มีโอกาส อยู่ในทุกวิกฤตเสมอ จงมองหามันให้เจอ| Jack Ma อบรมผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ที่มหาวิทยาลัย Nairobi ประเทศ Kenya EP.4
จากความเดิมตอนที่แล้วในตอน Ep.1, Ep.2 และ Ep.3 ที่ Jack Ma ได้ไปบรรยายให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มหาวิทยาลัย Nairobi ประเทศ Kenya
Jack Ma เริ่มต้นด้วยความกังวลใจเกี่ยวกับการปฎิวัติของ Technology ในปัจจุบัน โดยเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ ถือได้ว่าเป็น Phase ที่ 3 แล้ว โดยการปฎิวัติเทคโนโลยีครั้งที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 1, การปฎิวัติเทคโนโลยีครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยการปฎิวัติวงการเทคโนโลยีครั้งที่ 1 นั้น มุ่งเน้นไปที่การสร้างเครื่องจักรที่มีความแข็งแกร่งด้านพละกำลังมากกว่ามนุษย์เป็นหลัก โดยเครื่องจักรกลมีความอึดกว่ามนุษย์ ทนทานกว่ามนุษย์
ต่อมาในช่วงปฎิวัติวงการเทคโนโลยีครั้งที่ 2 มุ่งเน้นไปที่เรื่องของการลดระยะเวลาในการเดินทาง ลดระยะเวลาในการขนส่ง ยกตัวอย่างเช่น มนุษยไม่สามารถวิ่งได้เร็วกว่ารถไฟ ขนของได้มากกว่ารถไฟ วิ่งได้ถึกกว่ารถไฟ
ส่วนการปฎิวัติวงการเทคโนโลยีในช่วงที่ 3 นี้ มุ่งเน้นไปที่การทำให้สมองจักรกลนั้นฉลาดกว่ามนุษย์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ จักรกลจะฉลาดกว่ามนุษย์ในอีกไม่ช้านี้อย่างแน่นอน และสิ่งที่จะตามมาก็คือ เหล่าบรรดาจักรกล โดยเฉพาะ AI ที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence นั้น จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์อย่างแน่นอน
ทีนี้ สิ่งที่เราต้องตระหนักก็คือ ในอดีตที่เราร่ำเรียนมาในระหว่างชั้นมหาวิทยาลัย ที่ใช้เวลาเฉลี่ย 4-5 ปีนั้น เมื่อตอนเราเรียนปี 1 เราอาจจะคิดว่าสายงานที่เราเรียนอยู่นี้ จบมาแล้วงานนี้ เงินดีอย่างแน่นอน แต่เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยสาขานั้น ๆ มาแล้ว คุณอาจจะพบว่างานเหล่านี้ไม่มีตำแหน่งว่างให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ไปทำงานแล้ว เพราะการเข้ามาของ AI
ซึ่งโลกมนุษย์ของเรากำลังเจอความท้าทายที่ต้องเผชิญ ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นโอกาสอันดีที่กำลังจะมีโอกาสใหม่ ๆ เข้ามาอย่างมากมาย เพราะแน่นอนว่า เมื่อถึงยุค AI เต็มตัว ผู้คนจะมีปัญหาถาโถมเข้ามาอย่างมากมาย แต่ที่ใดมีปัญหามาก นั่นก็หมายถึงที่นั่นมีโอกาสมากเช่นเดียวกัน เพราะหากใครที่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับผู้คนเหล่านั้นในจำนวนมากได้ ก็จะสามารถประสบความสำเร็จอย่างสูงได้
ส่วนบริษัทที่มีเงินสดอยู่ในมือเยอะ ก็จงอย่าชะล่าใจ เพราะมันไม่สามารถจะการันตีความสำเร็จเสมอไป ซึ่งจากประสบการณ์ของตัว Jack Ma เองนั้น เขาบอกได้เลยว่า บริษัทที่ผ่านตาของเขาที่มีเงินสดเยอะ ๆ ล้มเหลวถมเถไปก็มี แต่สิ่งที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในระยะยาวอย่างยั่งยืนนั้น มันวัดกันที่ ใครสามารถแก้ไขปัญหาให้กับโลกให้กับผู้คนได้มากกว่ากัน
