Michael Novogratz เจ้าของบริษัท Galaxy Digital Holdings นักลงทุน crypto ที่มีทรัพย์สินราว ๆ $8.5 พันล้านดอลล่าร์ฯ ลดเหลือเพียง $2.5 พันล้านดอลล่าร์ฯ ในช่วงตลาด crypto ได้ crash พังลงมา ซึ่งความมั่งคั่งกว่า 85% ของเขานั้น มาจากการลงทุนในโลก crypto
แถมเขายังเป็นแฟนตัวยง ที่เชียร์เหรียญ LUNA อย่างออกหน้าออกตา ที่ถึงกับสักรอยสักสัญลักษณ์ของเหรียญ LUNA บนต้นแขนเอาไว้กันเลยทีเดียว
และหลังจากที่ราคาเหรียญ LUNA จากราคาสูงสุดอยู่ที่เกือบ ๆ $120 แต่ราคาปัจจุบันเหลือเพียง $0.0001 หรือจากราคา 4 พันกว่าบาท ตอนนี้เหลือแค่เพียง 0.003 บาท เท่านั้น เรียกได้ว่า เหรียญนี้ได้สูญเสียมูลค่าไปกว่า 99.99% เข้าไปแล้ว
ซึ่งหลังจากการล่มสลายของเหรียญ LUNA ผ่านไปราว ๆ หนึ่งสัปดาห์ ทาง Mike ก็ได้เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็น โดยเขียนออกมาเป็นจดหมายเปิดผนึก ถึงนักลงทุนที่ผู้ที่ติดตามเขาบน Twitter ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 4 แสนคน เกี่ยวกับปรากฏการณ์การล่มสลายของ Terra หรือเหรียญ LUNA และเหรียญ UST ที่เป็น stablecoin ที่พยายามจะมีค่าคงที่เท่ากับเงินดอลล่าร์ แต่ปัจจุบันกลับมีมูลค่าแค่เพียง $0.05 เท่านั้น
โดยการเริ่มต้นล่มสลายของ LUNA นั้นเริ่มต้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2022 แล้วก็เงียบหายไปกว่า 10 วัน จนกระทั่งวันที่ 18 พ.ค. 2022 เขาก็ออกมา tweet บน twitter พร้อมกับแนบจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ถือหุ้นของบริษัท Galaxy Digital Holdings ว่า
สำหรับ ณ ตอนนี้ ยังไม่มีข่าวดีใด ๆ เกี่ยวกับในเรื่องของ Terra LUNA และ UST ซึ่งการล่มสลายของเหรียญ LUNA และเหรียญ UST นั้น ทำให้มูลค่าของตลาด crypto หายไปราว ๆ $40,000 ล้านดอลล่าร์ฯ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งทำให้นักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยนั้น ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองดูกำไร(ทิพย์) และความมั่งคั่งหายไปในพริบตา
และสิ่งที่หายไปด้วยก็คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะในตลาด crypto และตลาด DeFi (Decentralize Finance) และผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการคำตอบ จากการที่เงินลงทุนของพวกเขาหายไปอย่างกระทันหัน และนี่คือคำอธิบายที่เขาตอบมา
อย่างแรกเลยก็คือ Mike เขาบอกว่า ในโลกคริปโต นั้นเนี่ย มันเป็นระบบแบบ open source ก็คือข้อมูลโปรโตคอลส่วนใหญ่มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
โลกของ crypto มันเป็นโลกเสรีที่ใครก็ตามที่มีไอเดียก็สามารถมาเข้าตลาดนี้ได้
โดยจุดประสงค์ของ Terra หรือเหรียญ LUNA นั้น พยายามจะสร้างกลไกเพื่อให้เหรียญ UST มีเสถียรภาพ หรือก็คือพยายามจะให้ค่า UST นั้นมีค่าคงที่เท่ากับ US Dollar อย่างโปร่งใส และพยายามให้มันกลายเป็นที่พูดถึงกันในสังคมอย่างแพร่หลาย
