพนักงาน Twitter ซึ่งหลังจากที่เหลือพนักงานอยู่ราว ๆ 20% แล้วนั้น เขาก็พบว่า ที่ Twitter นั้นทำงานได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าร้อยละ 80 ของงานที่มีอยู่ในบริษัท
ซึ่งเขาก็พยายามที่จะทำให้ Twitter นั้น เป็นสื่อโซเชียลมีเดีย ที่มีความไม่น่าไว้วางใจให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเดี๋ยวนี้บนโลกอินเตอร์เน็ตมีอะไรที่น่าไว้ใจได้น้อยเหลือเกิน
วิธีการควบคุม AI อย่างฉับพลัน
โดยทางพิธีกร ก็เคยได้ยินผู้คนพูดกันว่า ถ้าหากในกรณีที่จู่ ๆ AI มันเกินที่จะควบคุมหรือมีแนวโน้มสูงที่จะเป็นอันตรายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นจะทำลายมันอย่างไร?
ซึ่งการที่จะรัน AI ที่ทรงพลังได้นั้น ทาง Elon Musk เขาบอกว่า มันจะต้องมีสถานที่ที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังนับแสนเครื่องที่ใช้ประมวลผลร่วมกัน ซึ่งถ้าให้หาจริง ๆ มันมีไม่กี่ที่ที่ทำแบบนั้นได้ในโลก
เพียงแค่คุณใช้ดาวเทียมในอวกาศค้นหาในที่ที่มีความร้อนสูงกระจุกตัวรวมกันอยู่ คุณก็จะพบบริเวณที่ติดตั้งพวกคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังเหล่านี้
แต่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องยิงระเบิดเพื่อทำลายมันหรอก
เพียงแต่ทางรัฐบาลควรมีมาตรการฉุกเฉินหรือปุ่มกดเอาไว้ตัดไฟเลี้ยงไม่ให้ไปถึงคอมพิวเตอร์เหล่านั้นก็พอที่จะหยุดการประมลผลของ AI เหล่านั้นได้
Digital Intelligence VS Biological Intelligence
หลังจากที่ Elon Musk เขาถอนตัวออกมาจาก OpenAI เขาก็มีโอกาสได้คุยกับทีมงานของบริษัทนั้นอยู่บ้างอย่าง Sam Altman ที่เป็น CEO ของ OpenAI เจ้าของ chatGPT
ซึ่ง Elon Musk เขาเดาเอาว่า ทาง OpenAI คงอยากที่จะพัฒนาให้โลกนี้มีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในด้านจิตสำนึก ที่ไม่ว่าจะเป็นใน Digital หรือ Biological ก็ตามที
ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยที่จะไปในทิศทางนั้น เพราะถ้าหากเมื่อไหร่ที่ Digital Intelligence หรือพวก AI เกิดอยากจะกำจัด Biological Intelligence หรือพวกมนุษย์ขึ้นมา จะทำยังไงกันล่ะทีนี้?!?
chatGPT ไปไกลถึงขั้นไหนแล้ว
แล้วถ้าพูดถึง ณ ตอนนี้ เจ้าปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า chatGPT นั้น ไปไกลถึงขั้นไหนแล้ว?
โดยทาง Elon Musk ได้ให้คำตอบว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของปัญญาประดิษฐ์อย่าง chatGPT-4 นั้น ความสามารถของมัน ณ ตอนนี้ก็คือ มันสามารถเขียนบทกวีได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งคนส่วนใหญ่ ยังเขียนได้ไม่ดีเท่ามัน ดังนั้น มันก็หมายถึงว่า ตอนนี้ chatGPT-4 ได้มีความสามารถเหนือมนุษย์ส่วนใหญ่ในด้านการเขียนบทกวีได้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และเท่าที่เขารู้ก็คือ ไม่มีมนุษย์คนใดบนโลกที่เขียนได้ดีและเขียนได้เร็วกว่า chatGPT ณ ตอนนี้อีกแล้ว แม้แต่ศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง วิลเลียม เชกสเปียร์ ก็ตามที
AI มันฉลาดแค่ไหน?
