Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

THE CEO STORY

ประวัติ Pete Cashmore ผู้ก่อตั้ง Mashable.com Blogger พันล้าน

Pete Cashmore Blogger หนุ่มชาวสก็อตแลนด์ ผู้ก่อตั้ง Blog ชื่อดังอย่าง Mashable.com ที่เป็น Blog เนื้อหาเกี่ยวกับข่าวไอทีและโซเชียลมีเดีย ที่ถูกเข้าซื้อกิจการไปในปี 2017 ด้วยมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1,500 ล้านบาท ทำให้ในปี 2018 Pete Cashmore นั้น มีทรัพย์สินรวมแล้วอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ กว่า 3,600 ล้านบาท และนี่ก็คือเส้นทางของ Pete Cashmore ในการเป็นเจ้าชาย Blogger พันล้าน

Pete Cashmore เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 1985 ที่เมือง Banchory เขต Aberdeenshire ประเทศ Scotland

ชีวิตในช่วงวัยเด็กของเขานั้น ก็ไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ เพราะในช่วงที่เขาอายุได้ประมาณ 13 ปี เขาได้รับภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่แรมปี ทำให้เขาต้องหยุดเรียนชั่วคราวเพื่อรักษาตัว แต่ในช่วงนี้นี่เองที่ทำให้เขาได้ใช้เวลากับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งในระหว่างนี้เขาได้เรียนรู้อะไรอย่างมากมายในโลกอินเตอร์เน็ตที่ไม่สามารถหาได้จากโรงเรียน และเขาก็ใช้เวลาในการท่อง Blog ต่าง ๆ ที่เขาสนใจอยู่เป็นประจำ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Blogger รุ่นพี่อยู่หลาย Blog

ทำให้ต่อมาในปี 2005 เมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 19 ปี เขาได้ก่อตั้ง Blog ที่ชื่อว่า Mashable.com โดยที่มาของคำว่า Mashable มาจากคำว่า Mashups Trend ที่หมายถึง การผสมผสานของเทรนด์ที่เป็นกระแส

โดยในแต่ละวัน เขาใช้เวลาขลุกตัวอยู่บนห้องนอน เพื่อใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเขียนบทความลงบน Blog เฉลี่ยวันละ 10 โพสต์ กินเวลาในแต่ละวันกว่า 18 ชั่วโมง ทำตั้งแต่เช้ายันเช้าของอีกวัน แล้วไปนอนเอาตอนสาย ๆ ตื่นอีกทีก็ช่วงบ่าย ๆ ซึ่งในช่วงนี้เขาได้นอนพักผ่อนจริง ๆ เพียง วันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องที่เขาเขียนก็มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Technology, Social Media, Facebook, Twitter และ Youtube

ซึ่งหลังจากที่เขียน Blog ไปได้สักพัก เขาก็สังเกตว่า ผู้ชมส่วนใหญ่เข้ามาอ่านบทความของเขามาจากอเมริกา เขาจึงเริ่มปรับเปลี่ยนเวลาในการโพสต์ให้เหมาะสมกับฝั่งของผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถติดตามเทรนด์ได้อย่างทันเหตุการณ์ โดยเขาใช้หลักการคิดในการเริ่มต้นเขียนแต่ละโพสต์ด้วยคำถามที่ว่า “ผู้อ่านจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เขาเขียนขึ้นมานี้?”

และในขณะที่เขากำลังซุ่มทำ Blog อยู่นั้น แม้แต่พ่อและแม่ของเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายของพวกเขาที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในช่วงเลือกเข้าเรียนระดับชั้นมหาวิทยาลัย ที่ขลุกตัวเองอยู่แต่ในห้องกำลังทำอะไรอยู่ จนกระทั่งความมาแตกก็ตอนที่เริ่มมีจดหมายส่งมาที่บ้านแบบรายวัน โดยจดหมายส่วนใหญ่เขียนถึงลูกชายของเธอที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของ Mashable.com