โดยเหรียญ UST มันเป็นการพยายามที่จะสร้างเหรียญ stablecoin ในหลักการแบบ algorithmic ในโลกดิจิตอล และมันก็กลายเป็นไอเดียที่ยิ่งใหญ่ที่ล้มเหลวลง (ล้มดังซะด้วย)
ซึ่งกองทุนของ Mike หรือก็คือกองทุนของบริษัท Galaxy Digital Holdings นั้นในทำการลงทุนในโปรเจค LUNA ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2020 โดยใช้เงินทุนในงบดุลนำไปลงทุน
โดยทีมของเขานั้นก็ได้มีการทำวิจัยก่อนการลงทุนใน LUNA ซึ่งเล็งเห็นว่าโปรเจคนี้ จะเน้นที่การขยายระบบชำระเงินแบบบล็อคเชน โดย ณ ตอนนั้นพวกเขาเข้าใจว่า แอพพลิชั่นที่ชื่อ Chai ที่สร้างขึ้นบน Terra Blockchain นั้น มีผู้ใช้งานมากถึง 1.8 ล้านคน และเป็นแอพการเงินอันดับที่ 5 ของประเทศเกาหลีใต้ ที่น่าจะมีศักยภาพในการเติบโตเป็นอย่างมากในอนาคต
ซึ่งโปรเจคนี้เป็นโปรเจคที่น่าประทับใจ เนื่องจากมันเป็นโปรเจคในโลกคริปโต ที่มีการใช้งานเกิดขึ้นในโลกจริง ๆ และหลังจากที่พวกเขาลงทุนไปในระบบ ecosystem มันก็ได้เติบโตและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และทีมผู้ก่อตั้งโปรเจคนี้ก็มีแนวคิดไอเดียที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร
ซึ่งทางบริษัท Galaxy Digital Holdings นั้นก็ได้มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์การมีส่วนร่วมของนักพัฒนา, การซับพอร์ทนักลงทุน และการขับเคลื่อนคอมมูนิตี้ของเครือข่าย Terra
แถมบน Terra Blockchain นั้น ยังมีโปรเจคนับร้อยรันอยู่บนเครือข่ายนี้ แถมยังมีนักลงทุนระดับโลกหลายต่อหลายคน เข้ามาลงทุนในโปรเจคนี้กันอย่างล้นหลาม แน่นอนว่าเห็นครั้งแรกมันน่าลงทุนเอามาก ๆ
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้น?
อย่างแรกเลย ในระดับมหภาคภาพใหญ่ของการลงทุนในโลกนั้น กำลังอยู่ในช่วงถดถอย มันเป็นปีที่โหดร้ายสำหรับ assets ที่มีความเสี่ยงสูง
ขนาดหุ้นที่มีการเติบโตที่ดีนั้น ในปีนี้กระแสเงินสดยังติดลบกันเลย โดยติดลบกันอยู่ที่ราว ๆ 50-70%
ส่วนในตลาด crypto เหรียญพี่ใหญ่อย่าง BTC และ ETH ยังร่วงลงมาแล้วกว่า -58% เมื่อเทียบกับราคาสูงสุด ส่วนเหรียญ altcoin หรือเหรียญน้อง ๆ นั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนใหญ่ราคาตกกันมาแล้วจากราคาสูงสุดเฉลี่ยราว ๆ -80% กันแทบทุกเหรียญ
บวกกับทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปริ้นท์เงินอย่างมหาศาลเข้าสู่ระบบในระยะเวลาอันสั้น นั่นจึงส่งผลให้เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และรุนแรงมากที่สุดในทศวรรษนี้ ที่ครั้งล่าสุดเคยเกิดขึ้นเมื่อยุคปี ’70 นู่น แถมยังมีเรื่องของ covid-19 เข้ามาอีก
แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงในทุก ๆ ตลาด โดยเฉพาะในตลาด crypto นี่หนักเลย
ดังนั้นเศรษฐกิจในระดับมหภาคมันจึงส่งผลต่อราคาของเหรียญ LUNA ที่ทำหน้าที่เป็นทุนสำรองหนุนหลังให้กับเหรียญ UST ที่(พยายาม)เป็น stablecoin อยู่
และสิ่งที่ทำให้เหรียญ UST เติบโตอย่างรวดเร็วนั้นก็เป็นเพราะ มีการจูงใจให้ผลตอบแทนรายปีที่สูงถึง 18% ต่อปี บน Anchor protocal ซึ่งก็ส่งผลให้มีผู้เข้ามาใช้งานบน Terra Blockchain กันอย่างล้นหลาม
