เมื่อไม่นานมานี้ ที่นอกจากราคาของ Bitcoin ได้ Crash ตกลงมาอย่างรุนแรง ที่มีราคาต่ำกว่า $30,000 ต่อ 1 BTC ที่ส่งผลให้บริษัท MicroStrategy ที่ซื้อ Bitcoin มาในต้นทุนที่ราว ๆ $30,700 ต่อ 1 BTC ที่แม้ว่าสำนักข่าวหลายต่อหลายสำนักจะเล่นข่าวในทำนองที่ว่า ถ้าหากราคาของ Bitcoin ต่ำกว่า $21,000 จะทำให้ทาง MicroStrategy ต้องถูกเรียก Magin Call หรือต้องมีการถูกเรียกให้เพิ่มหลักทรัพย์ในการค้ำประกันที่ได้ทำการกู้ยืมเงินมา ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะส่งผลให้ทาง MicroStrategy นั้นจะต้องถูกบังคับให้จำใจต้องขาย Bitcoin ออกไปได้
ซึ่งทาง Michael Saylor ก็ได้ออกมาบอกว่า เขานั้นมี Bitcoin ตุนเอาไว้เยอะมาก ทาง MicroStrategy สามารถเพิ่มหลักทรัพย์ค้ำประกันได้อย่างปลอดภัย ไม่โดนบังคับขายง่าย ๆ อย่างแน่นอน และเขาก็หวังว่า ราคาของ Bitcoin มันคงจะไม่ร่วงลงต่ำกว่า $20,000 หรอก
แต่หากมันร่วงต่ำกว่า $20,000 จริง ทาง MicroStrategy ที่กว่าจะถูกบังคับขาย ราคาของ Bitcoin ก็ต่ำกว่า $3,000 นู่นแหละ ถึงจะเรียกว่าถูกล้างพอร์ทเป็นศูนย์ และอีกเช่นเดียวกัน หากมันต่ำกว่า $3,000 บริษัท MicroStrategy ก็ยังมีหลักทรัพย์อื่นที่สามารถเอาไปค้ำประกันเพื่อกันพอร์ทแตกได้อีก
โดยเนื้อหาตอนนี้ทาง Michael Saylor ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมาทางช่อง Youtube ของ Natalie Brunell เกี่ยวกับสถานการณ์ของตลาดคริปโตฯ ที่ราคาของ Bitcoin ได้ร่วงลงอย่างรุนแรง และมีเหตุการณ์การล่มสลายของเหรียญอย่าง LUNA ของ Terra ที่ราคาของเหรียญดังกล่าวร่วงลงกว่า -99% ภายในไม่ถึงวัน ที่เป็นเจ้าของเดียวกันกับเหรียญ UST ที่เป็นเหรียญ stablecoin หรือเหรียญที่มีค่าคงที่เท่ากับ $1 แต่ดันไม่เท่ากันซะนี่ เพราะราคาของ UST ได้ร่วงลงต่ำสุดไปกว่า $0.19
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ได้กลายเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับในตลาด crypto ที่นอกจากเหรียญ UST ที่พยายามจะเป็น stablecoin ที่พยายามจะตรึงราคาเอาไว้ให้เท่ากับ $1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ล้มเหลวแล้ว นอกจากนั้นเหรียญอย่าง LUNA ที่เรียกได้ว่าเป็นเหรียญที่เคยมี marketcap อยู่ที่อันดับที่ 10 ของโลกคริปโต นั้น ก็ไม่ได้มีอะไรมาการันตีเลยว่า มันจะไม่ล่มสลาย
และนี่ก็คือความเห็นจาก Michael Saylor ที่เขามีต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
โดย Michael Saylor บอกว่า เหรียญ crypto ทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาดนั้นคือ securities token หรือก็คือหลักทรัพย์ ในขณะที่ bitcoin นั้นคือ digitl property เป็นสินทรัพย์เพียงเหรียญเดียวในตลาดนี้
และเมื่อเหรียญ crypto อื่น ๆ เป็นหลักทรัพย์ นั่นก็หมายถึงว่า เหรียญดังกล่าวมันจะต้องมีทีมผู้บริหาร และมีนโยบาย ซึ่งคำถามก็คือ
- อะไรคือทุนสำรองที่คอยหนุนเหรียญดังกล่าวล่ะ?
