Michael Saylor ผู้ก่อตั้งบริษัท MicroStrategy บริษัทมหาชนที่มี bitcoin มากที่สุดในโลก ที่มี bitcoin ในครอบครองราว ๆ 129,699 BTC และส่วนตัวของเขาก็ถือครอง bitcoin อยู่ราว ๆ 17,732 BTC ทำให้ในปัจจุบันนี้เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ราว ๆ $1,200 ล้านดอลล่าร์ฯ เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 1,818 ของโลกจากรายงานของนิตยสาร Forbs
โดยเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2022 ที่ผ่านนี้ เขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์บนช่อง Youtube ของ Stansberry Research ในการอัพเดทเหตุการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับ bitcoin
Michael Saylor กับ MicroStrategy ยังโอเคอยู่ไหม?
โดยพิธีกรสาว Daniela Cambone ได้เริ่มต้นถาม Michael Saylor ว่า เขารู้สึกอย่างไรที่สำนักข่าวต่าง ๆ พาสต์หัวข่าวหลังจากที่ตัวของเขาประกาศลงจากตำแหน่ง CEO ของบริษัท MicroStrategy นั่นก็เป็นเพราะเขานำพาให้บริษัทขาดทุนจาก Bitcoin เป็นจำนวนมาก และเขาได้ยกธงขาวยอมแพ้ในตลาดนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วบ้าง?
โดย Michael Saylor ตอบว่า พาสต์หัวข่าวดังกล่าวนั้น มันไม่ค่อยแฟร์กับเขาสักเท่าไหร่นัก โดยเขาได้เล่าย้อนไปในวันแรกที่บริษัท MicroStrategy เลือกใช้กลยุทธ์ในการลงทุนใน bitcoin เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2020 ที่ ณ ตอนนั้น บริษัทที่ราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ $66/share แต่ ณ ตอนที่ให้สัมภาษณ์อยู่นี้บริษัทมีมูลค่าหุ้นละ $329/share (ที่แม้ว่าราคาของ bitcoin จะล่วงลงจากจุดสูงสุดกว่า 70% ก็ตามที)
ดังนั้นผู้ถือหุ้นของ Microstrategy นั้น สามารถทำเงินได้หลายพันล้านดอลล่าร์ฯ หลังจากเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนใน bitcoin โดยที่ไม่มีใครขาดขุนเลยหลังจากเลือกใช้กลยุทธ์ดังกล่าว
ส่วนถ้าให้พูดถึงกำไรใน bitcoin โดยครั้งแรกที่บริษัท MicroStrategy ได้ทำการซื้อครั้งแรกเป็นจำนวนเงิน $250 ล้านดอลล่าร์ฯ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2020 นั้น จนถึงวันนี้ ผ่านไป 2 ปี bitcoin โตขึ้นอยู่ที่ราว ๆ 101%
ในขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันนั้น
- ตลาด S&P 500 โตขึ้นเพียง 23%
- ตลาด NASDAQ โตขึ้นเพียง 13%
- ตลาด Gold ลดลง -13%
- ตลาด Bond Index ลดลง -14%
- ตลาด Silver ลดลง -29%
ดังนั้น ถ้าเอาสถิติตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงมาวัดในช่วงเวลาเดียวกันนั้น bitcoin โตทุบสถิติมากกว่า Asset ใด ๆ ที่ว่ามาเลย
มีอย่างเดียวที่โตกว่า bitcoin ก็คือ บริษัท MicroStrategy ที่โตขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 166%
ดังนั้นบริษัท MicroStrategy รวม ๆ แล้วโตขึ้นราว ๆ 1.6 เท่า จากการเลือกใช้กลยุทธ์ในการลงทุนใน bitcoin
