Site icon Blue O'Clock

วิธีหาเงินโดยที่ไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต สไตล์ Rich Dad by Robert Kiyosaki

Robert Kiyosaki - โรเบิร์ต คิโยซากิ

Robert Kiyosaki เจ้าพ่อนักลงทุน, อสังหาริมทรัพย์และเจ้าของผลงานเขียนซีรี่ย์ชื่อดัง Rich Dad Poor Dad ได้สอนวิธีการทำเงินให้งอกเงย โดยที่เราไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต

โดย โรเบิร์ต คิโยซากิ เริ่มต้นด้วยการเล่าภาพใหญ่ให้ฟังก่อนว่า ในโลกของคนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินนั้น จะสามารถแบ่งหมวดหมู่ความรู้ ได้เป็น 3 หมวดหมู่ ดังนี้

  1. Academic Education คือความรู้เชิงวิชาการ ไม่ว่าจะเป็น การพูด การอ่าน การเขียน การคำนวณ ซึ่งเป็นความรู้ที่สำคัญมาก แต่ตัวของเขาเองนั้นก็ทำได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ในหมวดหมู่นี้
  2. Professional Education คือความรู้เฉพาะทางในการเป็นมืออาชีพในสาขาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หมอ พยาบาล นักกฎหมาย ส่วนสำหรับตัวของเขานั้น มีความเชี่ยวชาญด้วยกันอยู่สองสาขาอาชีพก็คือ ประสบการณ์ในการเป็นทหารเรือและนักบิน ซึ่งในปัจจุบันนี้เขาก็ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้แล้ว
  3. Financial Education คือความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเงิน

ซึ่งเขาก็พบว่า แม้ตัวของเขาเองนั้นจะไม่ได้โดดเด่นในความรู้หมวดที่ 1 และ 2 สู้เพื่อนคนอื่น ๆ ไม่ได้ แต่เขาพบว่า หากเขาโฟกัสไปที่การศึกษาในเรื่องของ Financial เขาสามารถที่จะเอาชนะคนอื่น ๆ ในกลุ่มที่ 1 และ 2 ได้ ในเรื่องของจำนวนรายได้ที่มากกว่า

โดยเมื่อตอนที่เขายังอยู่ในกลุ่มที่ 2 ที่หาเงินจากการเป็นมืออาชีพ (professional) นั้น เขามีรายได้ด้วยกันอยู่สองแบบก็คือ

และเมื่อพ่อรวยของเขาได้สอนเขาว่า หากเขาโฟกัสที่ความรู้ด้าน Financial แล้วล่ะก็ เขาจะสามารถทำสร้างรายได้ ได้ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ โดยที่ไม่ต้องทำงานอีก และเมื่อเขาฟังจากพ่อรวยแล้วก็พบว่า เขาไม่ต้องการที่จะทำงานหนักไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ แต่เขาต้องการที่จะเรียนรู้ว่า ไอ้การทำเงินได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องทำงานหนักไปตลอดชีวิตนั้น มันสามารถทำได้อย่างไร?

โดยทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากการเข้าใจ Balance sheet หรืองบดุลส่วนบุคคล ที่ Robert Kiyosaki พยายามพร่ำสอนผู้อื่นมาโดยตลอด โดยตัวแปรหลัก ๆ ของ balance sheet จะมีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างนั่นก็คือ

  1. Income รายได้
  2. Expense รายจ่าย
  3. Asset ทรัพย์สิน
  4. Liability หนี้สิน

โดยหัวใจสำคัญของการสร้าง balance sheet ให้ร่ำรวยได้นั้นก็คือ “cash flow” หรือกระแสเงินสด ซึ่งพ่อรวยบอกกับเขาว่า ถ้าหากเราสามารถควบคุมกระแสเงินสดใน balance sheet ได้ ยังไงก็รวยแน่นอน ไม่ว่าเราจะไม่อยากเป็นคนรวยก็ตามที

