Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

THE CEO STORY

ประวัติของ Henry John Heinz ผู้ก่อตั้งบริษัท H.J. Heinz ซอสมะเขือเทศที่ทั่วโลกต้องมีติดไว้ในครัวเรือน

บริษัท H.J. Heinz เป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในการแปรรูปอาหาร ซอสมะเขือเทศที่คนบริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาผลิตขึ้นโดย Heinz มีส่วนแบ่งของยอดขายซอสมะเขือเทศประมาณ 30% ของของตลาดทั้งหมด ซึ่ง ณ ปัจจุบัน บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้บริษัทเติบโตแบบไม่หยุดยั้ง

และผู้ก่อตั้ง Heinz ก็คือ Henry John Heinz เป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดและขยันขันแข็งในการทำงานเป็นอย่างมาก และนอกจากนั้นเขายังให้ความสำคัญกับตัวผลิตภัณฑ์และพนักงานที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัท ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคนั้น และส่งผลให้ในปี 2018 แบรนด์ HJ Heinz กลายเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 96 ของโลก ด้วยมูลค่ากว่า 23.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 7.66 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

ชีวประวัติในวัยเด็กของ Henry John Heinz

ครอบครัวของ Heinz มีถิ่นฐานบ้านเกิดที่ประเทศเยอรมันและเป็นครอบครัวที่ผลิตไวน์เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของคนในครอบครัว โดยพ่อของเขา John Henry Heinz เป็นชาวเยอรมันโดยกำเนิด โดยเมื่อตอนอายุได้ 19 ปี พ่อของ Heinz ก็ได้เข้ารับราชการทหารและหลังจากที่ปลดประจำการเขาก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพำนักอาศัยอยู่ในที่มั่นของผู้อพยพชาวเยอรมันในเมือง Pittsburgh รัฐ Pennsylvania โดยพ่อเขาตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานอิฐและเริ่มต้นด้วยการเปิดธุรกิจเล็ก ๆ และได้แต่งงานกับ Anna Margaret Schmidt ซึ่งเป็นลูกสาวของรัฐมนตรี และได้ให้กำเนิดลูก ๆ จำนวน 6 คน โดยลูกคนแรกมีชื่อว่า Henry John Heinz

Henry John Heinz เกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ปี 1844 ที่เมือง Pittsburgh รัฐ Pennsylvania  โดยในวัยเด็กเขาเติบโตมาในครอบครัวที่ขยันขันแข็ง และฝึกให้ลูก ๆ ทุกคนรู้จักอดทนและสู้งาน โดยเมื่อตอนที่ Heinz อายุได้ 6 ขวบ เขาก็ได้เริ่มปลูกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ รอบ ๆ บ้าน และเมื่ออายุได้ 9 ขวบ Heinz ก็ได้เริ่มทำสูตรผักดองและเริ่มขายน้ำสลัดแบบโฮมเมดโดยเรียนรู้สูตรจากคุณแม่ของเขา และคิดว่าอย่างน้อยสิ่งที่เขาทำอยู่นี้ ก็น่าจะทำเงินเพื่อนำมาใช้จ่ายในครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง

เมื่อ Heinz อายุได้ 10 ขวบ พ่อและแม่ของเขาก็ได้รับมรดกที่ดินจากคุณตากว่า 3,000 ตารางเมตร และตอน Heinz อายุได้ 12 ขวบ เขาก็ได้เป็นเจ้าของที่ดินขนาด 12,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นที่ดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผักต่าง ๆ ทำให้การทำสวนทำไร่นั้น กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของ Hienz ซึ่งเวลาแทบทั้งหมดในวัยเด็กของเขาหมดไปกับการทำสวนซะส่วนใหญ่ โดยทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

หลังจากนั้นเขาเริ่มเพาะปลูกพืชผักพื้นเมือง เขาขายผักและผลไม้แก่ชาวพิตส์เบิร์ก Henry ขยายธุรกิจของตัวเอง เขาทำน้ำสลัดสูตรของแม่ลงขายที่ร้านขายของชำ รสชาติของมันคุ้นเคยกับชาวบ้านหลายคน การปรับผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพอย่างดียิ่งขึ้น Henry จึงบรรจุในขวดแก้ว