และแล้วผลลัพธ์จากการที่เขาเขียน Blog ต่อเนื่องแบบทรหดอดหลับอดนอนเป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 18 เดือน ในที่สุดมันก็เผยให้ประจักษ์ในสิ่งที่เขาตรากตรำทำมา จากเดิมที่มีคนเข้าอ่าน Blog เดือนละไม่กี่ร้อยกี่พันคน จนขยับกลายเป็นมีคนเข้ามารับชมเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก (โดยในปี 2019 มีผู้คนใช้งานกว่า 23 ล้านคนต่อเดือน) โดยมีแหล่งที่มาของ Traffic ดังนี้

  • Search Engine : 58.20%
  • Direct : 22.52%
  • Social Network : 12.71% (มาจาก Facebook : 59.14% และ Twitter 18.85%)
  • Referrals : 5.25%
  • Email : 1.21%
  • Display Ads : 0.11%

ซึ่งจะเห็นได้ว่า มี Organic Traffic ที่ผู้คนเข้ามายัง Blog โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินลงโฆษณากว่า 99% เลยทีเดียว ซึ่ง Mashable เสียเงินค่าโฆษณาโปรโมท Blog ไม่ถึง 1% ซะด้วยซ้ำ

โดยรายได้ก้อนแรกที่เขาได้รับก็คือ ได้มีบริษัทที่ทำโปรแกรม Chat เจ้าหนึ่งติดต่อเพื่อขอลงโฆษณา และตกลงกันได้ในราคา 3,000 เหรียญฯ (ราว ๆ 1 แสนบาท) เพื่อแลกกับการที่มีผู้กลุ่มผู้ชมเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ราว ๆ 2 ล้านคนต่อเดือน (โดยในปี 2015 มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ประมาณ 10-16 ล้านคนต่อเดือน ทำให้นักวิเคราะห์มีการคาดการณ์ว่า Mashable.com น่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 4 แสนดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 12 ล้านบาทต่อเดือน)

โดยปัจจุบันโมเดลรายได้หลัก ๆ ของ Mashbale.com นั้น ส่วนใหญ่มาจากค่าโฆษณาทั้งจาก Google Adsense, Banner Ads, Sponsored Articles, Event Listing, Job Listing เป็นต้น

ต่อมาในปี 2008 Pete Cashmore ก็ได้ตัดสินใจออกเดินทางจากบ้านเกิดในสก็อตแลนด์มุ่งสู่อเมริกา เพื่อเปิดบริษัทและหาทีมงานเข้ามาอัพเดท Content ลง Blog อย่างจริงจัง โดยมีการเพิ่มเนื้อหาในหมวดหมู่ของ Business & Lifestyle เพิ่มจากเดิมเข้าไป เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ชมที่กว้างมากขึ้น ซึ่งทำให้ในปี 2009 Pete Cashmore กลายเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ถูกจับตามอง โดยได้เข้าไปอยู่ใน List ของ Forbes ที่ชื่อว่า “30 Under 30”

โดยในปี 2012 Pete Cashmore ในวัย 27 ปี ก็ได้ถูกสำนักพิมพ์ชื่อดังอย่าง New York Times รายงานว่า มีสถานีโทรทัศน์ข่าวยักษ์ใหญ่อย่าง CNN ได้ติดต่อขอเข้าซื้อกิจการของ Mashable.com ในราคา 200 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 6,000 ล้านบาท) จึงทำให้เขาถูกประเมินมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ราว ๆ 95 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 2,900 ล้านบาท) เรียกได้ว่า จู่ ๆ ก็กลายเป็นหนุ่มฮอตทำเนียบว่าที่เศรษฐีพันล้านคนต่อไป ทำให้เขากลายเป็น 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลทั่วโลกในปี 2012 โดยได้รับฉายาว่า “Sage of Media” 

จนกระทั่งในปี 2017 มีรายงานอย่างเป็นทางการว่า Ziff Davis เข้าซื้อกิจการของ Mashable.com ในราคา 50 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็น offer ในราคาที่ต่ำกว่าที่ CNN เคยเสนอเอาไว้อยู่ที่ 200 ล้านเหรียญฯ แม้ว่า Mashable.com จะมีอัตราการเติบโตที่ดี แต่โดยรวมแล้วบริษัทก็ยังอยู่ในสถานะขาดทุนอยู่และติดลบกว่า 42 ล้านเหรียญฯ ซึ่งหากบวกลบกลบหนี้แล้ว ทาง Ziff Davis เอง ก็ยังคงเล็งเห็นว่า ยังคุ้มค่าอยู่ดี เพราะสามารถนำไปต่อยอดได้อีกมากมาย เพราะตัวของ Ziff Davis เอง ก็มีสื่อใหญ่ ๆ ในมืออยู่แล้ว เช่น IGN, PCMag, AskMen, Speedtest, ExtremeTech และ Everyday Health เป็นต้น

