Raoul Pal คืออดีตผู้บริหารจากบริษัทการลงทุนยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs ที่เขาผันตัวเองจากโลกการเงินแบบดั้งเดิมสู่โลกการเงินในวงการ crypto ซึ่งสไตล์การลงทุนของเขานั้นจะเน้นที่การมองภาพรวมใหญ่ของตลาดเงินทั้งโลก ดังนั้นมุมมองของเขาจึงเป็นสิ่งที่เราควรฟังและนำไปพิจารณาต่อว่า เขามีมุมมองอย่างไรต่อการลงทุนในโลกของ crypto
โดยเนื้อหาในคอนเท้นต์นี้เป็นการสัมภาษณ์จาก Youtube ช่อง Minority Mindset ที่สัมภาษณ์ Raoul Pal โดยเปิดประเด็นคำถามอย่างหนักหน่วงตั้งแต่นาทีแรกว่า “เพราะเหตุใดผู้คนจึงต้องให้ความสนใจใน cryptocurrency ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ และ cryptocurrency จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ยังไง?”
เริ่มต้นกันที่ ทำไมผู้คนจึงต้องให้ความสนใจในโลกของ cryptocurrency ณ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ นั่นก็เป็นเพราะ นี่คือเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เกิดจากเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตมาก่อน ซึ่งย้อนกลับไปในปี 1990 ถึงปี 2000 ในยุคนั้นอินเตอร์เน็ตมีการเติบโตอยู่ที่ราว ๆ เฉลี่ย 63% ต่อปี ซึ่งในปี 1997 มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ราว ๆ 150 ล้านคนทั่วโลก ซึ่ง ณ ตอนที่เราคุยกันอยู่นี้ในปี 2021 ผู้มีผู้ใช้งาน crypto แล้วราว ๆ 150-200 ล้านคนทั่วโลก โดยมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานเฉลี่ย 113% ต่อปี ซึ่งโตเร็วเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับยุคของอินเตอร์เน็ต
แล้วสิ่งนี้มันหมายถึงอะไร สิ่งนี้มันหมายถึงการเติบโตของ Network หรือเครือข่ายผู้ใช้งาน มันเป็นยุคการเติบโตของ Network of Money, Network of Value หรือ เครื่อข่ายของเงินหรือเครือข่ายของผู้สะสมคุณค่า
ซึ่งหากเปรียบเทียบในยุคอินเตอร์เน็ต Network หรือเครือข่ายที่ทรงพลังและเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการนี้ก็คือ Facebook ที่เรามักจะคุ้นหูกับคำว่า Social Network หรือสังคมเครือข่ายผู้ใช้งาน ที่เฉพาะ Facebook เจ้าเดียวก็มีมูลค่ากว่า $1 Trillion Dollar เข้าไปแล้ว
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า มีเศรษฐกิจและธุรกิจเกิดขึ้นใหม่อย่างมากมายบนตัวของ Facebook อีกทีหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกันของผู้คนบน Social Network ในการสร้างรายได้ ได้อย่างมหาศาล และเช่นเดียวกันทาง Facebook เองก็สามารถทำรายได้จากการให้บริการการเชื่อมต่อของผู้คนในการทำเงินเข้าบริษัทตนเองได้อย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน
ดังนั้นการที่ Facebook สามารถหาประโยชน์ได้จาก Social Network ก็ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นรวยเละ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ใช้งานบน Facebook หัวสมองเละเช่นเดียวกัน เพราะโดน Feed ถล่มใส่หน้าจอในแต่ละวัน
