Jeff Bezos จากพ่อค้าขายหนังสือออนไลน์ สู่เจ้าพ่อออนไลน์ที่ขายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้คนทั้งโลก
ใครจะไปคิดว่า ร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ชื่อว่า Amazon.com ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว จะส่งผลให้ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ กลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกในปี 2017 ที่แซงแชมป์ตลอดกาลอย่าง บิล เกตต์ เจ้าของ Microsoft
หลาย ๆ คนอาจสงสัย ว่า Jeff Bezos เกี่ยวข้องอะไรกับร้านกาแฟที่ชื่อว่า Amazon Cafe คำตอบก็คือ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย เพราะ Jeff Bezos คือเจ้าของเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ชื่อว่า Amazon.com ต่างหาก ดังนั้น อย่าไปปล่อยไก่ให้ใครเห็นล่ะ
Jefffrey Preston Bezos หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Jeff Bezos นั้น เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ปี 1964 ที่เมือง Albuquerque, New Mexico ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาได้อาศัยอยู่กับคุณแม่ของเขาที่ชื่อว่า Jacklyn Gise Jorgensen ซึ่งได้แยกทางกับคุณพ่อของเขาตั้งแต่ตอนที่เขาพึ่งเกิดได้ไม่นาน ซึ่งยังไม่น่าที่จะจำหน้าคุณพ่อที่แท้จริงของเขาได้ด้วยซ้ำ
เมื่อ Jeff อายุได้ประมาณ 5 ขวบ คุณแม่ของเขาก็ได้แต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยงที่ชื่อ Miguel Mike Bezos เป็นชาวคิวบาที่อพยพมาประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วัย 15 ปี และ Mike ก็รับ Jeff และเลี้ยงดู Jeff เปรียบเสมือนลูกแท้ ๆ ของเขา และ Jeff ก็รัก Mike มากเช่นกัน โดยเขาไม่เคยสนใจเลยว่าจริง ๆ แล้วพ่อที่แท้จริงของเขานั้นเป็นใคร และ Jeff ก็ได้ใช้นามสกุลของ Mike นับตั้งแต่นั้นมา
ในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นนั้น Jeff มักใช้เวลากับคุณตาของเขาซะส่วนใหญ่ โดยเขามักจะไปเป็นลูกมือของคุณตาที่เป็นชาวไร่อยู่บ่อยครั้ง (แต่ก็เป็นชาวไร่ที่มีพื้นที่กว่าหกหมื่นกว่าไร่) ด้วยความที่เป็นชาวไร่ ที่ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาตนเองนั้น Jeff ก็ได้เรียนรู้งานประดิษฐ์ งานช่าง แทบจะทุกงาน และก็มีคุณตานี่แหละ ที่คอยเป็นพี่เลี้ยงให้เขา จึงทำให้นิสัยรักการเรียนรู้และชอบสิ่งประดิษฐ์ติดตัวเขามาตั้งแต่วัยเด็ก
ส่วนในช่วงวัยเรียนนั้น ต้องเรียกได้ว่า Jeff เป็นคนที่ขยันเรียนมาก มากขนาดที่ว่า มีหนังสือกี่เล่มเขาก็อ่านเรียบ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเด็ก Nerd ดี ๆ นี่เอง ซึ่งในช่วงมัธยมปลายนั้น Jeff ก็ได้ย้ายบ้านไปที่เมือง Miami รัฐ Florida โดยเข้าศึกษาที่โรงเรียน Miami Palmetto Senior High School โดยเรียนสายวิทย์ จึงทำให้เขาตัดสินใจที่อยากจะเป็นนักฟิสิกส์ และตัดสินใจสอบเข้าที่มหาวิทยาลัย Princeton แต่ในระหว่างเรียนเขาก็พบว่า วิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์นั้น มันเป็นอะไรที่เขาหลุ่มหลงกับมันมาก ถึงกับยกเลิกความคิดที่จะเป็นนักฟิสิกส์ ก็หันเหมาเรียนด้านคอมพิวเตอร์แทน และจบการศึกษาในปี 1986 วิชาเอกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรมการไฟฟ้า
และหลังจากที่เรียนจบ Jeff ก็ได้กระโดดเข้า Wall Street แต่ไม่ใช่ในฐานะนักเล่นหุ้น แต่เป็นพนักงานวิเคราะห์แนวโน้มหุ้นด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งในสมัยนั้น ตำแหน่งนี้ เป็นที่ต้องการของบริษัทหุ้นใน Wall Street เป็นอย่างมาก ทำให้หน้าที่การงานของ Jeff นั้นเติบโตแบบก้าวกระโดด
- ปี 1986 – 1988 ทำงานที่ Fitel
- ปี 1988 – 1994 ทำงานที่ E.D. Shaw & Co.
