คุณคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” กันมาบ้างแล้ว ซึ่งเนื้อหาในตอนนี้ ทาง Naval Ravikant จะมาแชร์มา ทำแบบไหนรวย ทำแบบไหนจน เพราะไม่ใช่คนขยันทุกคนจะเป็นคนรวย แต่คนรวยทุกคนต่างก็เป็นคนที่ขยัน
โดยมาดูกันก่อนว่า ทำแบบไหนไม่รวย อย่างแรกก็คือ ถ้าหากคุณยังเอาเวลาไปแลกกับเงินอยู่ นั้นยากมากที่จะรวยได้ เพราะอย่าลืมว่าเวลาของเรานั้นมีอยู่อย่างจำกัด และไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ มีแต่จะลดลง ดังนั้น คุณจำเป็นที่จะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินบางอย่าง ที่สามารถสร้างเงินให้คุณได้แม้ในยามที่คุณหลับอยู่ เช่น เป็นเจ้าของธุรกิจ ห้างร้าน ต่าง ๆ
แต่ในขณะที่คนส่วนใหญ่กลับเชื่อผิด ๆ ว่า การทำงานที่ได้รับค่าตอบแทนตามเวลาที่ทำงานนั้น จะทำให้มั่งคั่งร่ำรวยได้ แต่ไม่เลย มันไม่เวิร์ค แม้ว่าคุณจะมีรายได้เยอะแบบทนายหรือคุณหมอก็ตามที
โดย Naval ได้ยกตัวอย่างว่า คุณหมอแม้ว่าจะได้รับค่าตอบแทนที่สูงมาก แต่คุณหมอจะได้รับค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อ คุณหมอทำงานอยู่เท่านั้น คุณหมอต้องเอาเวลาในชีวิตไปแลกกับการทำงานเพื่อให้ได้เงินมา แต่ในขณะที่นอนหลับ ไปพักร้อน หรือยามหลังเกษียณ คุณหมอจะไม่ได้รับเงินเลย เพราะไม่ได้ทำงาน ไม่ได้เอาเวลาไปแลกกับเงิน
แล้วทำไม คุณหมอหลายคนถึงดูร่ำรวยกันล่ะ? นั่นก็เป็นเพราะคุณหมอเหล่านั้น นำเงินที่ได้มาไปต่อยอดในธุรกิจต่าง ๆ เช่น เปิดคลีนิคส่วนตัว แต่เดี๋ยวก็มีคนถามอีกแหละว่า เปิดคลีนิคส่วนตัวคุณหมอก็ต้องใช้เวลาแลกเงินอยู่ดี ดังนั้นคุณหมอที่ Beyond เลเวลอัพกว่านั้นพวกเขาจะสร้างแบรนด์ขึ้นมาแล้วสร้างทีมหมอขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ให้พวกเขาช่วยรันธุรกิจได้ โดยที่ไม่ต้องเอาตัวเองลงไปทำงานเต็มเวลาอย่างที่เคยทำ หรือคุณหมอที่ร่ำรวยบางท่านก็ใช้ชื่อเสียงตัวเองในการสร้างแบรนด์ เพื่อขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์ข้าวของเครื่องใช้ได้อีกเยอะแยะมากมาย
แต่ก็อย่าลืมว่า หาก ณ วันนี้คุณกำลังทำงานให้คนอื่นอยู่ คน ๆ นั้นก็คือ ผู้ประกอบการ ที่พวกเขาต้องแบกรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำธุรกิจ และความรับผิดชอบจะสูงตามขึ้นไปด้วย ต้องรับผิดชอบเรื่องการสร้างแบรนด์ การสร้างผลิตภัณฑ์ การดูแลลูกค้า เพราะถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด และเหล่าบรรดาเจ้าของธุรกิจที่จ่ายเงินให้พนักงานนั้น พวกเขาก็ไม่ได้จ่ายค่าจ้างสูงสุดให้แก่พนักงาน แต่จ่ายในอัตราที่ดีที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ ดังนั้นเงินเดือนที่ได้รับในฐานะพนักงาน มันก็ไม่เพียงพอต่อการเกษียณ
แต่ก็อย่างที่บอก การที่ใครสักคนจะมั่งคั่งได้นั้น คน ๆ นั้นก็ต้องส่งมอบคุณค่าแก่สังคมได้มากพอ ดังนั้นหัวข้อเรื่องในเนื้อหานี้ ที่แท้จริงแล้ว มันควรจะเป็น ‘How to create wealth’ มากกว่าที่จะเป็น ‘How to get rich’ เพียงแต่หัวข้อหลังมันดึงดูดผู้คนได้ดีกว่า
ดังนั้นเหตุผลที่การทำงานโดยเอาเวลาตนเองไปแลกกับเงินในแต่ละองค์กรนั้น มันไม่ได้สร้างคุณค่าให้แก่สังคมมากพอ และหลาย ๆ งานที่ได้รับค่าแรงน้อยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่จำเจ ทำซ้ำ ๆ เดิม ๆ และก็สามารถหาคนอื่นมาแทนตำแหน่งงานนั้นได้ง่าย
