วิธีสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยในยุค Bitcoin by Raoul Pal EP.2 ตอน วิธีเลือกเหรียญในการลงทุน
จาก Episode ที่ 1 ได้พูดถึงไปแล้วว่า เพราะเหตุใดเราจึงควรให้ความสนใจในการมาของ Cryptocurrency คำถามต่อมาก็คือ ทำไมในโลกของ crypto จึงมีเหรียญหลายสกุลมาก ๆ มันแตกต่างกันอย่างไร Raoul Pal คุณช่วยยกตัวอย่างระหว่าง Bitcoin กับ Ethereum ได้ไหมว่า ระหว่างสองเหรียญนี้มันคืออะไรยังไงบ้าง
โดย Raoul Pal เริ่มต้นที่การอธิบายเกี่ยวกับ Bitcoin ก่อน โดย Bitcoin นั้นคือ ‘พ่อทุกสถาบัน’ ในเหล่าบรรดา cryptocurrency ทั้งหมดทั้งมวลที่มีอยู่ในตลาด โดยเกิดจากไอเดียที่ต้องการนำเสนอ bitcoin ในรูปแบบของความเป็น Money เป็นแหล่งเก็บสะสมความมั่งคั่งหรือ Store of Value และเป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวคิดการนำไปใช้กับเทคโนโลยี Blockchain มันถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวนจำกัด มีเครือข่ายแบบกระจายศูนย์อย่างมหาศาลที่สร้างความปลอดภัยที่สูงมากให้แก่ระบบ มันจึงกลายมาเป็นทรัพย์สินที่ผู้คนยอมรับหลายล้านคนทั่วโลก และนั่นคือคำจำกัดความของ bitcoin
และด้วยความที่มันถูกสร้างเพื่อให้มีความปลอดภัยที่สูงมาก มันจึงส่งผลให้มีความเร็วในการทำธุรกรรมที่ช้า จนกระทั่งในปี 2015 ก็มีการสร้าง Ethereum ขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์ในการแก้ไขปัญหาหลัก ๆ อยู่สองอย่างก็คือ การทำธุรกรรมได้เร็วยิ่งขึ้นและสามารถสร้าง Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะบน blockchain ได้ แปลความหมายก็คือ เราสามารถเขียนโปรแกรมที่มีเงื่อนไขอย่างชัดเจนลงบนบล็อกเชนได้ เช่น ถ้าเกิด A ให้ทำ B แต่มันก็ดูเหมือนไปไม่รอดเพราะในช่วงปี 2018 – 2019 นั้น ตลาดคริปโทฯ ได้พังคลืนลงมา
จนกระทั่งในเวลาต่อมาก็ได้มีการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในกลุ่มของ DeFi – Decentralized Finance และ NFT – Non Fungible Token เกิดขึ้นบน Ethereum ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลจนส่งผลให้ Ethereum มี Network Effect ที่แข็งแกร่งขึ้นมา และมันเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าหากให้จำกัดความหมายของ Ethereum นั้นก็คงเป็น Software Platform สำหรับการสร้าง Value บนอินเตอร์เน็ต ที่มีเหล่าบรรดาคนระดับหัวกะทิที่เก่งทั้งในด้านเทคโนโลยีการเงินบวกกับด้านคณิตศาสตร์จากทั่วโลกเข้ามาเพื่อเขียนโค้ด สร้างแอพพลิเคชั่นแบบกระจายศูนย์ลงบน Blockchain ของ Ethereum และก็ต้องยอมรับว่าเมื่อมันถูกปรับแต่งให้มีความเร็วในการทำธุรกรรมที่เร็วขึ้น ก็ทำให้ค่าความปลอดภัยนั้นลดลง
และก็แน่นอนว่า แต่ละบล็อกเชนนั้นก็มีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกันออกไป จึงทำให้เกิดกลุ่มนักพัฒนาหลายกลุ่มที่มักมีความคิดเห็นต่างกัน เช่น บางคนมองว่า Ethereum มีค่าธรรมเนียมที่แพงมาก และความเร็วในการทำธุรกรรมแม้จะเร็วกว่า bitcoin แต่มันก็ยังสร้างให้เร็วกว่านี้ได้อีก ก็จะเกิดโปรเจคเหรียญใหม่ ๆ ขึ้นมาเช่น Solana ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการที่มันสามารถทำธุรกรรมบนบล็อกเชนได้เร็วมาก ๆ แต่นั่นก็ต้องแลกมากับการที่ส่งผลให้มีความปลอดภัยที่ต่ำลงไปอีก
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จะมีนักพัฒนาแต่ละกลุ่มก็จะมีจุดประสงค์และแนวคิดที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นพวกเขาก็มักจะรวมตัวกันสำหรับคนที่มีความเห็นคล้าย ๆ กันอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างโปรเจคที่พวกเขาต้องการแก้ไขปัญหาตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจเอาไว้