เพราะโดยปกติแล้ว stablecoin เจ้าอื่น ๆ จะให้ผลตอบแทนอยู่ที่เฉลี่ยราว ๆ 6-8% ต่อปีเท่านั้น นี่เล่นให้มากกว่าเท่าตัวซะอีก
ดังนั้น เมื่อเกิดการถอน UST อย่างมหาศาล หรือมีการเทขายอย่างมหาศาลนั้น มันส่งผลให้เหรียญที่เป็น backup ที่เป็นเงินทุนสำรองอย่างเหรียญ LUNA ที่ราคาตกต่ำอย่างมากอยู่แล้วนั้นมันไม่มีมูลค่าที่เพียงพอจะรองรับปริมาณดังกล่าวได้ มันจึงส่งผลให้ UST ที่ควรจะเป็น stablecoin ที่มีค่าเท่ากับ US Dollar นั้น กลับมีมูลค่าไม่เท่ากันซะนี่
และรอยสัก LUNA ที่ต้นแขนของเขานั้น ก็ได้กลายเป็นเครื่องเตือนใจในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ว่า เขาควรจะระมัดระวังและรอบคอบมากกว่านี้ รวมไปถึงไม่ควรแสดงความมั่นใจออกนอกหน้าถึงเพียงนี้
และจากเหตุการณ์การล่มสลายของเหรียญ LUNA และ UST นั้น ทางบริษัท Galaxy Digital Holdings ของ Mike นั้น จะยึดหลักในการลงทุนอยู่ด้วยกัน 4 ข้อดังนี้ โดยเฉพาะในตลาดคริปโต
1. กระจายความเสี่ยงในพอร์ทการลงทุน
2. Take profit หรือขายเพื่อทำกำไรอยู่เรื่อย ๆ อย่าเพียงแค่ซื้อแล้วถือมันไว้อย่างเดียว เอาต้นทุน เอากำไร ออกมาด้วย อย่าให้เป็นเพียงกำไรทิพย์
3. มีกรอบในการบริหารความเสี่ยง
4. โดยกรอบที่ว่านั้น ต้องดูในระดับมหภาคด้วย ไม่ใช่ดูเฉพาะในตลาดคริปโต เพียงอย่างเดียว
และแน่นอนว่าการที่บริษัทของเขาลงทุนใน LUNA นั้น ก็ใช้หลักการณ์ 4 ข้อที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน
ซึ่งเขาก็ได้อ่านเรื่องราวของนักลงทุนรายย่อยหลายต่อหลายคน ที่หมดเนื้อหมดตัวไปกับการล่มสลายของ LUNA และ UST ในครั้งนี้ มันเป็นเรื่องที่หดหู่
โดยต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า แม้ว่าข้อดีในตลาดคริปโตนั้น คือ ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาเล่นในตลาดนี้ได้ ใคร ๆ ก็เข้าถึงมันได้ แต่สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องตระหนักก็คือ เงินทุนที่นำมาเล่นในตลาดนี้นั้น เงินก้อนนี้คุณจะต้องพร้อมที่สูญเสียมันไปทั้งหมด 100% ดังนั้น เขามักจะพูดย้ำเตือนอยู่เสมอว่า ใครก็ตามที่จะเข้ามาในตลาดนี้จะต้องมีการบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างดี ซึ่งโดยปกติหากจะนำเงินมาลงในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง ควรเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 1%-5% ของเงินในพอร์ทการลงทุนเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น หากพอร์ทการลงทุนคุณมี 1 ล้านบาท หากคุณลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูง ก็ไม่ควรนำเงินมาลงทุนเกิน 10,000 – 50,000 บาท สมมติว่านำเงินมาลงทุนคริปโตจำนวน 10,000 บาท ใน 10,000 บาท ก็ควรแบ่งกระจายความเสี่ยงไปในเหรียญต่าง ๆ อาจจะแบ่งเป็นเหรียญละ 1,000 บาท จำนวน 10 เหรียญ