ทีนี้มาเริ่มต้นกันที่คำว่า Asset กันก่อน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดกันว่า บ้านที่เราซื้อนั้น(ซึ่งอันที่จริงต้องบอกว่าเช่าซื้อมากกว่า) เป็นทรัพย์สิน ซึ่งคำตอบที่แท้จริงก็คือ บ้านนั้น สามารถเป็นได้ทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน โดยการที่จะตัดสินว่า บ้านที่เราครอบครองนั้นเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สินกันแน่ เราจะวัดได้จาก กระแสเงินสด(cash flow) ว่ามันสามารถนำเงินเข้าหรือนำเงินออกจากกระเป๋า ยกตัวอย่างเช่น หากบ้านหลังนั้นเราปล่อยให้คนอื่นเช่าโดยหลังจากหักค่าผ่อนส่งธนาคารแล้วยังเหลือเงินสดเข้ากระเป๋าเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำงานก็ตามที(ยกเว้นบ้านหลังนั้นหาผู้เช่าไม่ได้หรือผู้เช่าเบี้ยวเงิน) ในกรณีนี้เราจะเรียกบ้านว่าเป็นทรัพย์สิน “Assets = put money in your pocket whether you work or not”

แต่หากบ้านหลังนี้เราใช้เพื่ออยู่อาศัยเองและเราก็ต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านให้กับธนาคารในทุก ๆ เดือน บ้านหลังนี้จะนำเงินออกจากกระเป๋าเราไปยังกระเป๋าธนาคาร บ้านหลังนี้จะนับว่าเป็นหนี้สิน “Liability = takes money from your pocket”

และสาเหตุที่ผู้คนส่วนใหญ่กลัวการตกงานและไม่มีงานทำก็คือ พวกเขามีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขยันทำงานอย่างไม่หยุดไม่หย่อน เพราะเดี๋ยวไม่มีเงินไปผ่อนบ้านหลังใหญ่ที่เช่าซื้อเอาไว้

และนี่คือการสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดและแยกไม่ออกว่า บ้านที่พวกเขาครอบครองอยู่นั้น มันเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สิน และเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความแตกต่างในข้อนี้ มันจะส่งผลให้ เมื่อพวกเขามีรายได้จากการทำงานที่มากขึ้น สิ่งที่พวกเขาจะทำก็คือ ไปกู้ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น ซื้อรถสปอร์ตหรู ๆ แพง ๆ ขับ และทันทีพี่เงินเดือนของพวกเขาออก เงินมันก็จะวิ่งออกจากกระเป๋าของพวกเขาไปยังประเป๋าของเจ้าหนี้ทันทีในทุก ๆ เดือน ซึ่ง Robert Kiyosaki เรียกระบบการเงินแบบนี้ว่า มันเปรียบเสมือนกับคนที่เป็นท้องร่วงอย่างรุนแรง คุณไม่สามารถหยุดมันได้

ทีนี้มาดูกันต่อของคำว่า Income หรือที่มาของแหล่งรายได้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักให้เงินเดือน ค่าจ้าง เป็นรายได้หลัก และมักให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด แต่ในขณะที่พ่อรวยสอนเขาว่า แหล่งรายได้ของคนรวยนั้น ไม่ได้มาจากเงินเดือน แต่เกือบทั้งหมดจะมาจาก Asset หรือทรัพย์สินที่สามารถงอกเงยได้ เช่น

คำถามต่อมาก็คือ แล้วเราจะครอบครองหรือสร้าง Asset อย่างไรได้บ้าง ซึ่งกุญแจสำคัญนั้นง่ายมาก เมื่อคุณทำงานหาเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง เมื่อคุณได้เงินนั้นมาแล้ว ให้คุณนำเงินไปลงทุนใน Asset ก่อนเป็นอย่างแรก และเมื่อ Asset เหล่านั้นทำกำไรเข้ากระเป๋าของคุณ จากนั้นคุณจึงค่อยนำเงินที่มาจากทรัพย์สินเหล่านั้นไปใช้จ่ายอีกทีหนึ่ง

Robert Kiyosaki ได้ยกตัวอย่างจากภรรยาของเขา ที่เมื่อหลายสิบปีก่อน เธอก็เริ่มต้นจากการมีอสังหาฯ ให้เช่าเพียงแค่หลังเดียว แต่พอวันเวลาผ่านไปหลายสิบปี เธอก็มีอสังหาฯ ให้เช่านับสิบแห่ง ซึ่งรวม ๆ กันแล้ว อสังหาฯ ที่เธอครอบครองอยู่นั้น หลังจากบวกลบกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว มันก็ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดเข้ากระเป๋าของเธอได้มากกว่า $10,000 ดอลล่าร์ต่อเดือน หรือกว่า 300,000 บาทต่อเดือน โดยที่เธอไม่ต้องทำงานเลย ส่วนบ้านที่เขากับภรรยาใช้เพื่ออยู่อาศัยนั้นมีอยู่สองที่ด้วยกันก็คือ หลังแรกที่ Arizona และอีกหลังที่ Hawaii นั้นจะไม่นับว่ามันเป็น Asset จะนับพวกมันเป็น Liability ซึ่งค่าผ่อนบ้านสองหลังของเขาก็นำเงินที่ได้มาจากอสังหาฯ ที่ให้เช่ามาช่วยผ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า เงินที่นำไปผ่อนธนาคารไม่ใช่เอาเงินมาจากค่าจ้างหรือเงินเดือน แต่เอามาจากทรัพย์สินที่ถือครองที่ได้กำไรแล้วแบ่งมาจ่ายอีกทีหนึ่ง

ต่อมาคือ Asset ประเภท Business ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้นั่นก็คือ คุณจะต้องพัฒนาทักษะการขาย เพราะธุรกิจคือการขายสินค้าไม่ก็บริการให้แก่ลูกค้า และเมื่อธุรกิจมันสามารถดำเนินการไปได้ มันก็จะคอยผลิตกระแสเงินสดให้คุณอยู่เสมอ

และนอกจากนั้นสินทรัพย์ที่เขาลงทุนก็มี เหมืองขุดทองคำ เหมืองขุดแร่เงิน เหมืองขุดแร่ทองแดง เหมืองขุดเจาะน้ำมัน และนอกจากเหมืองแล้วเขาก็ยังลงทุนในการซื้อทองคำและแร่เงินเก็บไว้ในคลังของตัวเองอีกด้วย

โดยเขามองว่า การลงทุนในทองคำ แร่เงิน หรือแม้กระทั่งบิตคอยน์นั้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด หากเทียบกับการถือเงินดอลล่าร์เอาไว้เฉย ๆ เพราะนับวันเงินดอลล่าร์จะมีแต่ลดมูลค่าลงเรื่อย ๆ เนื่องจากมันสามารถพิมพ์ออกมาได้ไม่มีจำกัด และอะไรที่มันมากจนเกินไปสิ่งนั้นก็จะค่อย ๆ ด้อยค่าในสุด

และ Assets ทั้งหมดทั้งมวลที่เขาว่ามานั้น มันจะค่อย ๆ สร้างกระแสเงินสดเข้ากระเป๋าของเราอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ อย่างไม่มีหยุดมีหย่อน แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำงานก็ตามที ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า มันแตกต่างกับคุณหมอที่เปิดคลีนิคเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณหมอหยุดงาน ปิดคลีนิก พวกเขาก็จะไม่ได้เงินก้อนนั้น

และนี่คือสิ่งที่พ่อรวยสื่อกับ Robert Kiyosaki และเขาก็พยายามพร่ำสอนให้ผู้คนได้เรียนรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาในเรื่องของการเงินหรือ Financial Education

Resources

Exit mobile version