หลายคนมักหลงไปกับภาพลักษณ์สวยหรูเพียงเบื้องหน้าของคนรวยและคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงว่า จะต้องใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม ใส่นาฬิกาหรู ๆ มีบ้านหลังใหญ่ ๆ มีรถสปอร์ตจอดอยู่เต็มโรงรถ ทำให้ทันทีที่คนที่ยังไม่รวย พอมีเงินเก็บ พอมีเงินดาวน์อยู่บ้างนิดหน่อย ก็กลับเอาเงินก้อนนั้น ไปถอยบ้าน ถอยรถ ซื้อของแพง ๆ ใส่ แต่มาดูเบื้องหลังอีกที กลับเป็นหนี้บัตรเครดิตบาน มีใบเดียวไม่พอ บางคนมีเป็น 10 ใบ ก็สามารถทำให้วงเงินบัตรมันเต็มได้
ซึ่งสิ่งที่คนรวยซื้อจริง ๆ นั้น พวกเขาไม่ได้ซื้อสิ่งเหล่านั้นโดยตรงเลย แต่เบื้องหลังความรวยอย่างแท้จริงของพวกเขานั้น พวกเขากลับไปซื้อทรัพย์สินก่อนต่างหากแล้วให้ทรัพย์สินนั้นซื้อของฟุ่มเฟือย ของหรู ๆ อีกทีหนึ่ง ซึ่งทรัพย์สินที่ว่า อาจจะเป็น อสังหาฯ หุ้น ธุรกิจ
โดยทรัพย์สินหรือ Asset ที่ว่านี้ มันคือสิ่งที่เมื่อลงเงิน ลงแรง ลงทุนไปแล้ว สิ่งนั้นจะทำหน้าที่ไปหาเงินต่อให้ได้ แม้กระทั่งสิ่งของเดียวกัน แต่หากเข้าใจคอนเซ็ปต์ผิดจากเดิมที่ตั้งใจจะให้สิ่งที่ลงทุนกลายเป็นทรัพย์สิน แต่กลับกลายเป็นหนี้สินไปซะอย่างงั้น ยกตัวอย่างเช่น หากใครที่เคยได้อ่านหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวยสอนลูก) ของ Robert Kiyosaki มาบ้างแล้ว ก็จะพบว่า มันไม่สำคัญหรอกว่าบ้านจะเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สิน เพราะถ้าหากบ้านนั้นมันดูดตังค์ในกระเป๋าคุณออกไปในทุก ๆ เดือน แบบนี้บ้านคือหนี้สิน เพราะมันดูดเงินคุณ แต่ในขณะที่หากบ้านนั้น มีแต่หาเงินมาเข้ากระเป๋าคุณในทุก ๆ เดือน อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าบ้านเป็นทรัพย์สิน
แต่ในขณะที่คนจนหรือคนฐานะปานกลางส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะซื้อรถซื้อบ้านเพื่อความสะดวกสบายก่อน แต่แล้วก็พบว่าตัวเองติดแหง็ก เป็นหนี้ธนาคาร และต้องหาเงินมาผ่อนรถผ่อนบ้านไปอีกหลายปี หรือหลายสิบปี
แต่ในขณะที่คนรวยนั้น พวกเขาเลือกที่จะลำบากก่อนแล้วค่อยสบายทีหลัง เพราะสิ่งแรกที่พวกเขาจะซื้อ Asset หรือทรัพย์สิน แล้วให้ทรัพย์สินนั้นมีกระแสเงินสดจนมากพอที่จะผ่อนบ้านผ่อนรถหรือซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย ของหรูหราได้ตามต้องการ ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าคนรวยต้องการที่จะซื้อรถสปอร์ตสักคันหนึ่ง ที่จะต้องผ่อนเดือนละ 100,000 บาท สิ่งที่พวกเขาจะทำก็คือ พวกเขาจะไปสร้างทรัพย์สินก่อนที่จะซื้อหรือวางเงินดาวน์กับรถคันนั้น โดยหาก Asset ที่ว่าคือบ้านให้เช่า โดยหลังจากหักลบกับเงินที่ต้องผ่อนแบงค์แล้วเหลือกำไรหลังละ 10,000 บาท พวกเขาจะต้องสร้าง Asset แบบนี้ให้ได้อย่างน้อย 10 ที่ขึ้นไป ซึ่งนั่นก็จะหมายถึง Asset ชุดนี้ของเขา จะสร้างกำไรได้เดือนละ 100,000 บาท ซึ่งเพียงพอและคลอบคลุมที่จะผ่อนรถหรูได้แล้วนั่นเอง (ซึ่งอันที่จริงตัวอย่างนี้ ตัวเลขมันปริ่มน้ำเกินไป ที่จริงแล้ว พวกเขาสร้างทรัพย์สินไว้ให้เกินกว่านั้นเผื่อเอาไว้อีก)
หรือหากจะให้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอีกสักตัวอย่างหนึ่ง เช่น สมมติให้แม่ห่านแทนทรัพย์สิน โดยแม่ห่านตัวนี้จะออกไข่เป็นทองคำอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ เดือน สิ่งที่คนรวยทำก็คือ การนำไข่ทองคำนั้นไปใช้จ่ายในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่ในขณะที่คนจนหรือคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปนั้น อดใจรอแม่ห่านออกไข่ทองคำไม่ไหว ก็เลยเอาแม่ห่านนั้นไปขายเพื่อไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ ทำให้ไม่มีแม่ห่านคอยออกไข่ทองคำให้อีกต่อไป แต่ในขณะที่คนรวยนั้น มีแต่จะรักษาแม่ห่านเอาไว้เป็นอย่างดี และฟูมฟักจากแม่ห่าน 1 ตัวก็กลายเป็น 10 ตัว 100 ตัว 1,000 ตัว ทีนี้ พอแม่ห่านทั้งหมดออกไข่พร้อม ๆ กัน มันก็ทำให้พวกเขาสามารถซื้อในสิ่งที่ต้องการได้อย่างมากมายโดยไม่เดือดร้อนเลยแม้แต่น้อย แต่ในขณะที่คนจนและคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปนั้น นอกจากจะไม่เลี้ยงแม่ห่านเพิ่มแล้ว ยังเอาแม่ห่านไปขายซะอีก ทำให้ต้องตรากตรำก้มหน้าทำงานหาเงินอย่างแสนสาหัสกันต่อไป
Resource