โดยงานใดก็ตามที่มีการเรียนการสอนคล้าย ๆ กับตอนที่อยู่ในโรงเรียน ซึ่งต้องยอมรับว่าโรงเรียนเกือบทั้งหมด สอนให้เราออกมาเป็นแรงงานในระบบ ดังนั้น งานใดก็ตามที่มีการสอนและคนเรียนก็เรียนรู้กันได้แบบง่าย ๆ นั่นหมายถึงว่า คนที่ถูกสอนก็สามารถแทนกันได้ และคนที่เรียนรู้ได้ดีกว่าในกลุ่มนั้นก็จะถูกยกให้เป็นตัวเลือกแรกก่อนเสมอ
และงานอีกประเภทที่คุณกำลังจะถูกแทนที่ในอนาคตอันใกล้นี้ก็คือ งานใดก็ตามที่ AI และ Robot สามารถทำแทนมนุษย์ได้ งานนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีคุณอีกต่อไป เพราะนอกจากพวกมันจะขยันขันแข็ง เหนื่อยไม่เป็นแล้ว พวกมันยังไม่บ่นใส่นายจ้างของมันด้วยอีกต่างหาก
ดังนั้น หากงานนั้นใช้แต่แรง ไม่ค่อยได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ก็ยากที่จะรวยขึ้นมาได้ โดย Naval บอกต่อว่า ดังนั้น หากคุณต้องการที่จะเป็นคนที่มั่งคั่งแล้วล่ะก็ คุณจะต้องสร้างเงินจากการเป็นเจ้าของอะไรบางอย่างที่มันสามารถทำเงินเองได้ด้วยตัวมันเอง ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ ธุรกิจ หรือจะเป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่คุณได้รับปันผล ซึ่ง Naval ก็แนะนำให้ลองเริ่มต้นกับบริษัทที่เป็น Tech Company ก็เป็นการเริ่มต้นที่น่าสนใจดี
ซึ่งโดยปกติแล้ว การสร้าง Wealth หรือการสร้างความมั่งคั่งโดยทั่วไปที่เห็นได้อยู่บ่อย ๆ ก็คือ การเริ่มต้นลงทุนกับบริษัทตัวเองนี่แหละ ยกตัวอย่าง เช่น Elon Musk ก็ได้นำเงินตัวเองไปลงทุนช่วงเริ่มต้นในบริษัท Tesla กว่า $70 ล้านดอลล่าร์ฯ และใน SpaceX กว่า $100 ล้านดอลล่าร์ฯ
หรือมหาเศรษฐีที่รวยจากการลงทุนเป็น Investor อย่าง Warren Buffett ก็ลงทุนในบริษัท Berkshire Hathaway ที่เป็นบริษัท Holding Company ที่คอยซื้อหุ้นในบริษัทอื่น ๆ อีกทีหนึ่ง พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่ลงทุนในบริษัทของตนเองก่อนแทบทั้งสิ้น
แต่…แน่นอนว่าหลายคนก็ชอบที่จะทำงานในออฟฟิศ ทำงานเป็นพนักงานประจำ ซึ่งทาง Naval เองก็ได้บอกว่า ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามทำงานที่ Input = Output ความหมายก็คือ งานที่เป็นการใส่แรง ใส่เวลาไปเท่าไหร่ก็ได้เงินกลับมาเท่านั้น
แต่งานที่ทำให้มั่งคั่งได้นั้นมันจะต้องเป็นงานที่ Input ≠ Output ซึ่งในโลกยุคปัจจุบันก็ต้องบอกว่า เป็นยุคที่เปิดโอกาสให้คนที่มีไอเดีย มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการขยายผลจากไอเดียให้กลายเป็นจริงไปได้ทั่วโลก ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าโลกเดิมมาก เช่น Software Engineer ใช้พลังจากโลกอินเตอร์เน็ตในการสร้างเครือข่าย Bitcoin ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ฯ ขึ้นมาได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการใช้พลัง Leverage หรือการใช้พลังทวีจากโลกอินเตอร์เน็ตนั้น ทำให้ Output ออกมามากกว่า Input ที่ใส่เข้าไป ซึ่งเกิดจากพลังความรู้ในการนำเทคโนโลยีการเข้ารหัสแบบ cryptography รวมเข้ากับ Internet ในการรังสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าต่อสังคมขึ้นมา