ซึ่งหน้าที่หลักของ Jack Ma ในฐานะผู้นำองค์กรนั้น ตัวเขามีหน้าที่หาวิสัยทัศน์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้อีก 5 ถึง 10 ปี เพื่อคาดการณ์สถานการณ์ว่า โลกในอีก 5 ถึง 10 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร, ประเทศจีนใน 5-10 ปี ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร, ลูกค้าของเขาจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง, เพื่อนบ้านจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วเขาก็จะเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เพื่อรองรับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นเหล่านั้น ในอีก 5-10 ปี ข้างหน้านี้ได้อย่างทันท่วงที นี่ต่างหากที่จะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาจะการันตีว่าตัวของเขาเอง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น นับตั้งแต่วันนี้ไป จงฝึกมองหาโอกาสในทุก ๆ วิกฤตให้เจอ โดยโอกาสจะรวมตัวกันอยู่มากที่สุด ในที่ที่มีผู้คนบ่นมากที่สุด และให้เราคิดวิธีที่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับผู้คนที่บ่นเหล่านั้นให้ได้
ซึ่งหากใครมองว่าตอนนี้โอกาสเหลือน้อยเต็มที มีแต่เจ้าใหญ่ ๆ ทำไปกันเกือบหมดแล้ว โอกาสในปัจจุบันช่างมีน้อยเหลือเกิน แต่ในขณะที่ Jack Ma กลับมองตรงกันข้ามว่า ในยุคนี้เป็นยุคที่ทำธุรกิจ เริ่มต้นธุรกิจ ได้ง่ายที่สุดแล้ว เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนหน้านี้ โลกนี้ถูกควบคุมด้วยบริษัทระดับยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น และเหล่าบรรดา SME ขนาดเล็ก ผู้หญิง นักเรียนนักศึกษา ลูกเล็กเด็กแดง ในสมัยนั้น ไม่มีโอกาสที่จะทำได้เลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่ ณ ปัจจุบันนี้ ใคร ๆ ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ เพราะทุกคน สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต สามารถเริ่มต้นค้าขายได้ในทันที แถมยังมีต้นทุนในการเข้าถึงลูกค้าที่ต่ำมาก ๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อน และแนวโน้มอายุของผู้ประกอบการที่ผู้ประสบความสำเร็จนั้นยังอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น มหาเศรษฐีใหม่ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการสร้างตัวเป็นวัยรุ่นพันล้านได้อย่างรวดเร็วอย่าง Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook ที่เคยครองแชมป์มหาเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในโลกในปี 2008 เมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 23 ปี หรืออย่าง Kylie Jenner มหาเศรษฐีนีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในโลกคนล่าสุดในปี 2018 ในวัยเพียง 21 ปีเท่านั้น
ดังนั้น หากคุณต้องการเป็นเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ จงค้นหาและแก้ปัญหาขนาดใหญ่ และหากคุณต้องการเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก ก็จงหาและแก้ไขปัญหาขนาดเล็ก
และจากการที่ Jack Ma ได้คลุกคลีกับคนที่ประสบความสำเร็จมาทั่วโลก เขายังค้นพบคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จมีเหมือน ๆ กันอย่างน้อยอยู่ 2 อย่างก็คือ อย่างแรก พวกเขาไม่เป็นพวกขี้บ่นพวกเขามักเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ และอย่างที่สองพวกเขาคบค้าสมาคมและรายล้อมไปด้วยคนที่ดีและเก่ง
