Robert Kiyosaki เจ้าของผลงานเขียน Rich Dad Poor Dad พ่อรวยสอนลูก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์บนช่อง Youtube Wealthion ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 2022 ที่ผ่านมา โดยพิธีกร Adam Taggart ได้เริ่มเกริ่นว่า โลกของเรา ณ ปัจจุบัน กำลังประสบกับค่าเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น แถมยังได้ค่าแรงที่น้อยลงอันเนื่องมาจากพิษเศรษฐกิจ แถมทรัพย์สินทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นตลาดไหนก็แย่หมด ซึ่งถือว่ามันเป็นช่วงเวลาที่จะสร้างความมั่งคั่งในขณะนี้ แถมสภาวะเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่อาจจะแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้อีก
และนี่คือบทสัมภาษณ์จาก Robert Kiyosaki
โดย Robert Kiysaki บอกว่า เขาโชคดีที่เป็นคนแก่ ณ เวลา นี้ ที่เขาเคยผ่านช่วงเวลาที่โลกเคยเกิดวิกฤตครั้งใหญ่มาก่อน ในช่วงที่เกิด subprime mortgage crisis ในปี 2008 ก่อนที่ตลาดจะกลายมาเป็นตลาดขาขึ้นที่นับว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลกเลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปี 2022 นี้ ก็ปาเข้าไป 11 ต่อเนื่องแล้ว ซึ่งในปี 2010 เขาก็ได้ทำการกู้ยืมเงินกว่า $300 ล้านดอลล่าร์ฯ เพื่อเข้ากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ราคาพังลงในช่วงดังกล่าว ซึ่งทำให้เขามีอพาร์ทเม้นท์ไว้ในครอบครองมากกว่า 13,000 แห่ง ที่ ณ ปัจจุบันสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมหาศาล
ซึ่งหลักการการสร้างความมั่งคั่งดังกล่าวนั้น อาจจะขัดใจกับใครต่อใครอีกหลายคนที่มักจะบอกว่า จงอย่าเป็นหนี้เด็ดขาดหากคุณต้องการมั่งคั่งร่ำรวย แต่ในขณะที่ Robert Kiyosaki นั้นเขากลับมองว่า การเป็นหนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นสองแบบก็คือ ‘หนี้ดี’ กับ ‘หนี้เลว’ ซึ่งคอนเซ็ปต์ที่ใช้ตัดสินใจอย่างง่ายว่าสิ่งใดคือหนี้ดีและสิ่งใดคือหนี้เลว ก็ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทำการกู้ซื้อบ้าน ถ้าบ้านหลังดังกล่าวคอยสูบเงินออกจากกระเป๋าคุณ บ้านหลังดังกล่าวคือหนี้เลว แต่หากบ้านหลังดังกล่าวหลังเดิม สามารถหาเงินเพิ่มเข้ากระเป๋าให้คุณได้ แสดงว่าบ้านหลังนั้นคือหนี้ดี ที่คอยหาเงินให้คุณอยู่เสมอ
ดังนั้นการมั่งคั่งด้วยการเป็นหนี้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณรู้วิธีที่จะใช้หนี้ดังกล่าว นำไปสร้างความมั่งคั่งต่อได้ และเขาก็ไม่แนะนำให้ใครต่อใครใช้หนี้ในการสร้างความมั่งคั่ง หากยังไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญกับมันมากพอ
และจากการลงทุนในช่วงดังกล่าว ก็ทำให้ใน 2-3 ปีล่าสุดนั้น Robert Kiyosaki ก็บอกว่า มันเป็นช่วงที่เขาสามารถทำกำไรได้มากที่สุดนับตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้