แต่เมื่อพูดถึง Network ในโลกของ crypto แล้วนั้นกลับแตกต่างออกไป เพราะจากเดิมที่ Social Network นั้นมีเจ้าของเป็นผู้คุม แต่ในขณะที่โลกของ crypto นั้น ผู้ที่ใช้งานก็กลับเป็นเจ้าของร่วมใน network ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างจากเครือข่ายของ bitcoin ซึ่งคนที่เข้ามาใช้เครือข่ายนี้ก็คือหนึ่งในสมาชิกของ network และในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของ bitcoin ส่วนหนึ่งไปด้วย
ดังนั้นยิ่งมีผู้ใช้งานเข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ Network Effect นี้มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ตามกฏของ “เมตคาล์ฟ” (Metcalfe’s law) ที่คุณค่าสิ่งนั้นมันจะมีคุณค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อมีผู้ใช้งานเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่าง เช่น เครือข่ายโทรศัพท์นั้น จะไม่มีค่าอะไรเลย หากมีเราใช้งานแค่คนเดียว เพราะถ้าเราใช้งานแค่คนเดียวเราก็ไม่รู้จะใช้มันเพื่อโทรหาใคร มันก็ไม่ต่างอะไรกับของตั้งโชว์ชิ้นหนึ่ง
หรืออย่าง Facebook ก็จะไม่มีค่าอะไรเลย หากมีเราใช้แค่คนเดียว ไม่มีเพื่อน ๆ คนไหนมาใช้งานมันเลย
เช่นเดียวกันกับในโลกของ crypto นั้นจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากการที่ผู้คนเข้ามาใช้งานเป็นจำนวนมาก และจากสถิติก็เห็นว่า มันมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานที่เร็วที่สุดในโลก เร็วกว่ายุคของอินเตอร์เน็ตถึงสองเท่า
ดังนั้นจากคำถามที่ว่า ทำไมเราจึงต้องแคร์ ต้องสนใจในการมาของโลก crypto โดยเราสามารถดูเทียบได้จากโลกของอินเตอร์เน็ตในช่วงปี 1997 ซึ่ง หาก ณ ตอนนั้น ใครก็ตามที่สามารถเกาะเทรนด์อินเตอร์เน็ตได้ก่อน ก็จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบและสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างมหาศาล ดังนั้น นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด โอกาสที่ดีที่สุดอีกครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ ที่สามารถใช้โอกาสนี้ในการเข้าตลาด crypto ก่อนใคร เพราะตอนนี้มีผู้ใช้งานทั่วโลกแค่เพียง 150-200 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่ผู้คนบนโลกที่มีเกือบ ๆ 8 พันล้านคน
ดังนั้นหากลองมองในมุมของคณิตศาสตร์กันสักหน่อยก็จะพบว่า หากอัตราการเติบโตผู้ใช้งานบนโลก crypto ยังคงอยู่ในอัตรานี้อยู่ ที่ราว ๆ 113% ต่อปี ซึ่งทาง Raoul Pal ต่อให้เหลือแค่ 83% ต่อปี ก็จะได้ว่า นับไปจากปัจจุบันที่มีผู้ใช้งานราว ๆ 150-200 ล้านคน มันจะเติบโตเป็นพันล้านคนภายในปี 2024 หรือนับจากนี้ไปอีกแค่เพียง 3 ปีเท่านั้น! และมันจะพุ่งขึ้นเป็น 4 พันล้านคนภายในช่วง 10 ปีต่อจากนี้