แต่ก็อย่าลืมว่า Software Engineer หลายคนก็ใช้เวลาเป็นปีในการเขียนโค้ดอะไรขึ้นมาสักอย่างนึง แต่กลับพบว่า มันไม่ได้เป็นที่ต้องการของลูกค้า ทำเงินไม่ได้แม้แต่แดงเดียวก็มีถมเถไป แต่นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นในสิ่งที่ Naval พยายามจะสื่อก็คือ จงหางานที่ Input ≠ Output นั่นเอง ส่วนจะไปในด้านเป็นบวกหรือติดลบนั้น ก็ขึ้นอยู่กับทักษะความเชี่ยวชาญของแต่ละคนบวกกับไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ในสิ่งที่สร้างขึ้นมานั้นว่ามันสามารถส่งมอบ Value หรือคุณค่าให้แก่สังคมได้มากน้อยแค่ไหน
และการที่จะหาสิ่งที่ Input ≠ Output ได้นั้น ให้คุณมองหา Tools หรือเครื่องมือที่จะสร้างความแตกต่างจากคนอื่น ๆ ได้ เช่น Software Engineer ก็มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็น Tools ในการสร้างความแตกต่าง หรืออย่างคนตัดต้นไม้ที่มีหุ่นยนต์ มีเลื่อยไฟฟ้า มีขวาน ก็ย่อมสร้างความแตกต่างได้เหนือกว่าคนที่คิดจะใช้มือเปล่าไปตัดต้นไม้
ดังนั้น หากงานที่คุณทำอยู่ Input = Output คือการใช้เวลาแลกกับเงินอยู่มันยากที่คุณจะมั่งคั่งได้ แต่หากคุณสามารถหางานที่ใช้ Tools+Ideas เป็น Input ที่สามารถสร้างพลังทวีได้ Output ออกมาอย่างมหาศาล โดยไม่ได้ขึ้นตรงกับเวลาที่ใส่ไปการทำงานแล้วล่ะก็ คุณก็มีโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งยั่งยืนได้ หากสิ่งที่คุณสร้างขึ้นมานั้นสังคมเห็นว่ามันมี Value มันมีคุณค่า
และอย่างที่ Naval เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า คนในยุคนี้ค่อนข้างโชคดีที่อยู่ในยุคของอินเตอร์เน็ต เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องมือที่มีพลังทวีหรือ Leverage ที่มีพลังมหาศาลในค่าใช้จ่ายที่น้อยนิด เพราะข้อดีของอินเตอร์เน็ตก็คือ มันสามารถเชื่อมต่อผู้คนหลายพันล้านทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน และเราก็สามารถเข้าถึงผู้คนนับพันล้านคนได้ภายในเสี้ยววินาทีโดยที่มีค่าใช้จ่ายค่าอินเตอร์เน็ตที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับความสามารถของมันที่สามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมากขนาดนั้นได้
และในโลกนี้ มีผู้คนที่สนใจในหลากหลายหมวดหมู่ที่เรียกว่า Niche Market คือเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม ที่มีความสนใจในหลากหลายเรื่องมาก เรื่องบางเรื่องที่ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจก็กลับมีอยู่จำนวนไม่น้อย เช่น คนชอบเลี้ยงงู คนนั่งบอลลูนเที่ยวรอบโลก คนแล่นเรือใบข้ามมหาสมุทร คนทำอาหารในป่าแบบธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงแค่ไหน ก็สามารถเข้าถึงผู้ที่สนใจในเรื่องที่คุณทำอยู่อย่างขี้เหร่สุดก็ต้องมีสัก 50,000 คนบ้างแหละ ถ้านับจากประชากรทั่วโลกที่มีกว่า 7 พันล้านคน คุณไม่จำเป็นที่จะต้องยิ่งใหญ่แบบ Facebook ก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ในยุคนี้
และคุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนใคร เพราะจุดเด่นของมนุษย์ก็คือ แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีความ Unique มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนกัน ในโลกนี้ไม่มีใครเหมือนกันแบบเป๊ะ ๆ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่ฝาแฝดไข่ใบเดียวกันยังไม่เหมือนกันเลย เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่มีความสนใจที่ไม่เหมือนกัน มีทักษะในแต่ละด้านแตกต่างกัน มีความหลงใหลในแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน
มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นชาวประมงตัวเล็ก ๆ ในทะเลที่ห่างไกลจากผู้คน หรือจะชาวเขาที่อยู่บนดอย ขอเพียงแค่คุณสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต แล้วใส่ความคิดสร้างสรรค์ของคุณสร้างเป็นคอนเท้นต์ขึ้นมา โดยใช้ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณแสดงให้ชาวโลกได้เห็นตัวตนของคุณ ค้นหากลุ่ม Audience หรือกลุ่มผู้รับชมรับฟังของคุณ แล้วใช้จุดนั้นในการต่อยอดสร้างสินค้า สร้างผลิตภัณฑ์ สร้างธุรกิจ สร้างความมั่งคั่ง ส่งมอบคุณค่าให้แก่กลุ่ม Audience สร้างความสุขให้แก่พวกเขา
ในยุคนี้คุณจะเห็นได้ว่า มีผู้คนหลายต่อหลายคนที่สามารถสร้างเงินล้านได้จาก
- เล่นเกมออนไลน์
- ทำรายการ Podcast
- เป็น Youtuber
- เป็น Blogger
ซึ่งที่ว่ามานั้น มีเศรษฐีหน้าใหม่ เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย สามารถสร้างเงินหลายร้อยล้าน พันล้านได้ โดยที่ไม่ต้องมีบริษัทใหญ่โต ไม่ต้องมีพนักงานนับร้อยคน พันคน หลายคนแค่มีกล้องมือถือที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้แค่เพียงอย่างเดียว ก็สามารถสร้างเงินล้าน สร้างความมั่งคั่งบนโลกออนไลน์นี้ได้
อย่าง Joe Rogan ที่ทำรายการ Podcast เขาสามารถทำรายได้กว่า $100 ล้านดอลล่าร์ฯ ต่อปี
หรืออย่าง PewDiePie ที่เป็น Youtuber ที่มีผู้ติดตามแบบบุคคลมากที่สุดในโลก เขามีทรัพย์สินราว ๆ $54 ล้านดอลล่าร์ฯ โดยช่องของเขา สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า กว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับสถานีโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่มีพนักงานนับร้อยนับพันคนซะอีก
และข่าวดีก็คือ ทุกคนมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นมันมีพื้นที่มากพอให้สำหรับทุกคนที่สามารถแสดงความเป็นตนของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยให้คุณพัฒนาในสิ่งที่คุณสนใจจนถึงขีดสุดก็จะทำให้คุณมีที่ยืน มีพื้นที่ได้การต่อยอดเพื่อสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตนเอง โดยที่ไม่ต้องไปลอกเลียนแบบใคร
ซึ่งในโลกของธุรกิจเรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า การทำธุรกิจคือการแข่งขัน ซึ่ง Naval บอกว่า หากคุณกำลัง copy กำลังลอกเลียนแบบคนอื่นอยู่ นั่นคือคุณกำลังเข้าสู่เกมการแข่งขัน และเกมการแข่งขันก็ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ แต่ในขณะที่ตัวตนของคุณนั้นเป็นสิ่งที่คนอื่นเลียนแบบได้ยาก เพราะตัวของเราแสดงเป็นตัวเราเก่งกว่าใคร ๆ บนโลกใบนี้
แล้วก็จบกันไปกับ Episode นี้ แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปนะครับ
Resources