ประวัติ Ingvar Kamprad จากเด็กขายไม้ขีดไฟ สู่ราชาแห่งอาณาจักรเฟอร์นิเจอร์ IKEA มูลค่าแสนล้าน ด้วยกลยุทธ์ “เรียบง่าย” ต้นแบบผู้นำเศรษฐกิจพอเพียง
อิงก์วาร์ คัมพราด (Ingvar Kamprad) ผู้ก่อตั้ง IKEA บริษัทยักษ์ใหญ่เฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฉายแววนักธุรกิจตั้งแต่ 5 ขวบ เริ่มต้นจากเด็กชายขายไม้ขีดไฟ สู่วิถีอาณาจักร IKEA ในวัย 17 ปี ในระยะเวลากว่าเจ็ดทศวรรษ เขาทำให้อิเกียกลายเป็นผู้ค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก มี 400 กว่าสาขากระจายอยู่ 50 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานกว่า 200,000 คน เป็นมหาเศรษฐีชาวสวีเดนรวยติดอันดับท็อปเทนระดับโลก มีมูลค่าทรัพย์รวมกว่า 59 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
Feodor Ingvar Kamprad หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Ingvar Kamprad เกิดและลืมตาดูโลกเมื่อ 30 มีนาคม ปี 1926 ที่ ประเทศสวีเดน Sweden เมือง Smaland และเติบโตขึ้นที่ฟาร์ม Elmtaryd ใกล้กับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชื่อ Agunnaryd ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของสวีเดน
ฐานะทางบ้านของเขาไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาเริ่มหารายได้พิเศษ ให้แก่ตนเองด้วยการเป็นเด็กขายไม้ขีดไฟตั้งแต่อายุ 5 ขวบ พออายุ 7 ขวบเขาเริ่มขายกิจการด้วยการปั่นจักรยานตระเวนขายไปเรื่อย ๆ พร้อมกับไปซื้อไม้ขีดราคาส่งที่กรุง Stockholm ไป-กลับ ระยะทางรวมกว่า 500 กิโลเมตร เพื่อนำมาขายปลีกในราคาถูก และสามารถทำกำไรได้มากกว่า
พอเขาเริ่มมีทุนสะสม ในวัย 10 ขวบ ไอเดียก็เริ่มบรรเจิด เขาเริ่มขยายกิจการด้วยการนำไม้ขีดไฟและของจิปาถะ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้, การ์ดอวยพรวันเกิด, อุปกรณ์ตกแต่งต้นคริสต์มาส, ดินสอ, กรอบรูป, ถุงน่อง ฯลฯ โดยใช้จักรยานเป็นพาหนะกระจายสินค้าไปแต่ละหลัง
จนกระทั่ง Ingvar Kamprad ในวัย 17 ปี ที่ถูกบ่มเพาะให้เป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียรและเรียนได้เกรดค่อนข้างดีแถมยังมีความอุตสาหะในการทำมาค้าขาย เขาจึงได้รับรางวัลจากคุณพ่อของเขาเป็นเงินจำนวนก้อนหนึ่ง เขาจึงได้นำเงินก้อนนั้นไปก่อตั้งธุรกิจ IKEA ในปี 1943 โดยตั้งชื่อตามตัวอักษรชื่อ-สกุลของเขา Ingvar Kamprad ชื่อฟาร์ม Elmtaryd และชื่อหมู่บ้านที่อาศัย Agunnaryd มารวมกันเป็น “IKEA”
โดยเขาได้เริ่มต้นด้วยการขายสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน เช่น ดินสอ, กระเป๋า, นาฬิกา และเครื่องประดับต่าง ๆ ซึ่งวิธีทำการตลาดของเขาก็คือ การลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยรวบรวมสินค้าหลากชนิดลงในแคตตาล็อก และให้ลูกค้าสั่งซื้อและส่งของทางไปรษณีย์เป็นวิธีการที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายที่สุด ณ ขณะนั้น โดยได้ยอดสั่งซื้อมาจากแคตตาล๊อกเป็นจำนวนมาก และต่อมาเขาเริ่มให้ความสนใจกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน
เพราะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นยุคของ Baby Boomer นั้น มีการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว และทำให้มีความต้องการในเรื่องของจำนวนบ้านและที่อยู่อาศัยมากขึ้น และแน่นอนว่า เมื่อมีบ้านก็ต้องมีเฟอร์นิเจอร์ในบ้านนั่นเอง ทำให้ IKEA สามารถสร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงเวลานี้ ได้อย่างถูกที่ถูกเวลาจริง ๆ
และในปี 1953 เขาก็ได้เปิดร้านเฟอร์นิเจอร์เต็มรูปแบบเป็นสาขาแรกที่เมือง Älmhult โดยเปิดให้ลูกค้าสามารถรับชมและสัมผัสสินค้าได้ก่อนการสั่งซื้อ จึงทำให้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า และสามารถสร้างยอดขายได้อย่าง มหาศาล และด้วยการที่เขาทำการขายเฟอร์นิเจอร์ในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งอยู่พอสมควร จึงทำให้เมื่อวันเวลาผ่านไปเพียง 2 ปี เหล่าบรรดาดีลเลอร์เฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายพากันไปกดดันไม่ให้ทางผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ ส่งสินค้าให้กับ IKEA อีกต่อไป
และจากเหตุการณ์นี้นี่เอง ที่ทำให้เขาหันมาออกแบบผลิตเฟอร์นิเจอร์เอง โดยได้สร้างคอนเนคชั่นใหม่ ๆ ด้วยการเสาะหาผู้ที่สามารถส่งวัตถุดิบจำพวกไม้และวัตถุดิบอื่น ๆ จนกระทั่งไปได้ซับพลายเออร์จากประเทศโปแลนด์ แถมยังได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิมซะอีก แต่ในครั้งนี้ Ingvar Kamprad ก็กำชับกับซับพลายเออร์ว่า ห้ามบอกให้ใครรู้เป็นอันขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าบรรดาพวกดีลเลอร์ตามมากดดันไม่ให้ซับพลายเออร์ส่งสินค้าให้กับ IKEA เหมือนคราวที่แล้วอีก
ไอเดียของเขาก็บรรเจิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทกำลังขนส่งโต๊ะให้ลูกค้า แล้วไม่สามารถนำส่งขึ้นรถได้ ต่อให้ขยับอย่างไรก็ตาม จึงจุดประกายให้ Ingvar Kamprad คิดค้นดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถถอดประกอบได้ แถมยังได้รับรางวัล Swedish Design ที่มีการออกแบบเฟอร์นิเจอร์มาแล้วอีกด้วย
และนอกจากนั้นยังง่ายต่อการแพ็คสินค้านำส่ง สามารถลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมหาศาลเนื่องจากมีพื้นที่ในการขนส่งที่เยอะขึ้น ทำให้เขาสามารถแข่งขันกับรายอื่นได้อย่างสบาย ๆ แถมราคาสินค้าก็ถูกแบบ “กระชากใจ” ชวนให้ซื้อ ซึ่งเขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า
“To design a desk which may cost $1,000 is easy for a furniture designer, but to design a functional and good desk which shall cost $50 can only be done by the very best.”