- และเหรียญดังกล่าวมีนโยบายอย่างไรบ้าง?
ซึ่งคำตอบที่เขาบอกได้ก็คือ ‘ไม่รู้’ ไม่รู้ว่าทุนสำรองของเหรียญ UST คืออะไร หรือถ้าอยากรู้ ก็จะมีเขียนในนโยบายที่มีข้อมูลมากกว่า 200 หน้ากระดาษ แถมยังไม่รู้ด้วยว่า มีทุนสำรองที่คอยหนุนเหรียญ UST อยู่จริงหรือไม่
เช่นเดียวกันกับเหรียญ stablecoin อย่างเหรียญ USDT จาก Tether ที่มีนโยบายที่คลุมเคลือ และมีการเปิดเผยทุนสำรองหนุนหลังก็คลุมเคลือ ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรหนุนหลังอยู่เท่าไหร่ และมีหนุนหลังอยู่จริงหรือไม่
ซึ่งในความเป็นจริง เมื่อเหรียญต่าง ๆ ที่ถูกตีให้เป็นหลักทรัพย์แล้ว มันก็ควรมีการเปิดเผยข้อมูลของเหรียญนั้น ๆ อย่างโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะผู้คนที่เข้าไปลงทุนในเหรียญดังกล่าว พวกเขาทุกคนสมควรได้รับรู้ว่าพวกเขากำลังลงทุนในอะไรอยู่
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น หากคุณจะซื้อหุ้นของ MicroStrategy ก่อนซื้อ คุณสามารถหาข้อมูลและเงื่อนไข รวมถึงนโยบายต่าง ๆ ได้ แบบสาธารณะเลย รวมไปถึงคุณสามารถอ่านงบการเงินของบริษัท และสามารถรู้ได้ว่า ใครเป็นปู้ถือหุ้นใหญ่ ใครคุมบังเหียนบริษัทนี้อยู่บ้าง คุณสามารถหาอ่านได้แบบสาธารณะเลย
นี่คือการทำงานคร่าว ๆ ของหลักทรัพย์ ซึ่งในปัจจุบันเหรียญต่าง ๆ ในตลาดคริปโตนั้น มักจะอยู่ในรูปของ Entrepreneur ที่เป็นลักษณะของผู้ประกอบการซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ในขณะที่การออกหลักทรัพย์นั้น มันควรจะเป็นระดับสถาบันการเงินที่สามารถออกแบบระบบที่ซับซ้อนและรัดกุม ที่มีทีมทนายระดับเทพ คอยแนะนำการออกนโนบายที่ชัดเจนและโปร่งใส
และเขาก็คิดว่า นี่คือบทเรียนที่สำคัญ ที่ทำให้เรานั้นได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง Securities Token กับ Digital Property หรือก็คือความแตกต่างระหว่างเหรียญที่เป็นหลักทรัพย์กับเหรียญที่เป็นสินทรัพย์
และพิธีกรก็ยังถามกับ Michael Saylor ว่า ในปี 2030 เราจะได้เห็นราคาของ Bitcoin ไปถึง $1,000,000 ต่อ 1 เหรียญ BTC อยู่หรือไม่?
ซึ่งเขาก็ตอบว่า ผมไม่ชอบพูดว่าราคาดังกล่าวมันจะเกิดขึ้นในปีไหน แต่มันจะมีมูลค่ามากกว่า $1,000,000 แน่ ๆ (ซู้ดดดดดดดดดดด)
Resources