ซึ่งถ้าโลก crypto คือโลกของเครือข่ายของเงินหรือ Money Network แล้วล่ะก็ มูลค่าของตลาดนี้จะพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล โดยคุณจะเห็นได้จากการมาของโลกอินเตอร์เน็ต ที่ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ ธุรกิจแบบใหม่ ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมากมายทั่วทั้งโลก
ทีนี้มาดูตัวเลขขนาดตลาดเงินกันบ้าง โดย ณ ตอนนี้มูลค่าของตลาด crypto อยู่ที่ราว ๆ $2 Trillion โดยเป็น bitcoin ประมาณ $1 Trillion ซึ่งก็ฟังดูเหมือนเยอะแล้ว เพราะขนาดของ Facebook เจ้าเดียวก็ยังมีขนาดตั้ง $1 Trillion
แต่พอไปดูขนาดของตลาดทรัพย์สินอื่น ๆ (Asset) ก็จะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์(Real Estate)หรืออย่างตลาดตราสารหนี้(Bond) เหล่านี้แต่ละตลาดมีมูลค่าสูงถึง $100 – $300 Trillion กันแทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากว่ากันตามตัวเลขสถิติแล้วก็จะพบว่า โอกาสที่ตลาด crypto จะเติบโตนั้นมีโอกาสเติบโตไปที่ $100-$300 Trillion ได้เช่นกัน หรือโอกาสที่ตลาด crypto จะเติบโตนั้นมีได้อีกเป็น 100 เท่า (ซึ่งหมายถึงทั้งตลาดนะครับ ไม่ใช่เฉพาะเหรียญใดเหรียญหนึ่ง)
และความพิเศษอย่างหนึ่งที่ crypto นั้นมีไม่เหมือนตลาดแบบดั้งเดิมก็คือ มันมีเรื่องของเทคโนโลยี blockchain ที่สามารถทำให้ผู้คนสามารถกักเก็บมูลค่าหรือ store of value ไว้กับตนเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ เพราะผู้คนสามารถเก็บมันไว้บน blockchain ได้ด้วยตนเองได้เลย โดยนี่จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะเป็นจุดเปลี่ยนในการเกิด Business Model ใหม่ ๆ ในโลกธุรกิจ
ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าราคาของ bitcoin ในวันนั้นจะเป็นเท่าไหร่ จะกี่ล้านบาทก็ตามที แต่มันสามารถแบ่งแยกย่อยได้ถึง 8 จุดทศนิยม นั่นหมายความว่า ต่อให้คุณมีเงินแค่ 10 บาท ก็สามารถเริ่มซื้อ bitcoin ได้แล้วอย่างในไทยก็ Bitkub หรืออย่างบน Binance ก็เริ่มต้นที่ $10 และหลังจากที่เราโอน bitcoin จาก Exchange กระดานเทรดไปยังกระเป๋าดิจิตอลบน blockchain เรียบร้อยแล้วนั้น อำนาจในการควบคุมเงินเป็นของเราทั้งหมด ปราศจากตัวกลางอย่างธนาคาร ที่ต้องใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก และบวกกับกฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่อำนาจทั้งหมดขึ้นอยู่กับธนาคารไม่ใช่กับผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ
แต่อย่างที่เรารู้ว่าในช่วงปี 2020 ถึง 2021 ที่ผ่านมาทางรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีการปริ้นท์เงินกระดาษเป็นจำนวนมหาศาลมาก นั่นมันทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ถูกลดทอนลง เพราะอย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้ว ว่าอะไรที่มีมากจนเกินไปคุณค่าของมันด้อยลง ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้คน เริ่มพากันย้ายเงินของตนเองจากธนาคารเข้าสู่โลก crypto