ซึ่งในระหว่างที่เขาทำงานอยู่ที่นี่ เขาก็ได้แต่งงานกับ McKenzie Tuttle ในปี 1993 ซึ่งเธอก็ทำงานที่เดียวกันกับ Jeff ในตำแหน่งนักวิจัยและเป็นผู้ช่วยของ Jeff และทั้งคู่ก็ได้มีลูกด้วยกันทั้งหมด 4 คน
และด้วยความที่ Jeff นั้น ได้ขึ้นเป็นระดับผู้บริหารอย่างรวดเร็ว มีหน้าที่การงานที่มั่นคง แต่ก็บยังคงชอบความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งเขาได้พบโอกาสพบกับโลกใหม่อย่างโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่ง ณ ตอนนั้น ยังคงใช้ในวงจำกัดมาก ๆ ซึ่งใช้ในการทหารซะส่วนใหญ่
จนกระทั่งในปี 1994 Jeff ได้เห็นแนวโน้มว่า มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตพุ่งขึ้นสูงกว่า 2300% ภายในปีเดียว แถมในสมัยนั้น ยังมีร้านค้าออนไลน์น้อยมาก Jeff จึงตัดสินใจหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งเขาได้เลือกตลาดหนังสือเป็นตัวเลือกแรก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ติดอันดับ Top 20 ที่มีคนสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์สูงที่สุด
และนอกจากนั้น Jeff ยังได้เห็นช่องว่างทางการค้าของวงการขายหนังสือของเจ้าใหญ่ ๆ นั่นก็คือ ข้อมูลหนังสือของเจ้าใหญ่ ๆ นั้น ไม่มีเจ้าใดเลยที่เปิดให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานทั่วไป เข้ามาค้นหาหนังสือว่ามีของอยู่ในสต็อคหรือไม่ และราคาหนังสือเท่าไหร่ เพราะบริษัทส่วนใหญ่จะเก็บข้อมูลไว้กับตัวเองเพียงอย่างเดียว รวมไปถึงข้อจำกัดของร้านหนังสือก็คือ สามารถบรรจุหนังสือได้จำกัด แต่ในขณะที่บนเว็บไซต์ จะใส่ข้อมูลหนังสือกี่เล่มก็ได้ ไม่มีจำกัด และสามารถอ่านหน้าตัวอย่างก่อนซื้อได้อีกด้วย
และด้วยความมุ่งมั่นของ Jeff Bezos ที่ต้องการกระโดดเข้าสู่ตลาดการขายหนังสือออนไลน์อย่างแรงกล้า เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่มั่นคง พร้อมกับย้ายครอบครัว พาลูกเมียไปเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ที่เมือง Seattle
เว็บไซต์ Amazon.com ที่ได้แรงบันดาลใจจากชื่อแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในโลก จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1995 โดยมีจุดประสงค์หลักคือ ต้องการเป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้จงได้
Jeff ได้เริ่มต้นทำการตลาดแบบบ้าน ๆ ด้วยการส่งอีเมล์หาเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันประมาณ 300 คน เพื่อให้มาทดลองใช้งานระบบบนเว็บไซต์ ก่อนที่จะเปิดตัวจริง ๆ ในวันที่ 16 กรกฎาคม 1995
โดยวิธีทำการตลาดของ Jeff ในช่วงแรกนั้น ไม่ได้ใช้เงินเลยสักกะบาทเดียว เพราะเขาใช้วิธีการบ้าน ๆ ด้วยการขอให้เพื่อน ๆ ที่เข้ามาใช้ระบบก่อนหน้านี้ ช่วยกันกระจายข่าวออกไป
รวมไปถึงการใช้กลยุทธ์เรื่องราคาของการค้าปลีกทั่วไปนั่นก็คือ เขาขายหนังสือต่ำกว่าราคาปก อยู่ประมาณ 10-30%
และนอกจากนั้นเว็บไซต์ Amazon.com ก็ดันไปเตะตาของ Jerry Yang ผู้ก่อตั้ง Yahoo! โดย Jerry Yang นั้น ได้ติดต่อ Jeff Bezos เพื่อขอนำข้อมูลเว็บไซต์ไปแปะไว้ในหน้าแนะนำเว็บน้องใหม่ ทำให้ในสุดสัปดาห์นั้น Amazon.com มียอดจำหน่ายพุ่งขึ้นเป็น 12,000 เหรียญ (หรือประมาณ 3 แสนกว่าบาท) ในทันที
หลังจากนั้นเพียง 30 วัน เขาก็ได้ลูกค้าเข้ามาจากทั่วประเทศอเมริกา แถมยังมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศกว่าอีก 45 ประเทศอีกด้วย
และผ่านไปเพียง 2 เดือน ยอดขายหนังสือออนไลน์ของ Amazon.com ก็พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 80,000 เหรียญฯ ต่อเดือน หรือราว ๆ 2 ล้านกว่าบาทต่อเดือน
และด้วยความที่มันเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงผ่านไปแค่ 2 ปี Jeff ก็ได้นำบริษัท Amazon จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นในปี 1997 ซึ่งมูลค่าของหุ้น Amazon นั้นสูงกว่า ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาในสมัยนั้น อย่าง Barnes and Nobles รวมกันกับ Borders รวมกันซะอีก
จากการที่ Amazon นั้น เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ Jeff มองเห็นช่องทางในการขยายธุรกิจ ที่จะไม่หยุดอยู่ที่เพียงร้านขายหนังสือออนไลน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาจึงค่อย ๆ เพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เข้าไปในร้าน ไม่ว่าจะเป็น CD, DVD, Elctronics และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน จน Amazon.com ได้รับฉายาว่า “Everything Store” คือ เป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ขายตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ซึ่งในปัจจุบันนั้น Amazon.com มีสินค้าทั้งหมดรวมแล้วมากกว่า 300 ล้านรายการ จากแต่เดิมมีประมาณหลักสิบล้าน แต่เนื่องจาก Amazon.com ใช้วิธีการให้เหล่าบรรดาผู้ค้ารายอื่น ๆ เข้ามาร่วมขายด้วย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่น ๆ เข้ามาแข่งขันกับ Amazon เอง โดยสามารถขายสินค้าประเภทเดียวกันได้ แถมยังสามารถขายตัดราคาให้มีราคาถูกกว่า Amazon.com ก็สามารถทำได้เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น Amazon.com นั้น มีการขายรองเท้าออนไลน์อยู่แล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจซื้อกิจการของ Zappos.com ของ Tony Hsieh มาในราคา 1.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (หรือประมาณกว่า 3 หมื่นล้านบาท) เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันเองภายในองค์กรเดียวกัน
และในปี 1999 นิตยสาร Time Magazine ก็ได้ยกให้ Jeff Bezos เป็น “Person of The Year” หรือเป็นบุคคลแห่งปี 1999 เนื่องจาก Jeff Bezos นั้น ได้เปลี่ยนวงการ การค้าขายของตลาดโลกไปโดยสิ้นเชิง
ดูเหมือน Amazon.com นั้น จะไปได้ด้วยดี แต่ก็มีอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่เกือบจะทำให้ไปไม่รอด เพราะในช่วงปี 2000 นั้น ตลาดนั้นก็พบกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เรียกวิกฤตนี้ว่า “ฟองสบู่ดอทคอม”
เนื่องจากในช่วงสมัยนั้น อินเตอร์เน็ตมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และก็มีบริษัทอินเตอร์เน็ต สามารถเข้าตลาดหุ้นได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้มีมูลค่าหุ้นสูงเกินจริง จึงทำให้ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์แนสแต็ก (Nasdaq) ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นจาก 1,200 จุดในปี 1995 ไปถึงจุดสูงสุดที่ 6,000 จุด แต่แล้ว ในเดือน มีนาคม ปี 2000 ดัชนีหุ้นแนสแต็กปรับตัวลง จาก 6,885 จุด ลดลงเหลือมาเพียง 1,600 จุด ในเดือนกันยายน ปี 2002
ทำให้บริษัทดอทคอมต้องล้มหายตายจากไปอย่างมากมาย และผลกระทบนี้ ก็ส่งผลต่อ Amazon.com ด้วย จึงทำให้ Jeff ต้องตัดสินใจปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ และลดจำนวนพนักงานลง ด้วยการปลดพนักงานกว่า 1,300 ตำแหน่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2001
และนั่นก็ทำให้ Amazon.com รอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจมาได้จนถึงทุกวันนี้ และในปัจจุบันนั้น ก็มีพนักงานกว่า 500,000 คน โดยในปี 2017 Amazon.com นั้น มีรายได้อยู่ที่ 177,900 ล้านหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ กว่า 5 ล้านล้านบาท และ Amazon.com ก็ยังคงขยายธุรกิจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากด้าน E-commerce แล้ว Jeff ยังได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับธุรกิจอวกาศ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลของคุณตามาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากคุณตาของเขานั้น เคยทำงานเป็นผู้อำนวยการส่วนภูมิภาคของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู (Atomic Energy Commission) โดย ในระหว่างปี 2000 Jeff ได้ก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจอวกาศ ที่ชื่อว่า Blue Origin ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทดลองและพัฒนาโครงการจรวดขนส่งยานอวกาศ โดยได้มีการทดสอบและทดลองส่งยานอวกาศอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี 2011 Blue Origin ก็ได้รับเงินทุนจากองค์กร NASA เพื่อเร่งพัฒนายานอวกาศ New Shepard อีกด้วย
แม้ว่า บุคคลิกภายนอกของ Jeff นั้น จะดูหงิม ๆ ยิ้มง่าย แต่ Jeff เป็นคนที่มุ่งมั่น และเอาจริงเอาจังกับงานมาก เขามักใส่ใจในทุก ๆ รายละเอียดของธุรกิจ และมักให้ความสำคัญกับลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะ Jeff ได้กล่าวเอาไว้ว่า หากไม่มีลูกค้าที่คอยซื้อสินค้าของเขา ก็คงไม่สามารถที่จะดำเนินการธุรกิจต่อไปได้ หากลูกค้าแฮปปี้ในการจ่ายเงิน บริษัทก็เงินจ่ายพนักงานและผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น
Jeff Bezos ได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“The best customer service is if the customer doesn’t need to call you, doesn’t need to talk to you. It just works.”
หมายถึง ระบบการบริการลูกค้าที่ดีที่สุดก็คือ ถ้าหากลูกค้าไม่ต้องการโทรหาคุณ ไม่ต้องการพูดคุยหรือสอบถามกับคุณ นั่นหมายถึง คุณได้สร้างระบบ Customer Services ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาแล้ว
– Jeff Bezos –
Resources
- https://en.wikipedia.org/wiki/Jeff_Bezos
- https://blog.adioma.com/how-jeff-bezos-started-infographic/
- https://astrumpeople.com/jeff-bezos-biography/
- https://www.ceoblog.co/jeff-bezos-story/
- https://www.ceoblog.co/theceo-jeff-bezos/
- https://www.facebook.com/longtunman/photos/a.113656345833649.1073741828.113397052526245/291965824669366/?type=3&permPage=1
- https://www.businesswire.com/news/home/20160614006063/en/Products-Amazon-Carry-Categories