แม้ว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกได้ถูกบริษัท Internet ปกครองโลก ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Amazon, Alibaba, etc. แต่ 30 ปีนับจากนี้ อาจไม่ใช่บริษัทเหล่านี้ก็เป็นไปได้
ซึ่งพวกเราก็อย่าพึ่งน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมทำไมมีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มักจะมาจากประเทศอเมริกา เพราะถ้าหากย้อนกลับไปยุคเทคโนโลยีครองบ้านครองเมืองก่อนหน้านี้ เช่น ในอุตสาหกรรมรถยนต์ มีต้นกำเนิดครั้งแรกที่ยุโรป แต่อเมริกาดันทำประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่า เพราะที่ยุโรปนั้นรถยนต์มีการแข่งขันที่สูงกว่า ส่วนอเมริกายุกแรกนั้นยังขาดแคลนผู้ผลิตแต่ผู้คนมีความต้องการใช้รถยนต์ที่สูงกว่านั่นเอง
และเหตุการณ์ทำนองก็เกิดกับที่ประเทศจีนเช่นเดียวกัน ว่าทำไม Ecommerce ในประเทศจีนถึงเติบโตได้รวดเร็วกว่า ดีกว่าประเทศอเมริกา นั่นก็เพราะประเทศจีนไม่มีโครงการค้าที่ซับซ้อนแบบอเมริกา เช่น ประเทศจีนไม่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตเกลื่อนกลาดแข่งขันกันอย่างดุเดือด แถมยังมีกำแพงการค้าที่ยุ่งยากแบบอเมริกา แถมประเทศจีนยังมีความขาดแคลนด้านทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำการค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีโครงสร้างอินเตอร์เน็ตที่ดีพอ, ไม่มีระบบรับชำระเงินออนไลน์, ไม่มีระบบเครดิตเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการค้าขายออนไลน์, แม้กระทั่งชาวจีนส่วนใหญ่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือซะด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นว่า วันนี้ ใคร ๆ ต่างก็มีถือมือกันแทบทั้งสิ้น แถมยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังกว่ายุคไหน ๆ ที่สามารถทำการค้าได้ทั่วโลกผ่านมือถือเพียงเครื่องเดียว ซึ่ง Jack Ma ได้พูดติดตลกเอาไว้ว่า “เขาค่อนข้างโชคดีพอสมควรที่ตัวเองไม่ได้ศึกษาการใช้งานคอมพิวเตอร์เอาไว้” เพราะเขาข้ามไปใช้ Smartphone ในการสร้างธุรกิจแทนเลย
คุณอาจจะคิดว่า ประเทศที่ยังไม่พัฒนาและประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่นั้น จะเสียเปรียบประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่สำหรับ Jack Ma กลับมองว่า ประเทศใหญ่ ๆ ที่พัฒนาแล้วนั้น พวกเขามีความกังวลในการกลับการสูญเสียมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทำให้การที่จะขยับตัวแต่ละครั้งนั้น เป็นไปได้ช้า ในขณะที่ประเทศที่ยังไม่พัฒนาหรือกำลังพัฒนาอยู่นั้น กลับไม่กลัวการที่ต้องสูญเสีย เพราะมันไม่มีอะไรให้เสียนั่นเอง
ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น สิ่งที่ Jack Ma จะสื่อก็คือ หาก ณ ตอนนี้ประเทศของคุณ ยังขาดแคลนมาก ๆ ในเรื่องใดอยู่ นั่นหมายถึงโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาลที่กำลังจะเกิดขึ้นหากคุณสามารถแก้ไขปัญหาความขาดแคลนเรื่องนั้น ๆ ได้ในประเทศของคุณหรือในทวีปของคุณ ซึ่งคุณจะต้องทำธุรกิจใน Nature หรือรูปแบบตามสไตล์ประเทศของคุณ ตามสไตล์ทวีปที่คุณอยู่ เพราะอย่าลืมว่า แต่ละประเทศแต่ละทวีปนั้น ทีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกันออกไป คุณไม่สามารถเลียนแบบประเทศจีนหรือประเทศอเมริกาได้แบบเป๊ะ ๆ และไม่จำเป็นต้องเลียนแบบด้วย