และแน่นอนว่าเหล่าบรรดาธนาคารไม่ชอบที่ผู้คนกำลังนำเงินออกจากระบบแบงค์ไปสู่โลกคริปโทฯ ดังนั้น กลยุทธ์การปริ้นท์เงินดอลล่าร์ของพวกเขา มีประโยชน์แอบแฝงที่เกิดขึ้นกับเหล่าบรรดาประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังคงเป็นหนี้ธนาคารอยู่ นั่นก็คือ เมื่อทำการปริ้นท์เงินจำนวนมาก มันก็จะส่งผลให้ค่าเงินลดลง ก็เหมือนกับคนที่เป็นหนี้แบงค์มีหนี้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ค่าแรงไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต่อให้ขยันหรือพยายามทำงานหาเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถใช้หนี้ได้หมดง่าย ๆ ดังนั้นผู้คนก็จะยังคงอยู่ในระบบของแบงค์อยู่ ไปไหนไม่ได้ แถมพอค่าเงินลดลง เวลาใครสักคนจะไปหาซื้อ Asset หรือทรัพย์สินติดตัวเอาไว้ ก็จะพบว่าราคาของทรัพย์สินต่าง ๆ ก็พากันขึ้นราคาไปอีก ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คนไหนที่เป็นหนี้ธนาคารแล้วต้องการที่ออกจากระบบนี้ด้วยการไปสั่งสมความมั่งคั่งจากการซื้อทรัพย์สินที่แพงขึ้นด้วยนั้น เป็นไปได้ยากมากขึ้น
และธนาคารทั่วโลกต่างก็กำลังตื่นตัวเรื่องของการสร้างสกุลเงินของธนาคารเองอย่าง CBDC : Central Bank Digital Currency ที่แม้ว่าจะเป็นสกุลเงินดิจตอล แต่มันก็ยังมีค่าเท่ากับเงินกระดาษที่ถูกด้อยค่าลงในทุก ๆ ปี เฉกเช่นเดียวกันกับเงิน fiat เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เพิ่มเติมคือมันเก็บ data หรือข้อมูลได้ง่ายขึ้น ส่งผ่านได้ง่ายขึ้น
ส่วน ณ ตอนนี้เหล่าบรรดาธนาคารอาจจะยังไม่มองว่า bitcoin มันเป็นคู่แข่งตัวฉกาจมากนัก เพราะมันมีขนาดแค่เพียง $1 Trillion เท่านั้น มันเล็กมากเมื่อเทียบกับปริมาณเงินทั้งโลก ดังนั้นพวกเขาอาจจะนับมันเป็นคู่แข่งที่สูสีในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ก็ค่อยมาดูกันอีกทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น
คำถามต่อมาก็คือ ตกลงแล้วผู้คนใช้ crypto เป็นเงินหรือเป็นทรัพย์สินในการลงทุนกันแน่ โดย Roual Pal ก็ตอบว่า มันเป็นทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
เพราะในเวลานี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะเก็บเงินไว้ในธนาคาร แต่ก็เริ่มมีคนบางกลุ่มที่เริ่มย้ายเงินจากธนาคารมาอยู่บนโลกคริปโทฯ กัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ส่วนของ Roual Pal เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเงินดอลล่าร์ เพราะเขาก็ยังใช้เงินดอลล่าร์ในการแปลกเปลี่ยนไปเป็น cryptocurrency แต่เขายอมรับว่า สำหรับเงินฝากทั้งหมดในธนาคารนั้น เขาย้ายไปเก็บอยู่บนโลก crypto แล้วจำนวน 100% และต้องยอมรับว่าการลงทุนในโลก crypto นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก แต่เขาก็ยอมรับความเสี่ยงนั้นได้
แล้วคำถามก็มาก็คือ แล้วถ้าเอาเงินทั้งหมดไปลงในโลก crypto แล้ว จะเอาเงินที่ไหนกินที่ไหนใช้ในโลกปัจจุบันที่ยังคงใช้เงิน fiat แลกเปลี่ยนกันอยู่ล่ะ?