ซึ่งตอนที่เขาตัดสินใจไม่ขาย Mashable ให้กับ CNN นั้นเพราะคิดว่าน่าจะทำอะไรได้มากกว่านั้น แต่การคาดการณ์นั้นก็ทำให้เขาตัดสินใจผิด ด้วยความที่โลก ณ ปัจจุบัน กลับมีสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างมากมาย ทำให้ผู้คนบนโลกออนไลน์มีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น

และหลังจากที่ Pete Cashmore ขายกิจการ Mashable ไป ก็ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีวัยหนุ่มสุดหล่อได้ในที่สุด โดยรายงานระบุว่า ในปี 2018 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 120 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ กว่า 3,600 ล้านบาท

โดยปัจจัยที่ส่งผลทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงในการผลิตสื่อมีเดียออกมานั้น เขาเริ่มต้นจาก Niche Market โดยโฟกัสเฉพาะเรื่องที่เขามีความสนใจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ นั่นก็คือ เรื่องของข่าวเทคโนโลยี โดยเน้นที่เนื้อหาเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน รวดเร็ว แม่นยำ อัพเดทและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และการที่ใครสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วกว่า ก็ย่อมได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นในเชิงธุรกิจหรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น หากไม่อยากตกเทรนด์ ก็ต้องติดตามที่ Blog ของ Mashable.com

ซึ่ง Pete Cashmore ได้ให้ข้อคิด สำหรับคนที่กำลังจะเริ่มต้นสร้าง Blog และอัพเดท Content ลงไปบนเว็บไซต์นั้นว่า หากคุณเริ่มต้นสร้าง Blog เพียงเพื่อหวังที่จะทำเงินล้านในชั่วข้ามคืนนั้นเป็นเรื่องที่ตลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเงินไม่สำคัญนะครับ เพียงแต่ หากคุณเริ่มต้นด้วยการเอาเรื่องของเงินนำ จนหน้ามืดตามัว เร่งผลิต Content ที่เน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพเลย หรือผลิตแต่ Content ที่ได้รับเงินค่าโฆษณาเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจผู้ชม ท้ายที่สุด แม้ว่าในช่วงแรกอาจจะได้เงินเข้ามาเร็ว แต่สุดท้าย Blog ของคุณก็จะถูกผู้ชมเมินหน้าและห่างเหิน และเมื่อไม่มีผู้ชม เหล่าบรรดาแบรนด์และเอเจนซี่โฆษณาต่าง ๆ ก็ไม่ต้องการที่จะจ้างคุณอีกต่อไป

ดังนั้นจงอย่าลืมว่า ผู้ชมต้องมาเป็นอันดับ 1 เพราะหากไม่มีผู้ชมก็ไม่มีโฆษณา ดังนั้นอันดับแรก ให้คุณโฟกัสไปที่การสร้าง Content ที่มีคุณภาพออกมา เพราะเมื่อคุณสร้าง Content ออกมาแล้ว มันถือว่าเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งบนโลกออนไลน์ เพราะลิขสิทธิ์ในตัวของ Content จะเกิดขึ้นทันทีที่คุณเผยแพร่มันออกไปสู่สาธารณะ และเมื่อสินทรัพย์มันมากพอ มันก็จะค่อย ๆ ออกดอกออกผล แล้วถึงช่วงนั้น คุณค่อยเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้จาก Blog ก็ยังไม่สาย และเมื่อคุณมีการปรับปรุงและพัฒนา Blog อยู่ตลอดเวลา มันก็จะกลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้คุณได้อย่างไม่รู้จบ

Pete Cashmore เคยกล่าวเอาไว้ว่า

“The idea that you could change the world from your bedroom was pretty compelling to me”

หมายถึง มันเป็นอะไรที่เจ๋งมากและน่าสนใจมาก ที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้จากในห้องนอนของคุณ

Pete Cahsmore ผู้ก่อตั้ง Mashable.com

Resources