นั่นจึงทำให้เทคโนโลยีในโลกของ crypto นั้นไปได้อย่างรวดเร็วมาก เพราะมันเป็นการรวมตัวกันของคนระดับหัวกะทิทั่วโลก ที่ต้องการแก้ไขปัญหาโลกการเงินแบบเก่าที่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ในยุคอินเตอร์เน็ต เช่น ผู้คนสามารถนำ crypto ไปฝากในโลก DeFi เพื่อกินดอกเบี้ยและสามารถนำไปปล่อยกู้ได้ หรืออย่างศิลปินก็สามารถใช้ NFT ในการสร้างรายได้จากผลงานศิลปะของตนเองได้ เป็นต้น
คำถามต่อมาก็คือ ถ้าเป็นในมุมมองของคนนอกที่ต้องการจะเริ่มต้นเข้าสู่วงการ crypto นั้น จะต้องเริ่มต้นยังไง เลือกเหรียญไหน วิธีการดูเหรียญที่ดีมีศักยภาพนั้นเป็นอย่างไร เพราะในสายตาของคนนอก ส่วนใหญ่ก็มักจะได้ยินข่าวในทำนองที่ว่า Elon Musk กำลัง Tweet เกี่ยวกับเหรียญ Dogecoin บ้างล่ะ Shiba Inu บ้างล่ะ ซึ่งเหรียญเหล่านี้ ก็ดูเหมือนจะมีราคาขึ้นลงอย่างบ้าคลั่งในแต่ละทีที่ Elon Musk มีการพูดถึงมัน ตกลงแล้วเราควรจะเลือกลงทุนในเหรียญที่มีคุณลักษณะอย่างไรดี?
โดย Raoul Pal ตอบว่า การเริ่มต้นเข้ามาในโลกคริปโทฯ ในฐานะมือใหม่มาก ๆ นั้น ให้คำนึงถึงความเสี่ยงที่น้อยที่สุดก่อน โดยการเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ กับเหรียญใหญ่ ๆ ที่มั่นคงในตลาดอย่าง bitcoin และ ethereum ก่อน แล้วในระหว่างนั้น ก็ให้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ bitcoin และ ethereum ซึ่งคุณอาจจะสมัครติดตามข่าวสารบน Twitter หรือสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ว่าผู้คนมีการพูดถึงอย่างไรบ้างในแต่ละเหรียญ แต่อย่างที่รู้กันดีว่า ในปัจจุบันสกุลเงินดิจิตอลนั้นมีนับพันนับหมื่นสกุล ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่า คุณจะสามารถติดตามข่าวสารของเหรียญทั้งหมดในตลาดนี้ได้
ดังนั้นสิ่งที่ Raoul Pal ทำก็คือ เขาจะเริ่มต้นลงทุนจากเหรียญที่มี market cap หรือขนาดตลาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ในตลาดเสียก่อน เริ่มจากเหรียญที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แล้วค่อย ๆ เขยิบไปเหรียญที่มีความเสี่ยงมากขึ้นมาหน่อย รวมไปถึงจำนวนเม็ดเงินที่ลงในแต่ละเหรียญนั้นก็จะไม่เท่ากัน เหรียญไหนที่มีความเสี่ยงน้อยหน่อยก็สามารถใส่เงินได้มากขึ้น ส่วนถ้าเหรียญไหนมันดูเสี่ยงมากหน่อยก็ให้ใส่จำนวนเงินที่น้อยลง และให้กระจายการลงทุนในเหรียญที่อยู่หลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งมันเป็นการจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
โดยการที่เขาจะพิจารณาว่าเหรียญไหนน่าลงทุน เขาจะดูจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานหรือเกิด Network Effect ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมี Use case หรือการใช้งานจริง ไม่ใช่เติบโตเพราะเงินจากนายทุน นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า มหาเศรษฐีพันล้านอย่าง Mark Cuban ที่เป็นเจ้าของทีมบาสเกตบอล NBA ทีม Dallas Maverick นั้น ยอมรับการจ่ายเงินด้วย Dogecoin เพราะมันโตจากการที่มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาอยู่ใน Network นี้
และเช่นเดียวกันทาง Elon Musk ก็น่าจะมีแนวคิดประมาณนี้ที่เขาเห็นว่า มันเกิด Network Effect ขึ้นกับเหรียญหมาอย่าง Dogecoin ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในอนาคตทาง Tesla อาจจะเปิดให้ใช้เหรียญ Dogecoin ในการซื้อสินค้าหรือบริการจากทาง Tesla ก็เป็นได้