และตัวของ Robert Kiyosaki เอง ก็มักจะพูดกันเล่น ๆ ในกลุ่มเพื่อนว่า เวลาที่จะฟังคำแนะนำในการลงทุนจากใครสักคนนั้น ให้ลองถามอายุของพวกเขาดูก่อนว่าอายุเท่าไหร่ เพราะในช่วง 11 ปีล่าสุด ที่ผ่านมานั้น มันเป็นตลาดกระทิง มันเป็นตลาดขาขึ้นมาโดยตลอด เรียกได้ว่า ใครเข้าตลาดการลงทุนครั้งแรกในช่วงหลังปี 2008 นั้น ลงทุนอะไรก็ได้กำไรกันหมด เพราะพวกเขาไม่เคยผ่านช่วงวิกฤตที่เลวร้ายมาก่อน
ส่วนธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED : Federal Reserve ที่ผู้คนส่วนใหญ่มักหวังพึ่งพาการควบคุมสภาวะเศรษฐกิจจากพวกเขาเหล่านั้น ทาง Robert Kiyosaki เขามองว่า นอกจากการปริ้นท์เงินแล้วนั้น พวกเขาไม่สามารถปริ้นท์อย่างอื่นออกมาได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ปริ้นท์อาหาร ปริ้นท์น้ำมัน ปริ้นท์เชื้อเพลิง ฯลฯ
เรียกได้ว่า ตั้งแต่ก่อตั้ง FED มา และทำการปริ้นท์เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มานั้น อำนาจในการจับจ่ายใช้สอย หรือ purchasing power ของเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ นั้นได้สูญหายไปมากกว่าร้อยละ 90 เข้าไปแล้ว เพราะอะไรก็ตามที่มันมีปริมาณเยอะเกินไป มันจะส่งผลให้สิ่งนั้นด้อยค่าลงตามหลักเศรษฐศาสตร์
ส่วนสไตล์การลงทุนของ Robert Kiyosaki นั้น เขาจะลงทุนในทรัพย์สินที่เป็นของจริง ๆ โดยตรงเท่านั้น ไม่ใช่เป็น Asset ในรูปของสมมติ กระดาษ หรือสัญญาซื้อขาย อย่างเช่นพวก หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม ETFs ฯลฯ
เพราะส่วนตัวเขาไม่เชื่อในระบบที่รัฐบาลพยายามกรอกหูเพื่อล้างสมองคนในสังคม ที่เป็นแพทเทิร์นตายตัว ที่บอกว่า ให้เข้าโรงเรียน ตั้งใจเรียนให้ได้เกรดดี ๆ เพื่อที่เมื่อเรียนจบแล้วจะได้หางานดี ๆ ทำ งานที่ให้ค่าจ้างที่สูง เพื่อที่จะได้จ่ายภาษีเยอะ ๆ และลงทุนในระยะยาวโดยให้สร้างพอร์ทแบบกระจายการลงทุนไปใน หุ้น กองทุนรวม พันธบัตร และ ETFs
และโรเบิร์ต เขาก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ทางรัฐบาล นำเงินของประชาชนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ที่ฝากเอาไว้ในกองทุนเพื่อการเกษียณอย่าง 401k และ IRA นั้น เข้าสู่ตลาดหุ้น ที่เจ้าของเงินเหล่านั้นไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของการเงิน แถมในระบบการศึกษาของรัฐ ก็ไม่มีการสอนเกี่ยวกับเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ เลย และถ้ามีสอน ผู้สอนก็ดันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินอีก
ซึ่งสาเหตุที่ Robert Kiyosaki เขาชื่นชอบในการใช้ Debt ในการสร้างความมั่งคั่ง เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะ การใช้เงินจาก debt นั้น ปลอดภาษี เพราะในทางบัญชีนั้น debt ไม่ถือว่าเป็นรายได้ จึงไม่ต้องนำไปคำนวณในภาษีเงินได้ และจากนั้นเขาก็นำเงินที่ได้จาก debt ดังกล่าว ที่เสมือนเป็นเงินที่ได้ฟรี ๆ จากธนาคาร ไปซื้ออพาร์ทเม้นท์ สิ่งแรกที่เขาจะได้เลยก็คือ กระแสเงินสด(cash flow) จากการปล่อยให้เช่า