ซึ่งบริษัท MicroStrategy ถือได้ว่าเป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์ที่เติบโตมากที่สุดในแวดวงอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์ ยกตัวอย่างเช่นจาก
- บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Oracle ที่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เติบโตอยู่ที่ราว ๆ 39% – 40%
- ส่วน IBM เติบโตแค่ 2%
- Saleforce ลดลง -4%
- และ SAP ลดลง -40%
แต่ในขณะที่บริษัท MicroStrategy เติบโตกว่า 166%
หรือถ้าให้ไปเปรียบเทียบกับบริษัท Tech company ยักษ์ใหญ่อย่าง
- Google ที่เติบโต 58%
- Apple โตขึ้น 46%
- Microsoft โตขึ้น 34%
- Amazon ลดลง -11%
- Facebook ลดลง -35%
- Netflix ลดลง -52%
และเช่นเดิม บริษัท MicroStrategy เติบโตกว่า 166%
และข้อเท็จจริงจากตัวเลขสถิติที่ถูกบันทึกเอาไว้นั้นก็พบว่า มีบริษัทใน S&P 500 เพียงแค่ 14 บริษัทเท่านั้น ที่เติบโตมากกว่าบริษัท MicroStrategy ดังนั้นบริษัทนี้เติบโตกว่าบริษัทอีกกว่าร้อยละ 97 ที่มีทั้งหมดอยู่ในตลาด S&P 500 (ไม่ได้ขิง เพียงแต่เอาตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงมาพูดก็เท่านั้นเอง)
ดังนั้น ถ้ามีใครถามว่า เขายังสบายดีอยู่ไหม? บริษัท MicroStrategy จะรอดหรือไม่ เขาก็ตอบได้เต็มปากว่า ยังสบายดีอยู่
ซึ่งโอเคแหละว่า ในตลาด crypto ใน bitcoin นั้น มีความผันผวนที่สูง แต่มันก็เป็นไปตาม cycle เป็นไปตามรอบของมัน ที่มีขึ้นแล้วก็มีลงเป็นธรรมดา เพราะผู้คนทั่วโลกต่างเข้ามาเทรดทั้ง Long ทั้ง Short แต่ถ้ามองในระยะยาวแล้ว bitcoin มันก็ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ในขณะที่นักวิจารณ์และนักวิเคราะห์ตามสื่อกระแสหลักต่าง ๆ นั้น พวกเขาไม่ชอบความผันผวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น คำแนะนของพวกเขาก็มักจะเป็นการแนะนำให้ผู้คนนำเงินสดไปฝากเอาไว้ในธนาคารที่ได้ดอกเบี้ยเงินฝากไม่ถึง 1% เพราะพวกเขาไม่อยากสูญเสียเงินสดของพวกเขาไป เพราะพวกเขาไม่เข้าใจใน cycle ของ bitcoin ไม่เข้าใจระบบเศรษฐกิจของตลาด crypto
ในขณะที่ตัวของ Michael Saylor เขาตระหนักได้ว่า หากบริษัท MicroStrategy ยังคงเก็บเงินสดเอาไว้ในธนาคารอยู่เฉย ๆ โดยไม่คิดจะลงทุนอะไรเลย พวกเขาจะสูญเสียอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยเฉลี่ยราว ๆ 20% ต่อปี
ในขณะที่จำนวนเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่ผู้ปริ้นท์ออกมาในช่วง 2-3 ล่าสุดนั้น ปริมาณ supply ได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 และนอกจากนั้น ราคาบ้านในสหรัฐอเมริกาพุ่งขึ้นสูงกว่า 40%
ดังนั้นหากเมื่อสองปีที่แล้ว ทาง MicroStrategy ยังคงถือเงินสดที่มีอยู่ในมือราว ๆ $500 ล้านดอลล่าร์ฯ โดยไม่ทำอะไรเลยนั้น มาถึงวันนี้พวกเขาจะสูญเสียอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไปมากกว่า 40% เลยทีเดียว
ดังนั้น ตัวเลือกของเขาก็มีอยู่สองทางหลัก ๆ ก็คือ จะอยู่ในเรือขนาดใหญ่ที่กำลังค่อย ๆ จมลงอย่างช้า(cash) หรือจะเลือกที่จะกระโดดลงบนเรือชูชีพ(bitcoin) ที่แม้จะมีความผันผวนที่สูง แต่มันก็ยังคงลอยบนมหาสมุทรได้อยู่
ซึ่งเขาก็ได้เข้าลงทุนใน bitcoin ตั้งแต่ราคาของมันอยู่ที่ราว ๆ $9,000 – $10,000 ต่อ 1 bitcoin และเขาก็ยังคงสะสมเพิ่มจำนวนเหรียญมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่เคยทำการขายมันออกไปเลยแม้แต่เหรียญเดียว
ซึ่งแน่นอนว่า หากเป็นการเทรดเพื่อทำกำไรในช่วง 3-6 เดือนล่าสุดที่ผ่านมานั้น ที่แม้ว่าราคาของ bitcoin จะร่วงลงจากจุดสูงสุดจากราคาเหรียญละ $69,000 จนลงมาเหลือต่ำสุดอยู่ที่ช่วงราคาเหรียญละ $17,600 โดย ณ ขณะที่ทำการสัมภาษณ์อยู่นี้ ราคาของ bitcoin ก็อยู่ที่ราว ๆ เหรียญละ $23,000 ถ้าเอาแค่ช่วงสั้น ๆ นี้ไปเปรียบเทียบกับ Asset ตัวอื่น ๆ บนโลกใบนี้ มันแพ้อย่างราบคาบ
แต่หากพูดถึงการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไปนั้น bitcoin มันกลับชนะ Asset เกือบทั้งหมดในทุก ๆ ตลาด 3 ปีย้อนหลังก็ชนะ 5 ปีย้อนหลังก็ชนะ 10 ปีย้อนหลังก็ชนะ
ดังนั้น เขายังคงมั่นใจและเลือกที่จะลงทุนในระยะยาวใน bitcoin อยู่คงเดิม เพราะมันมี Performance ที่ดีที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับ Asset อื่น ๆ
ทำไม Michael Saylor จึงตัดสินใจที่จะลงจากตำแหน่ง CEO ในเวลานี้?
เพราะแฟน ๆ bitcoin ทั่วโลกต่างตกใจที่ข่าวการลงจากตำแหน่ง CEO บริษัท MicroStrategy ของเขานั้นไปแพร่กระจายออกไป ซึ่งเขาไม่ได้ไปไหน แค่เอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งประธานบริหารแทน เพื่อที่จะได้มีเวลาในการโฟกัสในเรื่องของ bitcoin อย่างเต็มที่ก็เท่านั้นเอง
ซึ่งถ้านับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัมา เขาก็อยู่ในตำแหน่ง CEO มาแล้วกว่า 33 ปี และเขาก็ยังคงเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่มีสัดส่วนในบริษัทราว ๆ 68% จากผู้ถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะลงจากตำแหน่ง CEO แต่บริษัทก็ยังคงอยู่ในการควบคุมของเขาอยู่
ส่วนคนที่จะเข้ามาบริหารต่อจากเขาก็คือ Phong Le ซึ่งควบตำแหน่ง President ของบริษัท และตำแหน่ง CFO : Chief Financial Officer ที่บริหารด้านการเงิน ตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งอันที่จริงแล้ว Phong Le ก็บริหารบริษัทมาแล้วในช่วง 2 ปีล่าสุดที่ผ่านมานี้ ที่บริหารแบบวันต่อวัน ซึ่งเขาก็ได้รับการโปรโมทเลื่อนขั้นมาตั้งนมนานแล้ว เพราะเขาขึ้นมาเป็นระดับผู้บริหารในตำแหน่ง COO : Chief Operation Officer ตั้งแต่ปี 2018 ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นก็ไม่แปลก ที่ถึงเวลาที่ Phong Le จะขึ้นมาเป็นตำแหน่ง CEO ของบริษัท ส่วนตำแหน่ง CFO ทางบริษัทก็ได้จ้างผู้บริหารคนใหม่อย่าง Andrew Kang เข้ามาทำแทน
โดยกิจกรรมภายในบริษัทกว่าร้อยละ 99 นั้น เป็นเรื่องของการขายซอร์ฟแวร์ ที่มีทีมงานกว่า 2,150 คน ที่คอยบริการลูกค้ามากกว่าพันราย และมีการทำธุรกรรมมากกว่าพันครั้งในแต่ละวัน
แต่ในขณะที่แม้ว่าตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ เขาจะพูดแต่เรื่องของ bitcoin ซะเยอะ แต่กลับมีการทำธุรกรรมหรือซื้อ bitcoin ไตรมาสละ 1 ครั้งเท่านั้นเอง
ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งตำแหน่ง CEO ที่จะต้องดูแบบวันต่อวันกับ bitcoin แต่เขาสามารถนั่งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริษัท และในฐานะประธานคณะกรรมการการลงทุน เพื่อที่จะจัดการเรื่องที่เกี่ยวกับ bitcoin ไตรมาสละครั้ง ซึ่งงานดังกล่าวก็เช่น อาจจะทำการกู้ยืมเงินเพื่อ หรือออกหุ้นกู้บริษัทเพิ่ม เพื่อเข้าซื้อ bitcoin เพิ่มในแต่ละไตรมาส อาจเฉลี่ยราว ๆ $200 ล้านดอลล่าร์ฯ ในแต่ละครั้ง
ซึ่งกระบวนการการถายโอนตำแหน่ง CEO คนใหม่นี้ ดำเนินการมาแล้วมากกว่า 7 ปี แต่มันบังเอิญว่าอยู่ในช่วงที่ราคาของ bitcoin กำลังตกลงฮวบฮาบพอดี สื่อต่าง ๆ ก็เลยเล่นข่าวว่า ว่าลงจากตำแหน่ง CEO เพราะล้มเหลวในการลงทุนใน bitcoin ซึ่งนั่นก็คือการนั่งเทียนเขียนข่าวไปเองของสื่อต่าง ๆ ที่ไม่ได้อ้างอิงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ที่มีการบันทึกตัวเลขไว้อย่างจัดเชน
ความผันผวนของ Bitcoin
ถ้าพูดถึงการลงทุนใน Asset อื่น ๆ แค่พูดถึงราคาตกลงเพียงแค่ -10% -20% นี่นักลงทุนต่าง ๆ ก็หัวใจแทบจะวายกันแล้ว
แต่พอมาเป็น bitcoin นี่ -70% -80% นี่กลับมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ทาง Michael Saylor มีคำแนะนำอย่างไรบ้างกับคนที่คิดจะเข้ามาลงทุนใน bitcoin
โดยเขาบอกว่า bitcoin ไม่เหมาะกับคนที่คิดว่าจะลงทุนเป็นเวลาน้อยกว่า 4 ปี หรือนานกว่านั้น
ซึ่ง bitcoin จะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่มีรอบของมันอยู่เป็นแพทเทิร์นที่คล้าย ๆ เดิม ทุก ๆ 4 ปี ซึ่งสำหรับคนทั่ว ๆ ไปนั้น วิธีการลงทุนที่เหมาะก็คือ ใช้เทคนิคแบบ DCA : Dollar Cost Averaging คือการเข้าถัวเฉลี่ยซื้อด้วยจำนวนเงินในแต่ละครั้งที่เท่า ๆ กัน ในช่วงระยะเวลาห่างเท่า ๆ กัน ก็จะสามารถทำให้ได้ในราคาค่าเฉลี่ยที่เหมาะสม โดยเฉพาะกับ Asset ที่มีการเติบโตในระยะยาว
ดังนั้นหากคุณคิดจะเก็งกำไรใน bitcoin ที่ไม่ใช่ในกรอบ 4 ปี แต่เป็นภายใน 4 เดือน หรือภายใน 4 สัปดาห์ แล้วล่ะก็ ความผันผวนที่สูงของมันก็จะเป็นอะไรที่ทำให้เครียดเอามาก ๆ สำหรับการลงทุนในระยะสั้น
และเนื่องจาก bitcoin เป็น Asset ที่สามารถทำ performance ได้ดีกว่า Asset ใด ๆ บนโลกใบนี้ ดีกว่าบริษัท Tech Company ใด ๆ และดีกว่าบริษัท Software Company ใด ๆ นั่นก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า การที่เขาเลือกใช้กลยุทธ์ในการลงทุนใน bitcoin นั้น สามารถทำผลงานได้ดีกว่าบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในตลาด S&P 500 กว่าร้อยละ 97 ของจำนวนบริษัททั้งหมดได้
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะลงทุนในสิ่งที่มีความผันผวนที่สูงแต่เป็นสิ่งที่สามารถชนะในตลาดได้ในระยะยาว ดีกว่าจะไปเลือกใช้กลยุทธ์ที่มั่นคงแต่ในระยะยาวกลับกลายเป็นผู้แพ้อย่างช้า ๆ
ทำไมตลาด crypto ถึงพังลง?
โดยทาง Michael Saylor คิดว่า อย่างแรก น่าจะเกิดจากการที่ FED หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
และอย่างต่อมาก็คือ การล่มสลายของเหรียญ Terra Luna และ UST ที่มีมูลค่าในตลาด ณ ขณะนั้น ราว ๆ $50,000 ล้านดอลล่าร์ฯ ที่มีทรัพย์สิน backup อยู่อีกราว ๆ $1,000-$2,000 ล้านดอลล่าร์ฯ อีกด้วย
ซึ่งการที่มันล่มสลายนั้น มันต้องล่มไม่วันใดก็วันหนึ่งอยู่แล้ว เพราะการเชิญชวนให้คนมาลงทุนในเหรียญของพวกเขานั้น ที่บอกว่าจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี แน่นอนว่าเรียกคนมาลงทุนได้เยอะจริง แต่การที่จะจ่ายผลตอบแทนที่สูงแบบง่าย ๆ ไม่มีปัญหาใด ๆ เลยนั้น ดูท่าจะเป็นแค่เรื่องในฝัน ที่แค่ฝากเหรียญเอาไว้เฉย ๆ ก็ได้ผลตอบแทนที่สูงมาก
และการที่เลือกที่จะพ่วงเหรียญ Luna เข้ากับเหรียญ UST ที่บอกว่าจะเป็น stablecoin แบบ Algorithm นั้น มันไม่สเถียรอยู่แล้ว ซึ่งทางทีมงาน Blue O’Clock ก็ได้เคยทำ Podcast ที่ทาง Michael Saylor เคยออกมาพูดเกี่ยวกับ Terra Luna เอาไว้ก่อนหน้านี้
ซึ่งมันก็ได้นำไปสู่การล่มสลายแบบเป็นทอด ๆ ที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มการลงทุนยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในวงการ crypto เช่น Three Arrows, Voyager และ Celsius ที่ต่างพากันประกาศล้มละลายกันเป็นแถบ ๆ
อารมณ์ประมาณว่า Terra Luna UST นั้นออกแบบมาไม่ดี รอวันล่ม พอแพลตฟอร์มรับฝากคริปโตฯ ต่าง ๆ เห็นดังนั้นก็เข้าไปลงทุนใน UST ที่คิดว่าเป็น stablecoin ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงอีกทอดหนึ่ง
และก็มีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ไปลงทุนใน Three Arrows, Voyager และ Celsius อีกทอดของอีกทอดหนึ่ง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า พอ Terra Luna UST ล่ม ก็พากันล่มเป็นโดมิโนกันเลยทีเดียว
ซึ่งส่วนตัวของเขาคิดว่า ตลาด crypto น่าจะมาถึงจุดที่ต่ำสุดแล้ว ที่ ณ ตอนนี้ราคา bitcoin ฟื้นตัวจาก $17,000 มาอยู่ที่ราว ๆ $24,000 ต่อหนึ่งเหรียญบิตคอยน์
และนั่นคือสาเหตุหลัก ๆ ที่ตลาด crypto พังลง
แต่ถ้ามอง Bitcoin Fundamental หรือปัจจัยพื้นฐานของบิตคอยน์มีแต่จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่า ธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มให้การยอมรับ bitcoin เป็น commodity เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ คือเป็นสิ่งที่มีค่าในตลาดโลก