“สำหรับเฟอร์นิเจอร์ดีไซเนอร์ การออกแบบโต๊ะราคา 1,000 ดอลลาร์เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่การออกแบบโต๊ะที่สวยงามและใช้งานได้ดี ในราคา 50 ดอลลาร์ จะต้องใช้ความทุ่มเทอย่างที่สุดเท่านั้น”
และทำให้ IKEA กลายเป็นเจ้าแรกที่ทำเฟอร์นิเจอร์แบบ flat packaging หรือ Ready to assemble โดยให้ลูกค้ากลับไปประกอบเองที่บ้าน
หลังจากนั้นมา IKEA ก็ได้มีการเปิดสาขาใหม่ ๆ หลายแห่ง มีสินค้ามากมายหลายพันชิ้น จนในทศวรรษที่ 1980 IKEA ได้รุกเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น อิตาลี, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
โดยใช้แนวคิดในการจัดจำหน่ายว่า เป็นเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในราคาย่อมเยาว์ ในราคาที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้, มีประโยชน์ในการใช้สอย, คุณภาพดี, ดีไซน์สวยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใส่ใจทุกแง่มุม ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของ IKEA ที่ต้องการให้เป็น “Mass Products” สินค้าทุกชิ้นมีสไตล์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว รวมทั้งประหยัดพื้นที่และลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง จวบจนปัจจุบัน IKEA สามารถขยายสาขาได้มากกว่า 400 สาขากระจายอยู่ 50 ประเทศทั่วโลก
ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าชีวิตของเขาจะมั่งคั่งร่ำรวยอย่างไร แต่เขาก็ยังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่างเรียบง่าย มัธยัสถ์ ใช้รถยนต์เก่าที่มีอายุร่วม 20 ปี ใช้บริการสายการบินชั้นประหยัด พักในโรงแรมถูก ชอบซื้อสินค้าลดราคา และใช้เสื้อผ้าแบรนด์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป
โดยเขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมซื้อเสื้อผ้าดี ๆ มาใส่ ทานอาหารร้านหรู ๆ บ้าง แต่การใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายมาก ๆ อาจจะกระทบต่อผู้อื่น เช่น ลูกน้องที่เลือกผมเป็นแบบอย่าง ซึ่งคนที่เป็นหัวหน้า ควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง ทั้งด้านการบริหารและชีวิตส่วนตัว”
โดยเขาให้ความสำคัญกับทีมงานมาก ซึ่งไม่ได้มองว่าเป็น ลูกจ้าง แต่มองว่าทุกคนคือครอบครัวและมักปลุกพลังกระตุ้นพลังงานให้มีใจรักในงานที่ทำอยู่เสมอ โดยมีความเชื่อและมีความศัทธาในตนเอง ว่าทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ สามารถเกิดขึ้นได้ และสามารถทำสำเร็จได้ ถ้าตั้งใจจริง
“The word impossible has been and must remain deleted from our dictionary”
“คำที่เป็นไปไม่ได้ต้องถูกลบออกจากพจนานุกรม”
Ingvar Kamprad
แม้วันนี้เด็กชายขายไม้ขีดไฟ ผู้สร้างปรากฎการณ์สั่นสะเทือนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลกจะจากไปแล้วอย่างสงบ ในวันที่ 27 มกราคม ปี 2018 ที่ผ่านมา แต่เรื่องราวของ Ingvar Kamprad นักธุรกิจชื่อดังชาวสวีเดนในวัย 91 ปี ก็ยังคงอยู่ในใจคนทั้งโลกตราบนานเท่านาน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเส้นทางชีวิต แนวคิดและการสร้างธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของเขายังคงทรงคุณค่าให้กับคนในยุคปัจจุบันได้จดจำ โดยเฉพาะจิตวิญญาณแห่งความตั้งใจ อุตสาหะ มัธยัตถ์ และการบรรจงสร้างเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่ออกแบบมาจากความรัก จิตวิญญาณ จะสถิตย์อยู่ในเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของ IKEA มิมีวันเสื่อมคลาย
Resources: