Jim Kwik ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ที่สอนให้คนทั่วโลกให้ใช้สมองให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ที่เขาใช้เวลาในการพัฒนาเทคนิคมามากกว่า 30 ปี และนอกจากนั้นเขายังเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับทีม X-Men ทั้งทีม มาแล้ว เพราะผู้กำกับอยากให้นักแสดงทุกคนสามารถท่องจำบทได้อย่างแม่นยำ และ Jim Kwik ก็เชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า การใช้ศักยภาพของสมองให้สูงที่สุดก็คือพลัง Superhuman ของมนุษยชาติดี ๆ นี่เอง
โดยในคอนเท้นต์นี้ Jim Kwik จะมาแชร์วิธีการเรียนรู้ทักษะและความรู้ใหม่ ๆ ที่ใช้เวลาในการเรียนรู้ให้เหลือเพียงครึ่งเดียว ซึ่งการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น นั่นหมายถึงคุณสามารถประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน โดย Jim Kwik ได้เริ่มต้นด้วยคำว่า ‘FAST’ ที่แยกย่อยวิธีออกได้เป็น 4 ส่วนดังนี้ก็คือ
มาดูกันที่ตัวแรก F คือ Forget จงลืมมันไปซะ
หลายคนอาจสงสัยว่า ‘อ้าว’ อยากเรียนรู้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ ไหงเริ่มต้นให้ลืมกันล่ะ
โดย Jim Kwik เขาได้อธิบายว่า ก่อนที่คุณจะเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เรื่องใหม่ ๆ ให้คุณลืมสิ่งที่เคยรู้มาก่อนหน้านี้ทั้งหมดก่อน เพราะหลายคนมักจะติดกับดักที่ว่า ‘ฉันรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว’ นั่นมันเหมือนกับคนที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ที่ไม่พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ
ดังนั้น ให้เริ่มต้นด้วยการตั้งตนเองว่า ‘ฉันเป็นมือใหม่’ ฉันพร้อมที่รับข้อมูลใหม่ ๆ โดยไม่ปิดกั้น ไม่ตีกรอบ เพราะอันที่จริงแล้ว หลายคนส่วนใหญ่ มักจะไม่รู้ว่าว่าตนเองนั้นไม่รู้อะไร ดังนั้นให้คุณลืมไปก่อนว่า ณ ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่ ภูมิหลังคุณเป็นอย่างไร การศึกษาคุณอยู่ระดับไหน เพราะหลายครั้งคนเรามักถูกจำกัดขอบเขตการเรียนรู้ เช่น อายุน้อยก็ทำได้แค่นี้ อายุมากก็ทำได้แค่นั้น หรือการศึกษาน้อยก็ทำได้น้อย การศึกษามากก็ทำได้มาก เพราะแท้ที่จริงแล้ว พลังในการเรียนรู้ของคนเรานั้น ไม่มีขีดจำกัด ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตัวต่อมาคือ ‘A’ คือ Active ความกระตือรือล้น
ถ้าหากวันนี้คุณรู้สึกว่าโลกหมุนเร็วมาก จนคุณรู้สึกเหนื่อย มีข้อมูลเยอะแยะมากมายให้เสพย์ เหนื่อยล้ากับการอ่านหนังสือหาข้อมูลความรู้จำนวนมาก ในเวลาที่น้อยนิด มีอีเมลที่ต้องอ่านหลายสิบฉบับ หรือมี podcast ที่ต้องฟังเป็นสิบตอน
ซึ่งนั่นมันไม่ใช่ความผิดของคุณ เพราะในโลกยุคนี้เป็นยุคของ Information เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เป็นการเปลี่ยนถ่ายจากยุคอุตสาหกรรม ยุคเกษตรกรรม ไปสู่ยุคของเทคโนโลยีอย่าง ยุคของรถไฟฟ้าและรถขับเคลื่อนอัตโนมัติกำลังจะมาครองเมือง ยุคของการที่มนุษยชาติกำลังจะไปตั้งรกรากที่ดาวอังคาร
ในขณะที่คนเรานั้นถูกปลูกฝังระบบการเรียนรู้ที่ยังอยู่ในยุคของรถม้าอยู่เลย ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ในโรงเรียนนั้น เราถูกสอนให้นั่งอยู่เฉย ๆ ฟังครูสอนเป็นหลัก และใช้การท่องจำแบบนักแก้วนกขุนทอง ซึ่งมันเป็นระบบการเรียนรู้ที่ขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์เรา เพราะโดยปกติแล้วคนเรานั้นมักเรียนรู้ได้ดีผ่านการกระตุ้นให้มีความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้ที่จะทำในสิ่งใหม่ ๆ เรียนรู้ผ่านการมีปฏิกิริยาโต้ตอบ เช่นการ จดโน้ตลงในสมุด การยกมือถามผู้สอนเมื่อมีข้อสงสัย นั่นคือความหมายของคำว่า Active ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อสร้างความกระตือรือล้นในการเรียนรู้