โดยเฉพาะสถาบันการเงินต่าง ๆ เริ่มให้บิตคอยน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรสินทรัพย์ให้กับลูกค้าของพวกเขา ในการจัดพอร์การลงทุนเริ่มให้มี bitcoin เข้าไปอยู่ในพอร์ทด้วย
แต่ในส่วนของ stablecoin ที่เป็นเหรียญที่มีค่าคงที่เท่ากับ us dollar เจ้าต่าง ๆ นั้น มันมีทั้งดีและไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น USDC ของบริษัท Circle ที่มีการเปิดเผยอย่างโปร่งใสในทุก ๆ สัปดาห์ เกี่ยวกับการ backup ด้วยเงินดอลล่าร์หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีมูลค่าเท่ากับการเสกเหรียญของพวกเขาออกมา
แต่ USDT ของ Tether กลับคลุมเครือ ไม่แน่นอนว่ามีสินทรัพย์ Backup เท่ากับเหรียญที่พวกเขาเสกเข้าสู่ตลาด crypto จริงหรือไม่
ส่วน UST ของ Terra นั้น ก็อย่างที่เห็น เละตุ้มเป๊ะ ล่มสลายไปพร้อมกับ Luna
แต่ในขณะที่ bitcoin นั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครควบคุม มันเป็นแบบไร้ศูนย์กลาง ไม่มีคู่สัญญาที่อาจผิดสัญญา เหมือนกับเหรียญอื่น ๆ ที่มีเจ้าข้าวเจ้าของ มีการถูกควบคุมจากคนใดคนหนึ่งอยู่
ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ตลาด crypto ได้พังลง จากที่ผู้คนบอกว่า bitcoin มันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากอยู่เฉย ๆ
หลายคนบอกว่าตลาด DeFi : Decentralized Finance มันดีกว่าเยอะ เพราะมันออกดอกออกผลได้ แถมให้ผลตอบแทนสูงถึง 20% ต่อปี โดยแค่ฝากเหรียญ UST ไว้ในแพลตฟอร์มเฉย ๆ
ทีนี้ผู้คนก็ได้เห็นคาตากันแล้วว่า ความแตกต่างระหว่าง bitcoin กับ Terra Luna ที่เป็นเจ้าของเหรียญ UST นั้นเป็นอย่างไร เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มันมีการทำคู่สัญญาระหว่างเจ้าหนึ่งกับอีกเจ้าหนึ่ง มันก็มีความเสี่ยงที่คู่สัญญาจะผิดสัญญาได้อยู่ตลอดเวลา
คิดยังไงกับ Ethereum?
ส่วนถ้าถามว่าเขาสนใจใน Ethereum ที่เป็นเหรียญอันดับสองรองจาก bitcoin บ้างหรือไม่?
เขาก็ตอบทันทีว่า ‘ไม่’ เขาจะพูดถึงแต่เฉพาะ bitcoin อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนใครจะพูดถึงเหรียญอื่นอย่างไร เขาก็ไม่ได้มีอคติกับเหรียญอื่น ๆ เพราะมันเป็นสิทธิที่ทุกคนที่สามารถตัดสินใจที่เลือกการลงทุนที่เหมาะกับตนเองด้วยตัวเอง
bitcoin จะถูกยอมรับมากขึ้นเนื่อจากสาเหตุใด?
ทาง Michael Saylor ก็บอกว่า สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทั่วโลกนั้น ต่างก็กำลังเฝ้าดูและติดตามจาก Regulator ว่าจะออกกฎที่ชัดเจนเมื่อไหร่เกี่ยวกับ bitcoin ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่กฎออกมาอย่างชัดเจน เมื่อนั้น สถาบันการเงินก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นในการเข้ามาลงทุนใน bitcoin
ซึ่งส่วนตัวของเขาก็มองว่า เรายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของยุค The Bitcoin Standard แค่นั้นเอง มันพึ่งเริ่มต้น และมันยังไปได้อีกไกล
Bitcoin VS Gold
หลังจากที่ Michael Saylor เคยดีเบตกับ Frank Giustra ไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เพราะเหตุใดเขาจึงเชื่อว่า bitcoin นั้นดีกว่าทองคำเป็นล้านเท่า
เขาเชื่อว่า ในศตวรรษที่ 21 นี้ ผู้คนจะไม่เลือกใช้ทองคำในการเป็น ‘MONEY’ หรือเป็นเงินอีกต่อไป เพราะเนื่องจากมันมีข้อเสียใหญ่อย่างหนึ่งก็คือ ทองคำมันไม่สามารถใช้ในการแลกเปลี่ยนมูลค่าด้วยความเร็วแสงกับคนอีกฟากโลกหนึ่งได้ เพราะขนย้ายได้ลำบากแถมยังมีค่าเคลื่อนย้ายที่สูง ในขณะที่ bitcoin สามารถแปลกเปลี่ยนมูลค่ากันระหว่างอีกซีกโลกหนึ่งได้แบบความเร็วแสง ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยมากเกือบจะฟรี
ดังนั้นเขาจึงมองว่า ทองคำ มันเหมาะกับการเป็นเงิน ในช่วงยุคศตวรรษที่ 19 แต่ในศตวรรษที่ 21 นี้ก็ต้องยกให้ bitcoin
ดังนั้นหากคุณเชื่อในเรื่องของ ‘Sound Money’ หรือ เงินที่มั่นคงนั้น คือเงินที่จะไม่สูญเสียมูลค่าในระยะยาวแล้วล่ะก็ จงขายทองคำแล้วไปซื้อบิตคอยน์ซะ
แต่อย่าเข้าใจผิดว่า เขาไม่ชอบทองคำ เพราะเขาก็ชอบใส่เครื่องประดับที่เป็นทองคำ แต่ทำไงได้ ในโลกยุคดิจิตัล ที่ทุกสิ่งอย่างรอบตัวเรากำลังเปลี่ยนเป็นดิจิตอลกันหมดไม่ว่าจะเป็น การดูหนัง ฟังเพลง จากแผ่นก็กลายเป็นดิจิตอล จากการเรียนหนังสือในห้องเรียนก็กลายเป็นเรียนออนไลน์ จากเงินจับต้องได้ก็กลายเป็นเงินดิจิตอล จากทรัพย์สินอย่างทองคำก็เป็นบิตคอยน์
เพราะถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่ bitcoin มีราคาอยู่ที่ราว ๆ $10,000 ส่วนตอนนนี้ก็อยู่ที่ราว ๆ $20,000 ดังนั้น ภายในสองปีที่ผ่าน หากคุณเลือกที่จะถือ bitcoin มูลค่าเงินในกระเป๋าของคุณก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ในขณะที่หากคุณเลือกที่จะถือทองคำ กลับมีมูลค่าลดลง -15%
ดังนั้น หากคุณเป็นนักลงทุน (Investor) คุณจะต้องลงทุนอย่างน้อยสองปีขึ้นไป แต่หากเวลาน้อยกว่านั้น ในวงการเขาไม่เรียกว่าเป็น Investor แต่เป็น Trader ไม่ก็ Speculator ที่เน้นไปในทางเก็งกำไรเป็นหลัก
Tesla ขาย Bitcoin ทิ้ง
Michael Saylor เป็นคนที่แนะนำให้ทาง Elon Musk ซื้อ bitcoin เก็บเอาไว้ แต่ตอนนี้ทาง Tesla กลับออกมาประกาศว่า ได้ทำการขาย bitcoin ออกไปกว่าร้อยละ 75 เขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
โดยทาง Michael ก็บอกว่า การที่ Tesla ตัดสินใจขาย bitcoin ออกไปบางส่วนนั้น เขามองว่ามันเป็นเรื่องของทางบัญชี ที่ไม่สอดรับกับการถือครอง bitcoin ในงบดุลบริษัท
และการที่ Tesla ออกมาประกาศเทขาย bitcoin นั้น มันก็ไม่ได้ทำให้พื้นฐานของบิตคอยน์นั้นเปลี่ยนไปแต่อย่างใด
สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยใช่หรือไม่?