แต่ถ้าคุณยังดื้อที่จะเลียนประเทศจีน ประเทศคุณก็จะไม่มีอนาคต เพราะประเทศจีนเติบโตในยุคที่เน้นจำนวนการผลิตสินค้าซ้ำ ๆ แบบเดียว ต่อชั่วโมงให้ได้มากที่สุด โดยเน้นตลาดแบบ B2C หรือ Business to Consumer ที่เน้นจากบริษัทไปสู่ผู้บริโภคเป็นหลัก แต่ในอนาคตตลาดจะกลับกลายเป็น C2B หรือ Consumer to Business ที่ผู้บริโภคมีความต้อการปัจเจคบุคคลมากยิ่งขึ้น มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แล้วบริษัทจะต้องผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคแทน ยกตัวอย่างช่น สมมติว่าจะผลิตเสื้อ T-shirt ประเทศจีน จะเน้น T-shirt ทีละสีและจำนวนมาก ๆ เช่น ไลน์ผลิตที่ 1 ต้องการเสื้อสีขาวจำนวน 100 ตัวใน 1 ชั่วโมง แต่ในขณะที่แนวโน้มในอนาคต ลูกค้าต้องการเสื้อเพียง 1 ตัว แต่อาจมี 100 แบบที่แตกต่างกันทั้งหมด ซึ่งก็ต้องไปหาวิธีการผลิตแบบ On-Demand ที่สามารถผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคให้ได้ โดยที่ยังคงต้นทุนการผลิตทีละ 1 ชิ้น ที่ยังสามารถทำกำไรได้อยู่
ต่อมา Jack Maได้เล่าถึงเรื่องที่เขาคิดไม่ได้เมื่อสมัยตอนที่เขายังหนุ่มยังแน่น โดยเขาได้เล่าย้อนกลับไปในปี 1999 เมื่อตอนที่พึ่งเริ่มก่อตั้ง Alibaba เขาโชคดีที่ได้พบกับ 1 ในผู้ร่วมก่อตั้งรุ่นแรกที่เป็นพนักงานคนที่ 14 ของบริษัท Yahoo เข้ามาเป็น CTO : Chief Technology Officer หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ซึ่ง Jack Ma ได้ถามเขาว่า เขาต้องการอะไรบ้าง เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าเป็นไปได้ ผมยอมจ่ายเงินให้คุณ 1 ล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 30 ล้านบาทเพื่อแลกกับการซื้อเวลากลับคืนมาได้สัก 1 ปี” Jack Ma ในวัยหนุ่มตอนนั้นเขาก็ตอบกลับไปว่า “ถ้าเงินจำนวนนี้ ผมมอบให้ทั้งชีวิตที่เหลือเลยก็แล้วกัน”
ซึ่งมาในวันนี้ Jack Ma ในวัยเลข 5 นั้น เขาก็ได้ตระหนักและเรียนรู้จากประโยคนั้นว่า ความหนุ่มความแน่นนี่แหละ คือหนึ่งในโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิติของคุณ ที่คุณสามารถใช้เพื่อเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้ ดังนั้น จงอย่ากลัวที่จะเริ่มต้น จงอย่ากลัวที่จะล้มเหลว เพราะสำหรับ Jack Ma นั้น ความล้มเหลวคือสมบัติที่ล้ำค่าที่เขาใช้ในการเรียนรู้ในการนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นคุณควรเรียนรู้จากความทั้งความล้มเหลวของตัวเองและความล้มเหลวจากผู้อื่น แต่ไม่ใช่เพื่อจะหลีกเลี่ยงความล้มเหลวนั้น แต่เรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับพวกมัน
เมื่อก่อน Jack Ma เคยคิดว่าประเทศที่เพียบพร้อมอย่างประเทศในทวีปยุโรป น่าจะมีบริษัทอินเตอร์เน็ต และบริษัท Ecommerce ที่ดีได้อย่างมากมาย แต่กลับพบว่าในทวีปยุโรปนั้นกลับไม่มีบริษัทที่ดีเท่าที่มันควรจะเป็นนั่นก็เพราะ ยุโรปเพียบพร้อมมากเกินไปในทุก ๆ ด้าน จนทำให้เกิดความกังวลใจในด้านต่าง ๆ เช่น พวกเขากังวลเรื่องความปลอดภัย, พวกเขากังวลเกี่ยวกับเรื่องของกฎหมาย, พวกเขากังวลว่ารัฐบาลยังไม่พร้อมรับมือในเรื่องนั้นเรื่องนี้ และเมื่อคุณกังวลมากเกินไป คุณก็จะเริ่มกลัวที่จะก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่ประเทศอย่างพวกเราที่ยังไม่เพียบพร้อมขนาดนั้น อินเตอร์เน็ตและการค้าขาย Ecommerce นั้น ถือได้ว่า เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากที่สุดอันหนึ่ง ที่สามารถใช้ในการขับเคลื่อนประเทศชาติของเราได้