ตัวต่อมา ‘S’ = State สภาวะ
โดย Jim Kwik เขาหมายถึง สภาวะของอารมณ์ จิตใจ ร่างกาย ในปัจจุบันของเรา โดยเคล็ดลับในการสร้างการจดจำในระยะยาวสูตรของมันก็คือ Information + Emotion = Long-Term Memmory
ซึ่งคุณคงเคยผ่านเหตุการณ์ในทำนองที่ว่า เวลาที่ได้ยินเพลงหรือได้กลิ่นบางอย่าง จู่ ๆ ก็ทำให้คุณนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อวันวานที่ผ่านมานานแล้ว แต่คุณก็ยังจดจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดี นั่นคือ คุณมีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ในวันดังกล่าว
แต่พอลองนึกถึงตอนที่เรียนอยู่ในโรงเรียน ที่คุณกำลังนั่งฟังคุณครูบรรยายด้วยความเบื่อหน่าย ไม่มีอารมณ์ร่วม ทำให้คุณเหมือนฟังผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา นั่นคือการเรียนวันนั้นคุณจำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้เลย เพราะ State หรือสภาวะ ณ ตอนนั้น คุณไม่มีอารมณ์ร่วมกับมันเลย
ดังนั้น หากต้องการเรียนรู้และจดจำได้เป็นอย่างดี ก็จะต้องควบคุม State หรือสภาวะให้ได้ และคนที่จะควบคุมสภาวะนั้นได้ ก็คือตัวของคุณเอง
โดย Jim Kwik ได้เปรียบเทียบว่า ตัวเรานั้นคือ Thermostat ไม่ใช่ Thermometer เราคือเครื่องควบคุมอุณหภูมิ ไม่ใช่เครื่องวัดอุณหภูมิ
ความหมายก็คือ หากเราทำตัวเป็น Thermometer หรือเครื่องวัดอุณหภูมินั้น ตัวเราก็จะแปลเปลี่ยนสภาพของตนเองไปตามสภาพของสิ่งแวดล้อม เพราะ Thermometer จะวัดอุณหภูมิจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่นเดียวกัน หากเกิดภาวะเศรษฐกิจไม่ดี รู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา เราก็จะแปรเปลี่ยนอารมณ์ไปตามสิ่งเหล่านั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยภายนอกตัวเราแทบทั้งสิ้น
แต่ในขณะที่เราทำตัวเป็น Thermostat หรือเครื่องควบคุมอุณหภูมิ โฟกัสของเราจะเปลี่ยนจากสิ่งรอบตัวมาเป็นการควบคุมจิตใจภายในของตัวเราเอง ซึ่งเราสามารถตั้งค่า กำหนดทิศทาง กำหนดมุมมอง กำหนดวิสัยทัศน์ กำหนดเป้าหมาย กำหนดชีวิตของเราเองได้ และเมื่อเราควบคุมตนเองได้ ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมของตัวเราเปลี่ยนไปได้เช่นกัน ก็เหมือนกับเครื่อง Thermostat ที่ควบคุมอุณหภูมิภายในตัวมันเอง แล้วรอบ ๆ ตัวมันก็มีอุณหภูมิเปลี่ยนตามนั่นเอง
ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานั้น มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ตัวคุณมีความรู้สึกอย่างไร ณ ขณะนั้น
โดย Jim Kwik ได้ข้อคิดมาจากซุปเปอร์ฮีโร่ของเขาอย่าง Spiderman ที่มี Quote ที่บอกว่า “With Great Power Comes Great Responsibility” พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง เช่นเดียวกันในทางตรงกันข้ามกับประโยคที่ว่า “With Great Responsibility Comes Great Power” ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับพลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยเช่นเดียวกัน ความหมายก็คือ หากเรามีความรับผิดชอบในการควบคุมจิตใจของตัวเราได้ เราก็จะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน
และสุดท้ายตัว ‘T’ = Teach การสอน
การสอนผู้อื่นในสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้นั้น คือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเราพยายามที่จะสอนผู้อื่น การจดจำ การเรียบเรียง การเรียนรู้ ในเนื้อหาเหล่านั้น จะเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะเราจะพยายามทำให้เนื้อหาเหล่านั้น ทำให้ทั้งตัวเราเองและผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันเหมือนกับการเรียนรู้สองครั้งในเวลาเดียวกัน
Resources