ดังนั้น หากใช้หลักการบริหารความเสี่ยงตามนี้ หากเหรียญในจำนวนดังกล่าวมีการลงทุนในเหรียญ LUNA ด้วย นั่นแสดงว่า เมื่อ LUNA ล่มสลาย คุณจะสูญเสียเงินไปจำนวน 1,000 บาท เมื่อเทียบกับจำนวนเงินทั้งหมดในพอร์ทการลงทุนที่ 1 ล้านบาท คุณจะเสียหายไปราว ๆ 0.1% หรือหากเหรียญทั้งหมดล่มสลายทั้ง 10 เหรียญเลย คุณจะสามารถจำกัดความเสียหายหยุดเอาไว้ไม่เกินอย่างมากสุดก็ 10,000 บาท หรือคิดเป็น 1% เมื่อเทียบกับจำนวนเงินในพอร์ทการลงทุนทั้งหมดที่คุณมีอยู่
แต่สิ่งที่พบเห็นจากนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ก็คือ มีล้านยัด LUNA ล้านเลย พอเหรียญนี้แตกเหรียญเดียว ก็ถึงกับหมดตัว ดังนั้น จัดสรรและบริหารความเสี่ยงในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงอย่าให้เกิน 1%-5%
และต้องทำความเข้าใจให้ดีว่า ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ตลาดคริปโต ก็ยังคงมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา และในระดับมหภาคก็ยังคงมีผลต่อทุกตลาด ส่วน FED หรือธนาคารกลางนั้น จะยังคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ตราบใดที่พวกเขายังแก้เรื่องของค่าเงินเฟ้อที่สูงปรี๊ดเช่นนี้ไม่ได้
และจงมองโลกตามความเป็นจริง อย่าโลกสวยให้มากในโลกของการลงทุน อย่ากาวเยอะ
แล้วทั้งหมดที่ว่ามานั้น มันมีผลต่ออนาคตของโลก crypto อย่างไร?
- Crypto จะไม่หายไปไหน
- จำนวนเงินทุนที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดเงินทุนไม่ได้มีความเร็วลดลง
- โครงสร้างพื้นฐานของ Decentralized หรือระบบการกระจายศูนย์นั้น ยังคงมีความสำคัญ มีคุณค่า มีความเป็น ownership หรือมีความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินดิจิตอล และความเร็วในการเติบโตของมัน ก็ไม่ได้ลดลง เมื่อเทียบกับการเติบโตในช่วงยุคเริ่มแรกของโลกอินเตอร์เน็ต
- GDP ของ Metaverse มีแต่ขาขึ้นอย่างเดียวในตอนนี้
- และตลาดนี้มันยังคงมีโอกาสใหม่ ๆ รออยู่ มันยังเป็นยุคเริ่มต้นเท่านั้น
แต่อย่าเข้าใจผิดว่า เขาไม่ได้หมายถึงว่า ตลาดคริปโตมันถึงจุดต่ำสุดแล้วกำลังจะกลับตัว
ซึ่งตลาดคริปโตก็จะต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัว ปรับฐานใหม่ และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ในตลาด crypto
โดยตลาด crypto ก็ยังคงเคลื่อนไหวไปตามวัฏจักร มันมีรอบของมันอยู่
และสถานะการเงินของบริษัท Galaxy Digital Holdings ยังคงดีอยู่ ไม่มีปัญหาอะไร และพวกเขาไม่มีเหรียญ stablecoin ที่มีกลไกแบบ algorithmic หรือกลไกแบบเหรียญ UST เพราะเหรียญ stablecoin เจ้าอื่น ๆ มักจะใช้เงินทุนหรือทรัพย์สินสำรองแบกอัพเหรียญเอาไว้ เช่น หากจะเพิ่มเหรียญ stablecoin ในระบบจำนวน $1 ก็จะมีการสำรองเงินเอาไว้จำนวน $1 US Dollar ในเงินสำรองคงคลังเอาไว้ เป็นต้น
และเขาก็เชื่อว่าตลาด crypto จะยังคงเติบโตต่อไป
และนี่ก็คือคำแถลงการจาก Mike Novogratz ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัท Galaxy Digital
(แหม่… ขนาดรายใหญ่ยังพลาดพลั้งกันได้ รายย่อยจะไปเหลืออะไร)
แล้วคุณผู้ฟังล่ะ มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างกับตลาด crypto ลองแชร์กันในคอมเม้นท์หน่อยนะครับ
Resources