โดย Raoul Pal ก็ตอบว่า เคล็ดลับของเขาคือ เขาอยู่ได้ด้วยการมีรายได้เข้ามาอยู่ในทุก ๆ เดือน จากการทำงาน จากการทำธุรกิจ Real Vision และเขาก็มีบ้านเป็นของตัวเองที่ไม่ได้เป็นหนี้แบงค์ ดังนั้นหากเงินเขาเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ก็จะเปลี่ยนมันเป็น crypto ให้หมด ซึ่งแม้ว่าเขาจะสูญเงินในโลก crypto ทั้งหมดไป แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีรายได้และมีบ้านเอาไว้ให้ซุกหัวนอนอยู่
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำก่อนมาลงทุนในโลก crypto คุณควรสร้างฐานที่มั่นคงให้กับตนเองในโลกจริงเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้ที่พอเพียงแก่การใช้ชีวิต มีบ้านปลอดหนี้เอาไว้ซุกหัวนอนโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมายึดมันไปจากคุณ ไม่มีหนี้เสียจากการอุปโภคบริโภคและมีเงินเก็บพอใช้แบบไม่ลำบากก่อน
ดังนั้นการลงทุนในโลก crypto มีความเสี่ยงสูง แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่เขายอมรับได้ เมื่อดูจากโอกาสที่จะได้กลับคืนมาอย่างมหาศาล
แต่ในขณะที่คนรุ่นใหม่นี้จะได้เปรียบอย่างมากในการศึกษาจากการลองลงทุนในสนามจริง เพราะคนรุ่นใหม่ข้อได้เปรียบที่สุดก็คือ พวกเขายังไม่ได้ก่อหนี้ก้อนใหญ่ อย่างเช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ พวกเขาไม่มีอะไรจะเสีย ดังนั้นต่อให้พวกเขาขาดทุนจากการลงทุน ก็ไม่เจ็บตัวมากนัก และยังมีอายุน้อยในการฟื้นตัว นี่คือข้อได้เปรียบของพวกเขา หากพวกเขาเลือกที่จะใช้ข้อได้เปรียบนี้ให้เป็นประโยชน์
ส่วนที่หลายคนมักมองว่า bitcoin ใกล้ถึงคราวฟองสบู่แตกนั้น Raoul Pal ก็ตอบว่า หากเรามองกรอบในระยะสั้นก็จะพบว่า มันน่ากลัวมากที่ราคาของ bitcoin ตกลงทีนึงอาจสูงถึง 70% แต่บางครั้งก็พุ่งขึ้น 700% แต่โดยรวม ๆ แล้ว bitcoin กลับเติบโตเฉลี่ยปีละกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น หากดูในภาพใหญ่ระยะยาวตลอดสิบกว่าปีจะพบว่า ราคาของมันมีแต่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะจากกราฟราคาของ bitcoin จะเห็นได้ว่า มันมี Cycle หรือมันมีรอบของมัน โดยมันจะเรียกว่า bitcoin halving cycle ที่เฉลี่ยทุก ๆ 4 ปี ในอัลกอลิทึ่มหรือโค้ดโปรแกรมที่ถูกเขียนไว้ตั้งแต่แรกบนบิตคอยน์นั้น กำหนดเอาไว้ว่า ทุก ๆ 4 ปี bitcoin จะถูกผลิตออกมาเหลือแค่เพียงครึ่งเดียวของรอบก่อนหน้านี้ นั่นหมายถึงว่า ยิ่งวันเวลาผ่านไป จำนวน bitcoin หาได้ยากขึ้น แต่คนกลับต้องการมากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่ราคาของมันจะสูงขึ้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ตามหลัก Demand&Supply
ซึ่งจากกราฟจะเห็นได้ว่า ราคาจะพุ่งเป็นอย่างมากหลังเกิด Halving และจะตกลงในเวลาต่อมา แต่การตกลงต่ำสุดในแต่ละรอบ จะสังเกตได้ว่า มันไม่เคยต่ำกว่าราคาสูงที่สุดของรอบก่อนหน้านี้เลย นั่นมันจึงแสดงให้เห็นว่า มันเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว
โดยการลงทุนใน bitcoin จะเห็นผลกำไรได้อย่างดีก็ต่อเมื่อเป็นการลงทุนในระยะยาวสัก 3-4 ปีขึ้นไป ดังนั้น Raoul Pal เขาจึงสรุปได้ว่า มันเป็น Asset ที่มีค่า Volatility หรือค่าความผันผวนที่สูง แต่เป็น Asset ที่เติบโตเป็นอย่างมากในระยะยาว
แล้วมาติดตามต่อกันใน Episode ต่อไปกันนะครับ
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง