จากโพสต์ที่แล้วใน Ep.1 เราก็ได้ทราบกันไปแล้วว่า ความหมายของธุรกิจแบบ Monopoly นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยประโยคที่ว่า เพราะสาเหตุใด ทำไมธุรกิจ Monopoly นั้น จึงถูงมองว่าเป็นผู้ร้ายในสายตาของคนทั่วไป
โดยในหัวข้อนี้ Peter Thiel ใช้ประโยคที่ว่า “lies people tell – คำหลอกลวงจากผู้คน”
Peter Thiel กล่าวว่า ในโลกของธุรกิจนั้น ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ อย่าง ตลาดแข่งขันสมบูรณ์กับตลาดผูกขาด นี่แหละ ซึ่งเอาเข้าจริง คนที่เป็นผู้ผูกขาด จะไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ผูกขาดเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเข้ามาแทรกแทรงของรัฐบาล และในทางตรงกันข้าม ผู้ที่อยู่ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ก็มักจะพูดกับประชาชน นักลงทุนว่า แหล่งเงินทุนว่า พวกเขาเป็นเจ้าใหญ่ในตลาด กินส่วนแบ่งของตลาดเป็นอันดับต้น ๆ มีสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่ง, มีเทคโนโลยีเหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อแสดงให้ผู้ลงทุนเห็นว่า พวกเขากุมตลาดนี้เอาไว้อยู๋ในกำมือ เป็นเจ้าตลาด หรือเป็น Monopoly แบบอ้อม ๆ เพื่อให้ผู้ลงทุนนำเม็ดเงินมาไว้ที่พวกเขา ซึ่งแท้จริงแล้วนั้น สินค้าพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งในท้องตลาดมากนัก
สรุปก็คือ
- บริษัทที่เป็น perfect competition มักจะบอกตัวเองว่าพวกเขาอยู่ในตลาดเฉพาะทาง
- ในขณะที่บริษัทที่เป็น Monopoly จะบอกว่าพวกเขาอยู่ในตลาดการแข่งขันขนาดใหญ่
โดยตัวอย่างที่ Peter Thiel ชอบยกมาประกอบเป็นกรณีศึกษาก็คือ ธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งเขาบอกว่า เป็นตัวอย่างธุรกิจที่แย่ที่สุดเลยก็ว่าได้
ซึ่งแน่นอนว่าธุรกิจร้านอาหารอยู๋ในกลุ่มตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfectly Competitive Market) และเมื่อคุณคิดจะเปิดร้านอาหารคุณก็พบว่าคุณสูญเสียเงินในการลงทุนเป็นจำนวนมาก และไม่มีใครอยากมาร่วมลงทุนต่อ ดังนั้น การที่คุณจะดึงดูดเม็ดเงินได้นั้น คุณก็จะต้องเริ่มเล่าเรื่องราวแปลก ๆ เช่น ชูจุดเด่นของร้านตัวเองว่า เป็นร้านอาหารสไตล์ อังกฤษหนึ่งเดียว โดยมีตำแหน่งที่ตั้งร้านอยู่หลังเขาใน Palo Alto รัฐ California ซึ่งเมื่อฟังดังนี้ ก็จะรู้สึกได้ว่า พวกเขาอยู่ในตลาดที่เล็กมาก เพราะกว่าที่คนจะขับรถไปบนเขาแล้วนั้น ต่อให้มีคนเลือกที่จะกินร้านอาหาร British อย่างเดียวก็ไม่เพียงพออยู่ดี ซึ่งในความเป็นจริงของธุรกิจโลกของอาหารแล้วนั้น เต็มไปด้วยคู่แข่งมหาศาล ที่ลูกค้าจะเลือกกินร้านไหนก็ได้ แม้แต่ร้านข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เปิดอยู่ข้างร้านอาหาร British ก็คือคู่แข่งตัวฉกาจที่พร้อมจะแย่งเงินค่าข้าวในกระเป๋าลูกค้าไปได้ตลอดเวลา
หรืออีกสักตัวอย่างหนึ่งในแวดวงภาพยนตร์ ที่แม้ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีการแบ่งหมวดหมู่อย่างมากมาย แต่หนังแต่ละเรื่องก็มักจะแข่งขันกันว่าใครเจ๋งสุด ใครทำเงินได้เยอะสุดในหมวดหมู่นั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล โดยการจัดอันดับของปี 2020 นั้น มีดังนี้
- #1 Avengers : Endgame (หนังฮีโร่)
- #2 Avatar (หนังแฟนตาซี)
- #3 Titanic (หนังรัก)
ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง ภาพยนตร์ไม่ว่าจะอยู่ในหมวดหมู่ไหนก็ตาม มันก็แค่เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งในแวดวงนี้ สุดท้ายหนังทุกเรื่องก็ต้องไปห้ำหั่นกันทั้งหมดอยู่ดี ว่าใครทำรายได้สูงที่สุด และนี่มันก็คือตลาดแข่งขันสมบูรณ์หรือ Perfectly Competitive Market นั่นเอง
ทีนี้ลองมาดูในฝั่งของบริษัทที่เป็นแบบ Monopoly หรือแบบผูกขาดที่มักจะชอบบอกว่าตัวเองนั้น ไม่ใช่บริษัทผูกขาด พวกเขาเป็นเพียงแค่บริษัทเล็ก ๆ ในตลาดที่ใหญ่มหาศาล
ยกตัวอย่างจากกรณีของ Google ที่เป็นผู้ผูกขาดในตลาดนี้โดยในปี 2012 Google มี Market shares หรือส่วนแบ่งทางตลาดสูงถึง 66% (ในขณะที่ ณ ปี 2020 Google มีส่วนแบ่งมากถึง 86% เลยทีเดียว)
ซึ่งทาง Google เองก็ไม่พยายามบอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นบริษัท Search Engine หรือบริษัทในด้านผู้ให้บริการการค้นหา เพราะถ้าบอกแบบนั้น Google จะกลายเป็นจุดเด่นในทันที และต้องถูกแทรกแทรงโดยกลุ่มรัฐบาลอย่างแน่นอน
ดังนั้น Google จึงประกาศว่าตนเองนั้น เป็นบริษัทโฆษณา เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของ Google มาจาก Adwords และ Adsense หรือจากการที่มีลูกค้ามาลงโฆษณาบน Google และนั่นเท่ากับว่า หากเปรียบเทียบบริษัท Google กับบริษัทโฆษณาอื่น ๆ แล้วนั้น Google ดูตัวเล็กไปเลย เพราะรายได้ในแวดวงการโฆษณามีตัวเลขดังนี้
The Advertising Market
- US search advertising $17B
- US online advertising $37B
- US advertising $150B
- Global advertising $495B
นั่นเท่ากับว่า เม็ดเงินโฆษณาในธุรกิจ Search Engine ที่ Google ทำอยู่นั้น มีขนาดเพียง 3.43% เท่านั้น มันจะไป Monopoly หรือเป็นผู้ผูกขาดได้ยังไงกัน!?!
หรือหากไม่ต้องการที่จะเป็นบริษัทโฆษณา Google ก็สามารถบอกคนอื่นได้อีกแหละว่า ตัวเองนั้นเป็นบริษัทในแวดวงเทคโนโลยี ที่ตนเองนั้นมีส่วนแบ่งในตลาดเพียง 1.76%
- US search advertising $17B
- Global consumer technology $964B
- automobiles
- televisions
- smartphones
- social networks
- infrastructure
และสาเหตุที่ต้องกลายเป็นคำโกหกคำโตจากคำชี้แจงของบริษัทที่เป็นผู้ผูกขาดนั้นก็เพราะ พวกเขาต้องการปกป้องธุรกิจไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมืออำนาจของรัฐบาล ที่พยายามจะเข้ามาแทรกแทรงกิจการของพวกเขา
ทีนี้ คุณก็พอจะมองเห็นคร่าว ๆ บ้างแล้วว่า ทำไมบริษัทที่เป็นแบบตลาดแข่งขันสมบูรณ์ พยายามจะบอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นบริษัทผูกขาด นั่นก็เพราะพวกเขาต้องการสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากผู้อื่นเข้ามาภายในบริษัท
และทำไมบริษัทที่อยู่ในตลาดแบบผูกขาด ถึงบอกกับผู้อื่นว่าตนเองนั้นเป็นบริษัทกระจิ๊ดริด นั่นก็เพราะหลีกเลี้ยงการเข้ามาแทรกแทรงของรัฐบาลนั่นเอง
ต่อมา Peter Thiel ได้ยกตัวเลขที่น่าสนใจในกลุ่มของบริษัทแบบผูกขาด โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยี ที่เขาค่อนข้างเชื่อว่า ตัวเลขนี้คือปัจจัยที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ที่ทำให้บริษัทเหล่านี้ ประสบความสำเร็จและกลายเป็นผู้ผูกขาด นั่นก็คือ อัตรากำไรของบริษัทเหล่านี้นั้น มีค่าที่สูงมาก นั่นก็หมายถึง พวกเขามีเงินสดอยู่ในมืออย่างมหาศาล เรียกได้ว่ามีเงินสดจนล้นมือ
ตัวเลขจำนวนเงินสดและอัตรากำไรของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีในปี 2012
- Apple
- cash: $98B
- gross margin: 40%
- Google
- cash: $45B
- gross margin: 65%
- Microsoft
- cash: $52B
- gross margin: 78%
- Amazon
- cash: $10B
- gross margin: 14%
ซึ่งจากตัวเลขเงินสดและกำไรอย่างมหาศาลของเหล่าบรรดาบริษัท Monopoly ผู้ผูกขาดในตลาของตนเหล่านี้ ทำให้ Peter Thiel มองเห็นแพทเทิร์นบางอย่างที่เราสามารถนำไปสร้างบริษัทให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้ โดยในบทถัดไป Peter Thiel จะมาสอนวิธีการสร้างธุรกิจแบบ Monopoly หรือธุรกิจแบบผูกขาดนั่นเอง
Resources