เมื่อ Henry Heinz จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม สวนของเขาเติบโตขึ้นจนต้องจ้างแรงงาน เมื่อปี ค. ศ. 1861 Henry อายุเพียง 17 ปีเขาได้รับเงินต่อวัน สูงถึง 2,400 เหรียญ

Anna Margaret Schmidt แม่ของ Henry มักจะคอยสนับสนุนเขาในกรณีที่เกิดความผิดพลาด เธอรู้วิธีการปลอบโยนลูกชายของเธอและปลูกฝังความมั่นใจในตัวเขา เธอสอนทักษะการสื่อสารของ Henry นอกจากนี้ Anna Margaret Schmidt ซึ่งเป็นสตรีเคร่งทางศาสนาหวังอย่างยิ่งว่าลูกชายของเธอจะเป็นนักบวช เธอพาเขาไปที่โรงเรียนลูเธอรันด้วย อย่างไรก็ตาม Henry ไม่สนใจการปฏิบัติทางศาสนาเพราะเขารู้สึกกดดัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาออกจากโรงเรียนลูเธอรันและตัดสินใจที่จะเข้ารับการฝึกอบรมทางธุรกิจในวิทยาลัยการเงินชั้นนำของอเมริกาแห่งหนึ่ง คือ Duff’s Mercantile College – Henry J. Heinz เขาจ่ายทุนการศึกษาของเขาด้วยตนเองโดยใช้เงินเก็บจากรายได้จากการขายผักและผลิตภัณฑ์จากสวนของเขา ในโรงเรียน Henry ได้เรียนรู้วิธีการเก็บบันทึกและวิชาการทางบัญชี หลังจากนั้นเขาก็จดบันทึกอย่างต่อเนื่องและทำบัญชีรายได้และค่าใช้จ่ายในธุรกิจของเขา

หลังจากจบการศึกษาจาก Duff’s Mercantile College แล้ว Henry ก็เริ่มทำงานที่โรงอิฐของพ่อเขา เขาได้เรียนรู้ธุรกิจทั้งหมด ทำให้มีการปรับเปลี่ยนการผลิตอิฐเล็กน้อยและสิ่งที่สำคัญที่สุดเขาได้รับเงินคืนเงินภาษี ทันใดนั้นพ่อก็ตระหนักว่าเขาต้องพึ่งลูกชายตัวเอง Henry ดูแลเอกสารทางบัญชีทั้งหมดด้วยความกระตือรือร้น เนื่องจากพ่อของเขาถนัดเป็นช่างฝีมือมากกว่าเป็นนักธุรกิจ ดังนั้นในปี ค. ศ. 1864 Henry อายุ 20 ปี เขาจึงได้ดูแลโรงงานอิฐเกือบจะทั้งหมด ต่อจากนั้นเขาก็สามารถที่จะขยายการผลิตได้ในขณะที่พ่อของเขาไปเยี่ยมญาติที่ประเทศเยอรมนี  ในขณะเดียวกันอิฐก็เริ่มสร้างรายได้ให้กับครอบครัวของ Henry ในที่สุดก็สามารถย้ายจากบ้านหลังเล็ก ๆ ไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่สร้างขึ้นจากอิฐที่ผลิตโดยโรงงานของตนเอง

ก่อตั้งบริษัทร่วมกับเพื่อนที่ชื่อ Heinz & Noble

Henry J. Heinz ยังคงใช้สูตรน้ำสลัดของแม่และเขาพยายามทดสอบอย่างต่อเนื่อง Henry ค้นหาแนวคิดทางธุรกิจใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในปี ค.ศ. 1869 ร่วมกับเพื่อนบ้าน L. Clarence Noble เขาได้เปิดตัวบริษัท ชื่อ Heinz & Noble ทำน้ำสลัด หลังจากขายดีเป็นเวลาหลายปี เขาก็ได้แยกสาขาออกเพื่อทำน้ำส้มสายชู และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตามมา

ในเวลานั้น อุตสาหกรรมเหล็กหล่อได้รับการพัฒนาอย่างดีในพิตสเบิร์กและคนส่วนใหญ่ทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวันดังนั้นจึงไม่มีเวลาเตรียมอาหาร พวกเขาต้องการซื้ออาหารซึ่งพร้อมสำหรับบริโภคได้ทันที มากกว่า 60 บริษัท Henry เลยหยิบแนวโน้มนี้และเริ่มจะจัดหาตลาดที่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเก็บรักษาไว้ได้นาน