ซึ่งเมื่อเหลือส่วนต่างหลังจากหักลบกับจำนวนที่ต้องผ่อนจ่ายธนาคารแล้ว ที่เหลือเขาก็สามารถนำเงินสดดังกล่าวไปซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นได้อีก และในช่วงที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เขาก็จะนำอพาร์ทเม้นท์ไปทำการ Refinance ใหม่ ซึ่งจะทำให้ทางแบงค์ตีราคาประเมินใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิมอันเนื่องมาจากราคาของอสังหาริมทรัพย์มีการปรับตัวที่สูงขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งมันจะทำให้มีส่วนต่างและสามารถ cash out เพื่อดึงเงินสดออกมา นำไปซื้ออพาร์ทเม้นท์แห่งใหม่ได้อีก วนลูปแบบนี้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่กระแสเงินสดของเขายังคงเป็นบวกอยู่
แต่ในขณะที่การ flipping house หรือการซื้อบ้านเก่ามารีโนเวทแล้วทำการขายออกไปในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมาบวกกับค่าซ่อมแซมปรับปรุงนั้น ทาง Robert Kiyosaki เขาจะไม่ทำแบบนั้น เพราะการซื้อมาขายไป คุณจะโดนภาษีหนักมาก เพราะในทางบัญชีมันจะกลายเป็นรายได้ทันทีเมื่อคุณทำการขายอสังหาฯ ชิ้นดังกล่าวออกไป
แต่อย่าเข้าใจผิดว่า เขาเป็น Real estate guy หรือเป็นผู้ชื่นชอบหลงใหลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะสิ่งที่เขาชอบจริง ๆ แล้วนั่นก็คือ การใช้เงินที่ปลอดภาษี ซึ่งในที่นี้มันก็คือการใช้เงินจาก debt และด้วยคอนเซ็ปต์การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังทำให้ตัวของเขาสามารถใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีไปใช้กับรายได้ที่มาจากธุรกิจจนเป็นศูนย์ได้อีกด้วย และทั้งหมดที่ว่ามานั้นเขาทำมันอย่างถูกกฎหมาย เพราะเขาไม่ต้องการที่จะเสี่ยงเข้าไปนอนในคุกในภายหลัง เพราะเขาเองก็เลือกที่จะใช้ที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านจัดการกับภาษีโดยเฉพาะ
ยกตัวอย่างการลงทุนล่าสุดของ Robert Kiyosaki นั้น เขาได้ทำการปรับปรุงอพาร์ทเม้นท์ ที่เขาเคยซื้อเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ที่แม้ ณ ตอนนั้นเขาไม่มีเงินสดเลย เพราะเขาเลือกที่จะใช้เงินกู้จากบ้านของเขา นำไปวางเงินดาวน์เพื่อกู้ซื้อทรัพย์สินดังกล่าว และในปัจจุบันเขาก็ปรับปรุงให้มันเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับคนชรา และเขาก็เป็นลูกค้ารายแรกที่จ่ายค่าเช่าแห่งนี้ ซึ่งตัวของผู้เช่าทั้งหมดในตึกนี้นั้น เป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดแทนเขาแก่ธนาคาร แถมพอปรับปรุงโครงสร้างใหม่เพิ่มเติม มันก็ทำให้ทรัพย์สินดังกล่าว มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 จากเดิม จึงทำให้เขาสามารถนำทรัพย์สินนี้ไป Refinance มันก็จะมีเงินสดส่วนต่างที่เขาสามารถนำเงินสดก้อนนี้ไปใช้หนี้จากการกู้ยืมบ้านที่เขาเคยกู้มาซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งนี้อีกทีหนึ่ง
ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า เขาสามารถครอบครองอสังหาฯ ต่าง ๆ ได้ แม้ว่าจะไม่มีเงินสดเลยก็ตามที และนั่นคือสิ่งที่เขาพยายามสื่อสารภายในหนังสือ Rich Dad Poor Dad ของเขานั่นเอง
แต่ในท้ายที่สุด ทรัพย์สินทุกอย่างที่เขามีนั้น มันสามารถสร้าง cash flow ได้ด้วยตัวมันเอง มันดูแลตัวมันเองได้ และเมื่อถึงคราวที่เขาได้จากโลกนี้ไป ในท้ายที่สุดทรัพย์สินเหล่านี้ ก็จะกลับคืนสู่สังคมทั้งหมด เพราะทั้งตัวเขากับภรรยานั้นก็ไม่ได้มีทายาทมารับมรดก และนี่ก็คือการใช้ประโยชน์จากกฎหมายด้านภาษีและกฎหมายด้านธุรกิจ ในการตอบแทนคืนสู่แก่สังคมในแบบฉบับของเขา
และนอกจากอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเลือกลงทุนแล้วนั้น เขาก็ยังได้ลงทุนในเหมืองทองคำและเหมืองแร่เงินอีกด้วย
โดยเขาเริ่มตระหนักเห็นถึงความสำคัญของทองคำ ก็เมื่อตอนที่ประธาธิบดี Richard Nixon ประกาศยกเลิก The Gold Standard ด้วยการยกเลิกการผูกติดค่าเงินดอลล่าร์ฯ กับทองคำ ในปี 1971 ซึ่งในช่วงปี 1972 ที่เขาถูกส่งไปรบที่เวียดนามอยู่นั้น ราคาทองคำจู่ ๆ ก็เพิ่มขึ้นจาก $35/oz ไปเป็น $50/oz
เขาก็เริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่า ทองคำ มันคืออะไรกัน จนกระทั่งมีเพื่อนทหารสองนาย ได้เข้าไปคุยกับสาวชาวเวียดนามคนหนึ่งที่น่าจะเป็นนายหน้าค้าทองคำอยู่ โดยเพื่อนทหารของเขาจู่ก็เสนอขอซื้อทองคำในราคา $40/oz ทันใดนั้นสาวชาวเวียดนามคนดังกล่าว ก็เริ่มพูดคุยและต่อรองราคากัน
นั่นจึงทำให้เขาตระหนักในทันทีว่า ทองคำ มันคือเงินในระดับสากล ที่ผู้คนทั่วโลกต่างยอมรับในตัวมันให้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าซึ่งกันและกันได้นั่นเอง
และนั่นก็นำให้เขาไปสู่การลงทุนซื้อเหมืองทองคำในประเทศจีนในเวลาต่อมา แต่เขาก็ได้รับบทเรียนที่สำคัญ ตอนที่ประเทศจีนให้ยึดเหมืองทองคำของเขาไป เนื่องจากลัทธิชาตินิยมจีน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะชอบทานอาหารจีน แต่เขาไม่ชอบลัทธิคอมมิวนิสต์เอาซะเลย
แต่จากบทเรียนดังกล่าว ก็ได้นำให้เขาได้ไปพบเจอกับเหมืองทองคำแห่งใหม่ในรัฐ UTAH ที่เพื่อนของเขาได้ใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับสายแร่ทองคำภายใต้ผืนดิน จนกระทั่งเขาก็พบกับแร่ทองคำเป็นจำนวนมากใต้ผืนแผ่นดินนั้น และเขาก็ได้เข้าลงทุนในเหมืองแร่ทองคำดังกล่าว
และหลังจากที่ประธานาธิบดีไบเด้นได้ยกเลิกท่อส่งน้ำมัน Keystone XL Pipeline ออกไป เขาก็ได้ลงทุนในเหมืองจุดเจาะน้ำมันด้วย ดังนั้นราคาน้ำมันจากเดิมที่อยู่ที่ราว ๆ $30/barrel ก็พุ่งขึ้นเป็น $120-$130/barrel ซึ่งการขายน้ำมันใต้ผืนดินนั้น เขาก็ได้รับผลประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
โดย Robert Kiyosaki เขามองว่า นี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของคณะรัฐบาลชุดนี้ เพราะเชื้อเพลิงเปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของอารยธรรมของมนุษย์ในยุคนี้ ที่ทำให้สังคมมนุษย์ก้าวหน้าไปได้