โดยทาง Michael Saylor ก็บอกว่า สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สภาวะ Recession หรือสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตั้งแต่ เดือนมีนาคม ปี 2020 ที่ประเทศ Lockdown จากโรคระบาดแล้วนู่น
เพราะตั้งแต่ปริ้นท์เงินดอลล่าร์สหรัฐ อย่างมหาศาลออกมาในช่วง 2 ปีล่าสุดนั้น ในแต่ละปีเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้สูญเสีย Purchasing Power หรืออำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไปแล้วเฉลี่ยปีละ -20% ดังนั้นสองปี ก็เสียอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยไปแล้วกว่า -40% ในขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้โตแค่ 5% ดังนั้น มันยังติดลบอยู่ราว ๆ -35% ดังนั้นจากตัวเลขดังกล่าวก็บอกได้เต็มปากเต็มคำว่า เรากำลังอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยนั่นเอง
แต่ส่วนตัวเขาไม่ใช่นักลงทุนแบบ macro ดังนั้นเขาไม่ก็อยากจะให้ความเห็นหรือดีเบตกันในเรื่องนี้
ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ จะแย่หรือไม่?
โดยทาง Michael Saylor ก็บอกว่า สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ นั้น เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายที่ดีที่สุดในโลก แต่ถ้ามองในมุมของ Store of Value นั้น สกุลเงินนั้นกลับเป็นตัวรักษามูลค่าที่อ่อนแอที่สุด
และสกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลกก็กำลังล่มสลาย ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินประเทศในกลุ่มของอเมริกาใต้, สกุลเงินแอฟริกัน หรืออย่างล่าสุดก็สกุลเงินของประเทศศรีลังกา
ดังนั้นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ทั่วโลก แต่หากเทียบกับ Asset มันกลับอ่อนแอลงและสูญเสียมูลค่าในตัวมันเองเฉลี่ยราว ๆ 15%-20% ต่อปี
ดังนั้นหากคนทั้งโลกที่มีอยู่เกือบ ๆ 8,000 ล้านคน ต้องการถือเงินในรูปของเงินดิจิตอล เขามั่นใจว่า พวกเขาก็จะต้องเลือกสกุลเงิน us dollar มากกว่าที่จะเลือกถือสกุลเงินในประเทศของตนเอง
และผู้คนส่วนใหญ่ที่พึ่งเห็นการล่มสลายของ stablecoin อย่าง UST นั้น พวกเขาก็กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะถือ stablecoin ยี่ห้ออื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ความเห็นของ Michael Saylor ก็คือ หากคุณคิดว่าจะถือเงินและมีแนวโน้มที่จะใช้เงินก้อนดังกล่าวภายในสี่ปี เขาก็แนะนำให้ถือเงินสดในรูปของสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ
แต่หากเงินดังกล่าว คุณยังไม่รีบใช้ภายใน 4-40 ปี ต่อจากนี้ เขาก็แนะนำให้เก็บเงินดังกล่าวในรูปของ Asset หรือทรัพย์สินที่แข็งแกร่ง ทรัพย์สินที่ดีที่สุด ที่สามารถรักษามูลค่าในตัวมันเองโดยไม่เสียอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่ง Asset ที่ดีที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ก็ต้องบอกว่ามันคือ bitcoin และสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ก็คือ us dollar
แต่สกุลเงินก็ยังคงอ่อนแอเมื่อเทียบกับทรัพย์สิน
ลองคิดดูว่า ถ้าคุณอยู่ในประเทศที่เกิดสงคราม หรือต้องการย้ายประเทศ หากคุณเป็นเจ้าของที่ดิน คุณก็ไม่สามารถเอามันติดตัวไปกับคุณได้นอกประเทศ แต่ในขณะที่ bitcoin นั้น คุณสามารถพกพามันติดตัวคุณไปได้ แถมมันยังไม่มีค่าจัดเก็บ ไม่มีค่าซ่อมบำรุง ไม่มีค่ารักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เพราะระบบของ bitcoin มันถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว ที่คุณสามารถถือครองมันได้ไปตลอดชีวิต
Rsources
- https://youtu.be/aN-8x4iSgzo
- https://fortune.com/2022/06/29/michael-saylor-microstrategy-bitcoin/
- https://www.forbes.com/profile/michael-saylor/
- https://siamblockchain.com/2022/08/03/saylor-resign-from-ceo-microstrategy/
- https://siamblockchain.com/2022/07/21/tesla-supply-chain-struggles-forced-it-to-sell-75-percent-of-its-bitcoin/