ในปี 1869 นี้ เขาแต่งงานกับ Sarah Sloan Young เธอเป็นเชื้อสายไอริช ชาวสก๊อต มีลูกด้วยกันสี่คน เป็นลูกชายสามคน คือ Clarence, Clifford, Howard และลูกสาวอีกหนึ่งคนคือ Irene

บ้านของ Henry หลังเก่าซึ่งตอนนั้นเป็นบ้านโล่ง ๆ หลังจากที่เขาย้ายออกจากครอบครัวไปยังคฤหาสน์ ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นโรงงานการผลิตของ Heinz & Noble ในปี 1874 Henry ได้จ้างแม่บ้านชาวเยอรมันหลายคนทำงานในโรงงาน และในช่วงฤดูใบไม้ผลิพวกเขา ก็ได้ทำข้อตกลงในการซื้อพืชทั้งหมดจากเกษตรกรในท้องถิ่นในราคาคงที่ ซึ่งทำให้มีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำและประหยัดได้กว่าการรับผลลิตจากต่างถิ่นได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ค่าใช้จ่ายของผักอาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ Heinz & Noble ยังซื้อโรงงานผลิตน้ำส้มสายชูในเซนต์หลุยส์มิสซูรี และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จน Henry กลายเป็นผู้ประกอบการที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ในที่สุด

แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถคาดการณ์ให้เกิดขึ้นได้ การเก็บเกี่ยวไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง และผลกระทบด้านเศรษฐกิจในปีนั้น ดังนั้น บริษัทของพวกเขาจึงไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอที่จะทำสัญญากับเกษตรกร แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะได้รับเงินกู้ในธนาคาร แต่ในปี ค. ศ. 1875 วิกฤตการเงินของสหรัฐฯ ได้ปะทุขึ้นส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบเป็นอัมพาต เกษตรกรส่งคำร้องต่อศาลส่งผลให้ Heinz & Noble จัดเข้ากลุ่มเป็นหนึ่งใน 5,000 บริษัทที่ล้มละลาย ทรัพย์สินทั้งหมดต้องถูกขายเพื่อชดเชยการสูญเสียของเกษตรกร 

การล่มสลายของบริษัท และความก้าวหน้าใหม่

หลังจากบริษัทล้มละลาย Henry รู้สึกเครียดอย่างรุนแรง ในช่วงคริสต์มาสปี ค.ศ. 1875 เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดในชีวิตของเขา เนื่องจากเขายังไม่สามารถที่จะซื้อของขวัญให้ลูก ๆ ได้ Henry ยังคงหดหู่อยู่มาก เขาไม่ได้ออกจากบ้านเป็นเวลาหลายเดือน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้แม่ของเขาปลอบประโลมจิตใจและช่วยลูกที่รักให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เธอนำเงินฝากออมทรัพย์ทั้งหมดของเธอให้ Henry เพื่อให้เขาลองคิดทำธุรกิจของเขาอีกครั้ง

ต่อมา Henry ได้ใช้เงินทุนของแม่ จดทะเบียน บริษัท Heinz Food กับญาติของเขา (ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและพี่ชาย John) ทำการผลิตและจำหน่ายซอสมะเขือเทศและน้ำสลัดต่อไป ในความเป็นจริงเขาเป็นประธานของบริษัท แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการตามกฎหมาย เนื่องจากแม่ของเขาเป็นเจ้าของหุ้นมากที่สุด ธุรกิจของ Henry กลายเป็นธุรกิจของครอบครัว  ญาติได้ดำเนินการประชุมคณะกรรมการในช่วงอาหารเย็นของครอบครัว Henry เดินเท้าไปที่ทุ่งนาทุกวันเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังดำเนินไปอย่างไร

เริ่มต้นซอสมะเขือเทศประจำชาติของอเมริกัน

สถานการณ์ของนักธุรกิจวัย 31 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่อที่จะชำระหนี้คืนแก่เกษตรกรทั้งหมดให้จงได้ แม้ว่าในฐานะที่เขาเป็นบุคคลล้มละลายไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้