แต่ก็อย่างที่ทราบ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เหรียญไหนจะประสบความสำเร็จ เหรียญไหนจะล้มเหลว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เราควรกระจายการลงทุนไปในเหรียญต่าง ๆ เพื่อติดตามพฤติกรรมของแต่ละเหรียญ แล้วให้เลือกเหรียญที่คุณชอบ เหรียญที่คุณคิดว่ามันมีโปรเจคที่เจ๋ง ๆ มีชุมชนผู้ใช้งานที่ดี
โดยส่วนตัวของ Raoul Pal แล้วนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจในอุตสาหกรรม DeFi ที่ฝากเพื่อกินดอกเบี้ยสักเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือ การลงทุนในเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่มันจะสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้น และเขาก็จะได้กำไรจากการลงทุนในเทคโลโนยีนั้น ๆ ดังนั้นเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหรียญที่เป็น Meme Coin หรือเหรียญล้อเลียนที่สร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน ที่ราคาของมันขึ้นทีเป็น 1,000% แล้วราคาก็ตกลงอย่างรุนแรงในชั่วข้ามคืน
ดังนั้น สรุปอีกครั้ง เราควรเริ่มต้นจากการลองลงทุนใน bitcoin กับ ethereum เสียก่อน แล้วเฝ้าดูเรียนรู้ไปกับมัน ลองดูว่า เวลาที่ราคามันขึ้นไป 30% ภายใน 3 วัน และราคาลง -30% ภายใน 3 วัน คุณรู้สึกอย่างไร รู้สึกกดดันหรือสบาย ๆ เฉย ๆ หรือไม่ และเมื่อคุณเริ่มคุ้นชินกับความผันผวนนั้นได้แล้ว ก็ค่อย ๆ เขยิบไปลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในเหรียญอื่น ๆ ดูในภายหลัง
โดย Raoul Pal ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่ Ethereum น่าลงทุนกว่า Dogecoin ก็คือ โดยปกติแล้ว เวลาที่จะเลือกโปรเจคใดสักโปรเจคหนึ่ง เขาจะดูทั้งสองด้านที่เกิดขึ้น ด้านแรก คือฝั่งของ นักพัฒนา, นักลงทุนและผู้ใช้งาน เริ่มรวมตัวกัน และฝั่งที่สองคือเกิดกรณี Use Case หรือมีการนำโปรเจคไปต่อยอด ไปใช้งานจริง
อย่าง Ethereum นั้น พอฝั่งแรกมันมีนักพัฒนาที่ได้เงินทุนจากนายทุนและมีผู้ใช้งานแล้ว และในเวลาต่อมาฝั่งที่สองก็เกิดการสร้าง DeFi มี Dapp หรือ Decentralized Application นับร้อยนับพันโปรเจคเข้ามาใช้งานบน Ethereum อีกทีหนึ่ง แถมในเวลาต่อมาก็มี NFT เข้ามาสร้างบน Ethereum Blockchain ซึ่งมันเกิดการใช้งาน เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขาย เกิด Use Case อย่างมากมาย นี่คือสิ่งที่น่าลงทุน
แต่พอมองกลับไปที่ Dogecoin ฝั่งแรกคือ นักพัฒนาที่จุดประสงค์ของพวกเขาคือสร้างขึ้นมาเล่น ๆ ขำ ๆ ไม่ได้จริงจังอะไรแล้วตอนนี้ต่างก็ไม่มีใครพัฒนาต่อ ไม่มีการอัพเกรดใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีผู้ใช้งานเข้ามาเยอะ แต่ก็ยังไม่มีโปรเจคใดมาต่อยอดหรือนำไปใช้เป็น Use Case อย่างจริง ๆ จัง ๆ เลย อย่างมากมันก็เอาไว้ใช้เพื่อเก็งกำไรซื้อถูกขายแพง
แม้ว่าบางร้านค้าก็ลองรับแลกสิ่งของกับเหรียญ dogecoin ก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งโอเคแหละว่า ตัวของเขาก็ถือ Dogecoin เอาไว้ส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนน้อย เพราะเขาแค่สนุกและเอาไว้เฝ้าดูและติดตามพฤติกรรมของตลาดนี้ ไม่ได้ลงทุนอะไรจริง ๆ จังกับมัน จนกระทั่งก็มีข่าวลือว่ากลุ่มนักพัฒนา Dogecoin อาจจะกำลังกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งแและ Elon Musk ก็อาจจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา Dogecoin ในอนาคต ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไป
แล้วมาติดตามกันใน Episode ต่อไปกันครับ
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง
Resources