โดย Elon Musk บอกว่า ณ ตอนนี้ AI มันฉลาดมากพอที่จะโน้มน้าวความคิดของมนุษย์ได้ ในขณะที่มนุษย์นั้น คิดแค่เพียงว่า AI มันเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้ในการช่วยทำงานให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น
คำถามที่ Elon Musk อยากฝากเอาไว้ให้คิดก็คือ ตอนนี้ เรากำลังใช้ AI หรือ AI กำลังหลอกใช้เรากันแน่?
ธนาคารล้มละลายในสหรัฐอเมริกา
ส่วนในช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมานี้ ได้เกิดเหตุการณ์ธนาคารในสหรัฐอเมริกาได้ล้มละลายไปถึง 2-3 แห่ง ภายในเวลาอันรวดเร็ว ในมุมมองของ Elon Musk นั้น เขามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง?
โดยทาง Elon Musk ก็บอกว่า ธนาคารกำลังประสบปัญหาทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว
โดยธนาคารส่วนใหญ่มักจะถือทรัพย์สินที่เป็นอาคารพาณิชย์สำหรับการทำธุรกิจ ซึ่งเคยเป็นทรัพย์สินระดับเกรด A แต่หลังจากที่มีการเปลี่ยนการทำงานเป็นแบบ Work from Home แล้วนั้น ก็ส่งผลให้มีการลดการใช้งานอาคารพาณิชย์อย่างเห็นได้ชัด และก็มีหลายบริษัทที่ล้มละลาย ทำให้ธนาคารเริ่มมีปัญหา เพราะไม่มีใครเช่าซื้ออาคารพาณิชย์เหล่านี้ ทำให้จากเดิมที่อาคารพาณิชย์เป็นอสังหาริมทรัพย์เกรด A ที่มีความปลอดภัยในการลงทุนที่สูง กลับกลายเป็นทรัพย์สินที่ไม่ใช่แบบนั้นซะแล้วในตอนนี้
โดย Elon Musk เขาบอกว่า อย่างในเมือง San Francisco นั้น มีตัวเลขการว่างงานสูงถึง 40%
ดังนั้น เมื่อไม่มีใครเช่าหรือเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ แต่ธนาคารผู้ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ก็ยังคงต้องดำเนินกิจการต่อไป นั่นมันเป็นเรื่องที่แย่แน่ ๆ
และจากมุมมองของ Elon Musk เขาบอกได้เลยว่า แบงค์ล้มละลาย 2-3 แบงค์ที่เป็นข่าวเมื่อต้นปีนี้ มันเป็นอะไรที่เป็นเรื่องเล็กน้อยเอามาก ๆ แต่นั่นมันจะกลายเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างมากภายในช่วงปลายปี 2023 นี้
Real Estate กับการขึ้นดอกเบี้ยของ FED
และจากการที่ทาง FED หรือทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยรัว ๆ นั่นก็ส่งผลให้ คนที่เช่าซื้อบ้านนั้นจะต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และราคาบ้านในตลาดอสังหาตกลง และก็คาดว่าจะมีแนวโน้มที่มีอัตราเร่งเกิดในทิศทางนี้เร็วขึ้นไปอีก
ดังนั้น ตอนนี้ทางธนาคารมีทั้งวิกฤตจากอาคารพาณิชย์ และนี่ก็ยังมีปัญหาเรื่องของบ้านเพื่ออยู่อาศัยอยู่ในพอร์ทโฟลิโอการลงทุนของพวกเขาอีก ธนาคารมีแต่แย่กับแย่อย่างแน่นอน
ซึ่งวิธีการที่จะลดขนาดของความเสียหายนี้ก็คือการลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่ทาง FED กลับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นไปอีกซะอย่างงั้น
ซึ่งเท่าที่เขาจำได้ครั้งสุดท้ายที่ทาง FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้น มันก็เมื่อปี 1929 หรือเมื่อกว่า 94 ปีที่แล้ว ที่เกิด The great depression หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ของโลก
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าต่อจากนี้ก็คือ The Great Depression นั่นเอง
Resources