ดังนั้น เมื่อสหรัฐอเมริกา มีค่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งจากเดือนมิถุนายน ปี 2022 ที่ผ่านมานั้น ค่า CPI : Consumer Price Index มีค่าสูงถึง 9.1% มันจะส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ในระดับชนชั้นกลางและคนจนนั้นถังแตกได้ เพราะเมื่อเชื้แเพลิงมีราคาแพง มันจะส่งผลให้ทุกอย่างแพงขึ้นตามไปหมด เช่น มันทำให้ค่าขนส่งแพงขึ้น อาหารก็จำเป็นที่จะต้องปรับราคาที่สูงขึ้น และนั่นมันก็ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น จนผู้คนรับไม่ไหว
มันก็จะมีประโยคขำ ๆ ปนความขมขื่นที่ผู้คนมักพูดกันว่า “ทุกวันนี้เราตื่นไปทำงาน เพื่อให้ได้เงินมา และนำเงินไปเติมน้ำมัน เพื่อที่เมื่อเติมน้ำมันแล้วจะได้สามารถขับรถไปทำงานได้ เพื่อให้ได้เงินมาเติมน้ำมันนั่นเอง”
สรุป ทุกวันนี้เราไปทำงานเพื่อหาเงินมาเติมน้ำมันกันหรือนี่
และนอกจากนั้น เขาก็ยังได้ลงทุนในฟาร์มปศุสัตว์ โดยเฉพาะฟาร์มโคเนื้อ เพราะเหตุผลเดียวกันกับที่พูดไปตอนต้นว่า FED หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้น พวกเขาไม่สามารถผลิตเนื้อวัวได้
ซึ่งเขาก็ลงทุนในในฟาร์มเนื้อวัววากิว ซึ่งเขาศึกษามาว่า มีเม็ดเงินในตลาดนี้อย่างมหาศาล และด้วยความที่เนื้อวากิวนั้น มันเปรียบเสมือนเป็นชื่อแบรนด์เนม ที่ผู้คนยอมรับและให้ค่าสูงในตลาดเนื้อวัวว่าเป็นเนื้อชั้นเลิศ จึงทำให้ราคาของมันมีมูลค่าสูงกว่าเนื้อวัวประเภทอื่น ๆ
ดังนั้นเราก็จะเห็นได้ว่า Robert Kiyosaki นั้นเขามักจะลงทุนในสิ่งที่เป็น Asset ที่จับต้องได้จริง ๆ ไม่ใช่การลงทุนในกระดาษ ในสัญญาซื้อขายที่มีแต่ตัวเลข
ซึ่งในปัจจุบันทางโรเบิร์ตก็บอกว่า ทุกวันนี้มันมีโอกาสเยอะแยะเต็มไปหมดในโลกของการลงทุน เพียงแต่คุณจำเป็นที่จะต้องหาคนที่ใช่ หาคนที่ประสบความสำเร็จ หาตัวจริงในโลกการลงทุนดังกล่าวในตลาดนั้น ๆ ให้เจอ
เพราะเอาเข้าจริงเขาก็ไม่แนะนำให้ทำตามเขาแบบเป๊ะ ๆ เพราะการลงทุนในเหมืองแร่ทองคำ เหมืองแร่เงิน เหมืองขุดเจาะน้ำมัน ฟาร์มปศุสัตว์ อพาร์ทเม้นท์ อย่างที่เขาทำนั้น มันก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะเขาก็ลงทุนในสิ่งที่เขามีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว
หาต้นแบบของคุณให้เจอ หาโค้ชตัวจริงของคุณให้เจอ ที่คน ๆ นั้น สามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวคุณ เพราะส่วนตัวของเขาเองนั้น ก่อนที่เขาจะลงทุนในสิ่งใดก็ตาม เขาก็จะตามหาคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้นจริง ๆ เพื่อที่จะเป็นที่ปรึกษาให้เขาก่อนตัดสินใจในการลงทุน
และอย่าลืมวางแผนการเงินของคุณหรือ financial plan ของคุณให้ดี เพราะไม่มีใครรู้ว่าฟองสบู่ทางเศรษฐกิจนั้นจะแตกเมื่อไหร่ มันอาจจะเป็นในช่วง 1-2 ปีนี้ หรืออาจจะเป็นช่วง 10 ปีต่อจากนี้ แต่ที่แน่ ๆ ฟองสบู่นี้มันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมันอาจจะใหญ่กว่าในปี 2008 ก็เป็นได้
Resources