ส่วนในด้านของ Innovation หรือนวัตกรรมนั้น ไม่ได้เกิดจากรัฐบาล แต่เกิดจากผู้คนในตลาด เกิดจากลูกค้าของคุณ ดังนั้น จงจำไว้ว่า สำหรับธุรกิจนั้น คนที่สำคัญมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ก็คือ ลูกค้า อันดับ 2 คือ พนักงาน และอันดับ 3 คือ ผู้ถือหุ้น
เหตุผลก็เพราะ เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถทำให้ลูกค้าแฮปปี้ได้ พวกเขาก็ยินดีที่จะจ่ายเงินให้กับบริษัทคุณ คุณก็จะสามารถเลี้ยงดูพนักงานของบริษัทคุณได้เป็นอย่างดีและมีความสุข และเมื่อพนักงานของคุณมีความสุข พวกเขาก็จะสร้างสรรค์ผลงานที่สุดยอดออกมา และเมื่อทั้งลูกค้าและพนักงานแฮปปี้ เดี๋ยวผู้ถือหุ้นจะแฮปปี้เอง
ดังนั้นจงอย่าใช้เวลาพูดกับผู้ถือหุ้นเพียงมากนัก แต่จงใช้เวลาเกือบทั้งหมดเพื่อพูดคุยกับลูกค้าและพนักงานของคุณ ซึ่งคุณจะต้องทำให้มั่นใจว่า พนักงานของคุณ สามารถแชร์วิสัยทัศน์ แชร์ความครีเอทีฟ และสามารถหาคนที่เก่งและเหมาะสมกับตำแหน่งต่าง ๆ ภายในองค์กรได้
และเคล็ดลับสุดท้ายที่ส่งผลให้ Alibaba ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็คือ บริษัทคุณจะต้องมีทีมงานผู้หญิงที่มากพอ ซึ่ง Alibaba นั้น มีพนักงานที่เป็นผู้หญิงกว่า 47%-48% และมีผู้หญิงที่เป็นระดับผู้บริหารระดับสูงกว่า 33% ซึ่งสาเหตุที่ Alibaba มีพนักงานที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากสำหรับการค้าขายออนไลน์ก็เพราะ Jack Ma เข้าใจว่า การค้าขายออนไลน์ แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันตรง ๆ แต่มันคือการสนทนากันระหว่างมนุษย์ด้วยกันอยู่ ไม่ใช่มนุษย์คุยกับคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์เป็นแค่ตัวกลางในการสื่อสารระหว่างคนด้วยกันเท่านั้นเอง ซึ่งผู้หญิง สามารถเทคแคร์และเอาใจใส่ลูกค้าได้ดีกว่าผู้ชายหลายเท่า นั่นก็เพราะผู้หญิงมักมี EQ ที่สูงกว่า ในขณะที่โปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชายที่มี IQ ที่สูง พวกเขาสามารถเขียนโปรแกรมดี ๆ ออกมาได้ แต่มักจะละเลยและไม่สนใจว่าลูกค้าหรือผู้ใช้งานโปรแกรมจะรู้สึกยังไง ซึ่งผู้หญิงนี่แหละ ที่จะสามารถบอกได้ว่า โปรแกรมแบบไหนที่ลูกค้าชอบและเป็นมิตรมากกว่า รวมถึงฝ่ายซับพอร์ทที่เป็นผู้หญิงก็จะสามารถรับมือกับลูกค้าได้ดีกว่าอีกด้วย
สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจในการเรียนรู้การทำวีดีโอแอนิเมชั่นสไตล์ Blue O’Clock
วันนี้คุณสามารถลงทะเบียนเรียนได้ฟรี ได้แล้วในคอร์สที่ชื่อว่า
Basic Whiteboard Animation
และหากดูเวอร์ชั่นฟรีจบแล้ว ต้องการไปต่อและซับพอร์ททีมงาน Blue O’Clock
คุณสามารถลงทะเบียนเรียนได้ในคอร์ส
Advanced Whiteboard Animation
ที่กำลังเปิดให้ลงทะเบียนในราคาพิเศษอยู่ ณ ขณะนี้
โดยคุณสามารถดูรายละเอียดการลงทะเบียนที่ลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
Resources