Henry พยายามอย่างหนัก เขาทบทวนในสิ่งที่เขาได้ทำผิดพลาด ข้อผิดพลาดที่สำคัญเกิดขึ้นในกระบวนการปลูกผัก เขาสรุปได้ว่า บริษัทอาหาร Heinz ควรมีที่ดินเป็นของตัวเองเพื่อควบคุมวงจรการผลิตทั้งหมดโดยเริ่มต้นจากการเพาะปลูกต้นกล้าและจบลงด้วยการส่งผลิตภัณฑ์บรรจุขวดเข้าสู่เครือข่ายการค้า นี่คือวิธีเดียวที่จะรับประกันคุณภาพของผลิตภัณฑ์และเพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากสภาพอากาศหรือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตามธุรกิจที่ยึดตามหลักการของเศรษฐกิจธรรมชาติจะยังคงตกอยู่ในต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับธุรกิจ ดังนั้นเขาต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพด้วย

จากประวัติของ Henry J. Heinz เราได้เรียนรู้ว่าในตอนแรก Henry พยายามทำมัสตาร์ด แต่ในช่วงต้นปี 1876 เขาเป็นผู้ควบคุมการผลิตซอสมะเขือเทศ ปัจจุบันเรียกว่าเครื่องปรุงรสจีน “ke-tsiap” (น้ำเกลือหรือซอสกับปลากระป๋อง) ซึ่งเป็นต้นแบบของซอสมะเขือเทศ ลูกค้าหลีกเลี่ยงมะเขือเทศ แต่ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นในคุณภาพ  แต่เป็นเพราะ ในปี ค. ศ. 1776 มีเรื่องของการที่มีผู้แอบวางยาพิษต่อประธานาธิบดี George Washington ด้วยอาหารที่ทำจากมะเขือเทศ ส่งผลให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงผลผลิตจากมะเขือเทศนั่นเอง

เพราะมะเขือเทศบางสายพันธุ์ โดยเฉพาะที่มีสีเขียวจะมีสารที่เรียกว่า solanine ซึ่งเป็นพิษที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตัวของมะเขือเทศจากสัตว์ที่ชอบกินมัน

และเมื่อชาวอเมริกันได้รับรู้ว่า ไม่ใช่มะเขือเทศทุกสายพันธุ์ที่มีพิษ จึงทำให้เริ่มเปิดใจที่จะบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมะเขือเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งแม่ของ Henry รู้วิธีทำซอสมะเขือเทศให้อร่อยซึ่งเป็นสูตรลับเฉพาะของชาวโบฮิเมีย และนี่คือสูตรซึ่งกลายเป็นสูตรของแบรนด์ซอสมะเขือเทศที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน

ซอสมะเขือเทศที่ทำจากมะเขือเทศสดที่ปลูกโดย Henry ในเขตเพนซิลเวเนีย (เพื่อให้ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ว่าใช้เฉพาะมะเขือเทศที่คัดพิเศษเท่านั้น) เป็นความสำเร็จอย่างยิ่ง มันเป็นซอสมะเขือเทศมีผู้บริโภคชื่นชอบเนื่องจากสามารถปรับปรุงรสชาติของผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายตั้งแต่ใช้ในการประกอบอาหารกับไส้กรอกไปจนถึงพาสต้า

Henry ยังคงคิดวิธียืดอายุของการเก็บรักษาซอสและการหมักซอสมะเขือเทศไห้ได้นานขึ้น ตามด้วยการทำผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ซอสที่ทำจากพริกแดงและพริกเขียว น้ำส้มสายชูจากแอปเปิ้ล น้ำมันมะกอก หัวหอมดอง กะหล่ำปลี ถั่วอบและผักดอง ขึ้นมา

Henry เริ่มฟื้นตัวหลังจากล้มละลายในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อ Henry ต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับเกษตรกรและร้านขายของชำในพิตส์เบิร์ก เขาสัญญาว่าจะคืนเงินทั้งหมดนี้ไปเป็นเปอร์เซ็นต์ สุดท้ายแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วบุคคลล้มละลายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เมื่อรายได้ของเขากลายเป็นเรื่องสำคัญ Henry ผู้มีความซื่อสัตย์และมโนธรรม ค่อย ๆ เริ่มจ่ายหนี้ของเขาเป็นเวลา 5 ปี เพื่อใช้หนี้พวกเขาทั้งหมด หลังจากนั้น Henry ก็กลายเป็นประธานบริษัท ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังพิตส์เบิร์กเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกา

คุณภาพการผลิตและแรงจูงใจของพนักงาน

Henry พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขามีคุณภาพสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาได้จัดระบบต่าง ๆ ในการควบคุมคุณภาพนำเทคโนโลยีใหม่และทดลองใช้บรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เขาเชื่อว่าบรรจุภัณฑ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ เขาสังเกตเห็นว่าผู้บริโภคไม่ไว้วางใจในอาหารกระป๋องและในขวดที่ทึบแสง Henry คิดว่าลูกค้าควรจะเห็นสินค้าบรรจุอยู่ภายในและเริ่มใช้ขวดแก้วสำหรับซอสมะเขือเทศของเขา แพ็คเกจนี้มีข้อดีข้อเสียแน่นอนมันแสดงให้เห็นสีแดงที่สวยงามของซอสให้กับผู้ซื้อและเพิ่มความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต แต่ในทางกลับกันซอสมะเขือเทศมักจะมีสีคล้ำขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปทำให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะไม่สมบูรณ์ Henry คิดค้นวิธีขจัดข้อเสียนี้ เขาเริ่มใช้กาวติดฉลากรอบ ๆ คอขวด

เมื่อเวลาผ่านไป บริษัท ได้ขยายกิจการและเพิ่มจำนวนพนักงานขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาใหม่ ในฤดูร้อนปี ค.ศ.1892 พนักงานของ บริษัท คาร์เนกีสตีล ซึ่งตั้งอยู่ในพิตส์เบิร์กรัฐเพนซิลเวเนียได้ทำการประท้วงต่อต้านการไล่ออกจากงาน มีผู้เสียชีวิต 10 รายในระหว่างการต่อสู้กับฝ่ายความมั่นคงของโรงงานและหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บ เพื่อยุติความขัดแย้งนี้ผู้ว่าการเพนซิลเวเนียได้แนะนำกองกำลังทหารเข้าเมือง

Henry J. Heinz รู้สึกตกใจกับคดีนี้ ดังนั้น ในทันทีเขาเริ่มปรับปรุงสภาพการทำงานและเพิ่มสวัสดิการในโรงงานของเขา คนงานของ Henry ได้หยุดพักระหว่างวัน พวกเขายังสามารถอาบน้ำหลังจากการทำงานกะได้ ผู้หญิงทุกคนได้รับผ้ากันเปื้อนและหมวก คนที่ปอกเปลือกผักได้รับการทำเล็บมือฟรีสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้พนักงานโรงงานทุกคนยังได้รับบริการทางการแพทย์ฟรี

โรงงานของ Henry มีบรรยากาศแบบครอบครัว มีข้อกำหนดด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดมาก ไม่มีบริษัทอื่นที่ผลิตอาหารสามารถแข่งขันกับ Henry ในด้านสุขอนามัยได้ 

ด้านการเพาะปลูกของผักและผลไม้ Henry เป็นนักธุรกิจรายแรกที่ทำหน้าที่หลักในการผลิตอาหารอินทรีย์ นอกจากนี้ Henry ยังไม่เคยใช้สารกันบูดในผลิตภัณฑ์ของเขา นอกจากนี้เขาไม่เคยคิดว่าผู้ผลิตรายอื่นจะเป็นคู่แข่งของเขาในแง่ของคุณภาพได้เลย

โฆษณาสินค้าของไฮนซ์

Henry ได้เดินทางไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของบริษัทในขบวนรถไฟ เขาเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคต้องได้ทดลองผลิตภัณฑ์เพื่อที่จะซื้อ ร้าน Heinz แต่ละร้านได้รับตัวอย่างผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้เขายังได้คิดค้นช้อนที่สามารถทิ้งได้ทันทีหลังจากทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ 

Henry จะเดินทางไปหลายเที่ยวจากพิตส์เบิร์กไปยังนิวยอร์กในหนึ่งวันเรียกการเดินทางว่า “โรงเรียนแห่งชีวิต” เขามักจดบันทึกข้อสังเกตของเขาตลอดการเดินทาง

ในปี ค.ศ. 1983 Henry เข้าร่วมงาน The World’s Columbian Exposition ในชิคาโก ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 400 ปีที่โคลัมบัส ได้ค้นพบดินแดนใหม่นั่นก็คือประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งในงานนี้เขาได้รับบูธที่ชั้นสามของนิทรรศการ  เพื่อดึงดูดลูกค้า เขาพิมพ์ป้ายฟอยล์สีทองลงในฉลากว่า ป้ายนี้สามารถแลกเป็นของรางวัลฟรีในบูธบนชั้นสามและกระจายไปทั่วสถานที่ คนสนใจมากที่จะได้รับของขวัญ พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปที่บูธ มีสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือกระป๋องและขวดผลิตภัณฑ์ Heinz จำนวนมาก ที่วางจำหน่ายในรูปแบบของพีระมิด ขอบคุณความเฉลียวฉลาดของ Henry ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขาได้กลายเป็นจุดเด่น

อาณาจักรของมะเขือเทศ

บริษัท HJ Heinz กลายเป็นธุรกิจของครอบครัวอย่างแท้จริง  ญาติของ Henry หลายคนที่ทำงานในบริษัท 

เขาค่อย ๆ สอนลูกชายของเขาและพวกเขาก็เริ่มทำงานในบริษัท แม้ว่า Henry จะปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างสุภาพ แต่เขาก็สามารถใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดได้อย่างง่ายดายหากเห็นว่ามีคนไม่ดี เมื่อเขาต้องเลิกจ้างพี่ชายของจอห์นเมื่อผลการดำเนินงานแย่ลง (เข้าทำงานก็สายและทำงานได้ช้ามาก) เพื่อประโยชน์ของบริษัท และความมั่นคงในอนาคตของเขา เขาต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก ญาติของเขามีหน้าที่ปฏิบัติงานเช่นเดียวกับคนงานคนอื่น ๆ ของบริษัท

ในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1886 Henry J. Heinz ตกลงที่จะเดินทางไปยุโรปตามที่ครอบครัวของเขาร้องขอ เมื่อมาถึงลอนดอน Henry ก็ไปคุยกับผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของห้างสรรพสินค้า Fortnum & Mason ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายของราชวงศ์อังกฤษและแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของเขา 

ผู้จัดการรับซื้อของนี้ทั้งหมด ดังนั้นอังกฤษกลายเป็นตลาดต่างประเทศแห่งแรกที่ขายแบรนด์ Heinz หลังจากนั้นอีกสิบปีต่อมายอดขายก็เพิ่มขึ้นแบบขีดสุด Henry จึงจำเป็นต้องเปิดสำนักงานในลอนดอนซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Tower of London และต่อจากนี้เขาได้สร้างโรงงานและซื้อแปลงที่ดินขนาดใหญ่ที่นั่นเช่นกัน ซึ่งทำให้ชาวอังกฤษหลายคนเชื่อว่า Heinz เป็นบริษัทของอังกฤษ

บ้าน Sarah Heinz

ในปี ค. ศ. 1898 Henry ได้ออกจากสหรัฐฯ เพื่อกลับไปเยี่ยมบรรพบุรุษของเขาในประเทศเยอรมนี เขาเดินทางไปกับภรรยาของเขา Sarah Sloan Young Heinz ซึ่งหวังว่าจะได้พบแพทย์คนหนึ่งในยุโรปเพื่อรักษาอาการเจ็บหน้าอก 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Henry เริ่มเดินทางมาเยี่ยมบ้านเกิดของตนทุกปี งานของ Henry J. Heinz จำเป็นต้องเดินทางไปทั่วโลกตลอดเวลา แต่เขาใช้เวลาในวันหยุดพักผ่อนของเขาในเยอรมนี

ครอบครัวของ Henry กลับมายังสหรัฐฯ อาการของ Sarah ไม่ดีขึ้นหลังการเดินทาง อาการเจ็บหน้าอกของเธอรุนแรงขึ้น จนในที่สุด ภรรยาของเขาก็เสียชีวิตลงเมื่ออายุ 51 ปี หลังจากการตายของภรรยา Henry ได้สร้างบ้านโดยตั้งชื่อให้ว่า “Sarah Heinz” เพื่อระลึกถึงเธอไว้ในความทรงจำ ทุกวันนี้บ้านหลังดังกล่าวกลายเป็นศูนย์เยาวชน (เป็นสถานที่จัดงานบันเทิงและกีฬามากมาย) และหลังจากนั้น Henry ก็ไม่เคยได้แต่งงานใหม่อีกเลย

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและหลบหนีจากเยอรมนี

ในแต่ละปีที่ Henry J. Heinz เคยไปเที่ยวพักผ่อนที่รีสอร์ทสุดหรู “Bad Kissingen” ในประเทศเยอรมนีของเขา อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงที่นั่นในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1914 Henry ก็ไม่มีโอกาสได้พักผ่อน ทันใดนั้นเขาก็ถูกทหารเยอรมันห้ามไม่ให้ออกจากโรงแรม ให้อยู่แต่ในห้องพักของเขา ในพื้นที่ Bad Kissingen ในสมัยนั้น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเพิ่งเริ่มต้นขึ้น Henry หลบหนีออกจากเยอรมนี ผ่านทางฮอลแลนด์และไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกเลย

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายแก่ชาวเยอรมันในประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นห้ามใช้ภาษาเยอรมันในโรงเรียนและห้ามไม่ให้พูดภาษาเยอรมัน ครอบครัวของ Henry จึงหยุดพูดภาษาเยอรมันและตัดการติดต่อทั้งหมดกับญาติที่อยู่ในฝั่งของประเทศเยอรมัน

Henry ทำงานจวบจนถึงวันสุดท้าย และจากไปในวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1919 ในวัย 74 ปี โดยลูกจ้างของเขาได้ระดมเงินและตั้งอนุสาวรีย์ ที่สามารถพบได้ในอาคารหลักของบริษัท และก่อนที่เขาจะจากไป Henry ได้ขอให้สร้างโบสถ์เพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ของเขา โดย ณ ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ในวิทยาเขตพิตส์เบิร์ก

มรดก Henry J. Heinz

หลังจาก Henry J. Heinz เสียชีวิต Howard Heinz ลูกชายของเขาเข้ามาบริหารกิจการ ในการทำงานของเขา เขายังคงปฏิบัติตามหลักการของพ่อ

บริษัทต้องใช้วงจรการผลิตของบริษัทเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ  บริษัทของ Heinz อยู่รอดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทั้งยังเป็นต้นแบบการผลิตอาหารทารกและซุปพร้อมรับประทาน การขายและอำนาจอันยิ่งใหญ่ของ บริษัท HJ Heinz เติบโตขึ้นทุกวัน Howard Heinz แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้บริหารที่มีอำนาจมากซึ่งสามารถคาดการณ์ความต้องการของตลาดได้

ในปี ค. ศ. 1941 HJ “Jack” Heinz II ผู้เป็นหลานชายของผู้ก่อตั้งบริษัท เขาได้รับเงินเป็นจำนวนมากโดยการจัดหาผลิตภัณฑ์ของ Heinz ให้กับกองทัพ  แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถขยายธุรกิจของครอบครัวโดยการสร้างโรงงานทั่วโลกรวมทั้งโปรตุเกส เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ อิตาลีและประเทศอื่น ๆ

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 ก็เกิดดีลครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนธุรกิจโลกอีกครั้งเมื่อบริษัท Berkshire Hathaway ที่เจ้าของคือเจ้าพ่อการลงทุนอย่าง Warren Buffett ได้เข้าซื้อกิจการของ Heinz ด้วยมูลค่ากว่า 28,000 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 9 แสนล้านบาท ร่วมกับพันธมิตรอย่าง – 3G Capital ที่เป็นของมหาเศรษฐีของบราซิลนามว่า Jorge Paulo Lemann ข้อตกลงนี้กลายเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์อาหาร ณ ขณะนั้นเลยทีเดียว

Henry John Heinz เคยกล่าวไว้ว่า

“Protect the consumer by owning the product all the way from the soil to the table.”

หมายถึง ปกป้องลูกค้าของคุณด้วยการเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ยันเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร

วันนี้เราสามารถพูดได้ว่าเขาบรรลุเป้าหมายนี้ในชีวิตของเขาอย่างแน่นอนแล้ว ได้อ่านชีวประวัติของ Henry J. Heinz และเรื่องราวความสำเร็จที่น่าทึ่งของ บริษัท HJ Heinz แล้วคุณจะได้แรงบันดาลใจให้คุณค้นพบสิ่งใหม่ ๆ

Resources: