Blue O'Clock

สตูดิโอผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน ธุรกิจ จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

Interview

คุยเรื่อง AI, จีน และ คริปโต กับ Peter Thiel หนึ่งในแก๊งค์ Paypal Mafia | Blue O’Clock Podcast EP. 49

Peter Thiel นักธุรกิจ นักลงทุน นักเขียน ผู้เขียนหนังสือ Zero to One และผู้ร่วมก่อตั้ง paypal ระบบชำระเงินออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของโลกที่ขายกิจการให้กับ eBay จนทำให้สมาชิก paypal หลายต่อหลายคน กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกของธุรกิจ เทคโนโลยี และ tech startup ในปัจจุบัน จนได้รับขนานนามว่า แก๊งค์ Paypal Mafia

โดย Peter Thiel ได้ให้สัมภาษณ์บนช่อง Youtube ของ Hugh Hewitt เกี่ยวกับอนาคตของ AI ปัญญาประดิษฐ์ ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้

chatGPT

โดยทางพิธีกรก็ได้ถามคำถามแรกกับ Peter Thiel ว่า เขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับการมาของ chatGPT ที่เป็น AI ที่สามารถตอบคำถามกับผู้ใช้งานได้ราวกับเป็นมือโปร เป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่มีความสามารถสูง ซึ่งตัวของพิธีกรเขาพบว่า เริ่มมีนักเรียน นักศึกษาที่ใช้เจ้า chatGPT ในการช่วยทำการบ้านและแบบฝึกหัดส่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยกันแล้ว แถมยังเป็นในเรื่องของกฎหมาย ที่เจ้า chatGPT ก็สามารถตอบได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เขาเลยถามกับ Peter Thiel ว่า เจ้า chatGPT นั้น จะเข้ามาทำลายระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมหรือไม่ อย่างไร

โดยทาง Peter Thiel ก็บอกว่า ก่อนอื่นเลยนั้น อะไรก็ตามที่ออกจากปากของคนใน Silicon Valley แล้วนั้น มักจะเกินจริงไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ที่ผู้คนต่างมักจะทำนายความสามารถของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เอาไว้เกินจริง

แต่การมาของเจ้า chatGPT นั้น ทาง Peter Thiel เขาก็มองว่า มันเป็นการเปิดตัวเทคโนโลยีที่มีความยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกันกับตอนที่โลกของเรามีการเปิดตัว iPhone ครั้งแรกในปี 2007 เลยยังไงยังงั้น

แต่การมาของ AI นั้น ผู้คนก็มักจะแตกตื่น ตื่นตูมกันไปมาก ว่ามันจะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ หรือไม่ก็มักจะคิดว่า AI มันจะเข้ามาทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์

ดังนั้น เราจึงต้องตีความหมายของการมาของ AI กันในแบบที่เป็นความจริงและไม่โอเว่อร์จนเกินไป

ซึ่งถ้าให้พูดถึงการมาของ chatGPT ในทางธุรกิจแล้วนั้น มันสร้างผลประโยชน์ให้แก่บริษัท Microsoft เป็นอย่างมาก เพราะบริษัท Microsoft ถือได้ว่าเป็นนายทุนยักษ์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเจ้า AI ตัวนี้ และนำมันไปรวมเข้ากับ Bing ที่เป็น Search Engine หรือผู้ให้บริการการค้นหาเฉกเช่นเดียวกับ Google ที่ทำให้บริษัทของ Google สูญเสียมูลค่าทางธุรกิจไปแล้วมากกว่า $150 ล้านดอลล่าร์ฯ ที่ถือได้ว่าเป็นภัยคุกคามที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับ Google มาแล้วเป็นเวลามากกว่า 20 ปี ที่ Google ได้ผูกขาดในธุรกิจผู้ให้บริการการค้นหานี้

ดังนั้นถ้ามองการมาของ ChatGPT ในมุมมองของทางธุรกิจแล้วล่ะก็มันมีความสำคัญ และในมุมของเทคโนโลยีนั้น ก็ถือได้ว่ามันได้มีการปฏิวัติในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน

คอมมิวนิสต์ กับ AI

แต่หากผู้ที่ใช้งาน AI แบบคอมมิวนิสต์แล้วล่ะก็ คุณสามารถดูได้จากประเทศจีน ที่พวกเขาใช้ AI ตรวจสอบทุกการเคลื่อนไหวทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตลอดเวลาภายในประเทศมานานนับทศวรรษแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ออกจะน่ากลัวสักหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย

ซึ่งตอนนี้ทางสหรัฐอเมริกาก็กำลังแข่งขันกับประเทศจีนอยู่ไม่ว่าจะเป็นในด้านทางการทหาร ด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจากการที่มีเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ได้ยิงบอลลูนของจีนที่บินอยู่เหนือน่านฟ้าเมื่อไม่นานนี้ร่วงลงนั้น ก็อาจจะเป็นการใช้เทคโนโลยีบางอย่างในการรวบรวมข้อมูลอยู่ก็เป็นได้ แต่คุณก็ต้องวิเคราะห์ดี ๆ เพราะในหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับประเทศจีน ก็ถูกพูดในมุมที่เกินจริงไปหลายอย่างเช่นกัน

แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ มันแตกต่างอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เคยปะทะกันกับทางสหภาพโซเวียต ที่ตอนนั้นมีแต่เรื่องทางการทหารเพียงอย่างเดียว ซึ่งในสมัยของประธาธิบดี Richard Nixon ในปี 1972 ที่เขาได้ไปเยือนประเทศจีนนั้น ตอนนั้นจีนยังมี GDP แค่เพียง 1 ใน 5 ของโซเวียตแค่นั้นเอง

ซึ่งแต่เดิมทีที่สหรัฐอเมริกาประเมินเกี่ยวกับประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มักจะไม่ค่อยมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากสักเท่าไหร่นัก แต่กับประเทศจีนในปัจจุบันอย่างที่เห็น มันไม่เหมือนกับยุคของโซเวียตแล้ว เพราะประเทศจีนนั้นมี GDP สูงกว่าประเทศรัสเซีย 5-6 เท่าเลยทีเดียว

ซึ่งถ้าหากพูดถึงจำนวนประชากรของประเทศจีนแล้วนั้น มีจำนวนสูงกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 4 เท่า ซึ่งจีนนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าสหรัฐอเมริกาก็ได้ แค่ก้อปปี้เทคโนโลยีที่เหมือนกันกับของอเมริกา แล้วนำไปใช้กับประชาชน ซึ่งถ้าหาก GDP ต่อหัวของคนจีนเท่ากันกับอเมริกาเพียงแค่ 1 ใน 4 แล้วล่ะก็ ในทางทฤษฎีนั่นก็เท่ากับว่า GDP ของทั้งสองประเทศก็จะเท่ากัน นั่นก็สามารถมองได้เช่นกันว่า งบประมาณทางการทหารต่อหัวนั้นก็สูงตามขึ้นไปด้วย

นั่นจึงทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของสหรัฐอเมริกาเลย

ซึ่ง Peter Thiel ก็อยากให้ลองสังเกตดูว่า ในมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะสาขาวิทยาศาสตร์นั้น เป็นชาวจีนราว ๆ 40%-50% ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ที่จะกลับไปเป็นแรงงานชั้นดีในราคาถูกเพื่อป้อนเข้าสู่ประเทศจีน

และนอกจากนั้น จีนยังได้แทรกซึมเข้าไปในวงการ Hollywood หรือวงการภาพยนตร์อย่างลับ ๆ อีกด้วย ซึ่ง Peter Thiel บอกว่า ถ้าคุณสังเกตดี ๆ ในภาพยนตร์ที่ออกมาจาก Hollywood นั้น ไม่มีคนจีนเป็นตัวร้ายอีกเลยนับตั้งแต่ปี 1997

และนอกจากนั้นก็ยังมีนายทุนในตลาดหุ้น Wall Street ที่ได้ทำการลงทุนเป็นจำนวนมากในประเทศจีนอีกด้วย

โดยทางพิธีกรก็ได้ถาม Peter Thiel ว่า แล้วในวงการ Silicon Valley นั้น มีความสุ่มเสี่ยงที่จะโดนประเทศจีนครอบงำหรือไม่

ซึ่งทาง Peter Thiel เขาก็ตอบว่า บริษัท Tech Company ที่สุ่มเสี่ยงมากที่สุด ณ ตอนนี้ทาง Peter Thiel เขามองว่าคือบริษัท Apple เป็นบริษัท Tech Company ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนี้ ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง $2.3 Trillion USD ซึ่ง iPhone เกือบทั้งหมดนั้นถูกผลิตขึ้นที่ประเทศจีน ดังนั้นจีนกำลังครอบงำบริษัทนี้อยู่

ในขณะที่ Microsoft, Amazon, Google และ Facebook นั้น ไม่ได้ถูกจีนครอบงำขนาดนั้น เพราะพวกเขาไม่สามารถขายสินค้าภายในประเทศจีนได้ ไม่สามารถทำเงินได้

โดยพิธีกรได้ถามต่อว่า แล้ว Tiktok นั้น ถือว่าเป็นอาวุธ AI ของทางจีนที่จะเข้ามาแทรกซึมฝั่งของสหรัฐฯ หรือไม่?

โดยทาง Peter Thiel ก็ตอบว่า ในสหรัฐฯ เราไม่สามารถพูดได้ว่าแอพดังกล่าวเป็นของจีน เพราะเดี๋ยวมันจะผิดข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ แต่เขาอยากพยายามสื่อสารถึงพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศจีนจะเหมาะกว่า

อนาคตในอีก 50-75 ปีข้างหน้า

ส่วนการมองประเทศจีนในอนาคตอีกราว ๆ 50-75 ปีนั้น ทาง Peter Thiel เขามองว่า แม้ว่าประเทศจีนจะมี GDP แซงสหรัฐอเมริกาได้ แต่ประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงหวาดกลัวกับการเป็นพินธมิตรกับประเทศจีน ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านนี้ ก็มีหลายต่อหลายประเทศที่ย้ายฝั่งการเป็นพันธมิตรกับจีน อย่างเช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดียก็อาจจะไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับจีนด้วยเช่นกัน

ซึ่งในมุมองของเขาในอีก 50-75 ปี นั้น ประเทศจีนนั้นจะไม่สามารถครอบงำโลกทั้งโลกนี้ได้

มุมมองที่มีต่ออินเดีย

ส่วนทางประเทศอินเดียนั้น ทาง Peter Thiel บอกว่า ประเทศนี้ก็ไม่ได้เป็นพันธมิตรที่ดีต่อสหรัฐอเมริกาสักเท่าไหร่นัก โดยเขามองว่า โครงสร้างทางสังคมของประเทศอินเดียนั้น มันพังกว่าที่เราเห็น แม้ว่าจะมีคนเก่ง ๆ ในประเทศอินเดียเยอะก็ตามที

แต่ Thiel บอกว่า ถ้าให้เทียบบริษัทจากอเมริกาที่สามารถทำการค้าขายในประเทศจีนว่ายากแล้วนั้น ที่อินเดียทำได้ยากยิ่งกว่า เพราะในอดีตที่ในยุคล่าอาณานิคมที่อินเดียถูกประเทศทางตะวันตกรุกรานนั้น พวกเขาเลยมีอคติฝังรากลึกเกี่ยวกับคนตะวันตกที่ทำไม่ดีต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก และเรื่องเหล่านี้ก็แก้ไขได้ยากมาก ๆ

ซึ่งทาง Peter Thiel บอกว่า ถ้าให้พึ่งพาประเทศอย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เหล่านี้พึ่งพาได้มากกว่า เพราะประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มต่อต้านต่อประเทศจีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เยอรมัน รัสเซีย และจีน

ส่วนถ้าให้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทางฝั่งตะวันออกของยุโรปอย่างเยรมันนีแล้วนั้น ได้มีโครงการอย่าง Nord Stream Pipeline ที่เป็นโครงการท่อส่งก๊าซเชื่อมต่อกับประเทศรัสเซีย และประเทศจีนก็ดูเหมือนจะมีการสนับสนุนบางอย่างกับรัสเซีย

และนอกจากนั้นทาง Peter Thiel ยังได้บอกอีกด้วยว่า บริษัทรถยนต์จากเยอรมันอย่าง Volkswagen กว่าครึ่งนั้นก็ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศจีน และพรรคการเมืองที่เยอรมันนั้นก็อาจถูกนายทุนจีนครอบงำอยู่ ซึ่ง Theil บอกว่า คุณจะเห็นได้จากการที่พรรคการเมืองดังกล่าวจะคอยเอาใจประเทศจีนอยู่เป็นเนือง ๆ ด้วย

ดังนั้นระหว่างประเทศเยอรมัน รัสเซีย และจีน นั้น มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่

Cryptocurrency

และพิธีกรปิดท้ายการคุยกับ Peter Thiel ด้วยเรื่องของคริปโตฯ ว่าตลาดนี้มันยังดำเนินต่อไปหรือไม่น่าเข้าไปยุ่งกับแล้ว มันอรายหรือไม่?

โดยทาง Peter Thiel ก็ได้ตอบว่า ตลาดนี้มันก็ไม่ได้อันตรายมากจนเกินไป ซึ่งถ้าหากพูดถึง bitcoin มันคือเทคโนโลยีรุ่นแรกที่เกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านระบบเงิน fiat หรือระบบเงินกระดาษ ซึ่งมันเหมือนเป็นเทคโนโลยีรุ่นแรก ๆ ที่มีคอนเซ็ปต์แตกยอดออกมาจากทองคำ ที่ตัวของทองคำเองนั้น ก็เกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านระบบเงิน fiat เช่นกัน

คำถามที่สำคัญก็คือ การมาของ crypto การมาของ bitcoin นั้น มันจะสามารถแก้ไขปัญหาการเงินได้จริงหรือไม่? และมันเป็นการเงินแบบ Decentralization หรือไร้ศูนย์กลางได้จริงหรือไม่?

เพราะ Peter Thiel ก็มีคนรู้จักที่เป็น FBI บอกเขาว่า พวกเขาอยากให้ทุกคนหันมาใช้ crypto ให้หมด โดยเฉพาะพวกอาชญากร เพราะพวกเขาสามารถติดตามเส้นทางการเงินนั้นไปได้

หรือถ้าหากรัฐบาลต้องการให้ทุกคนหันมาใช้ crypto กันหมด เพื่อที่ต้องการจะตรวจสอบการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของทุก ๆ คน แล้วนั้น มันน่าจะเรียกว่าระบบรวมศูนย์ Centralized มากกว่า Decentralized ระบบไร้ศูนย์กลาง

อย่างกรณีล่าสุดที่มีกระดานเทรด crypto รายใหญ่ล้มละลายที่เกิดจากการนำเงินของลูกค้าไปใช้อย่างกระดานเทรดที่ชื่อ FTX ที่มี Sam Bankman-Fried ทาง Peter Thiel ก็บอกว่า นั่นมันก็เหมือนกับระบอบคอมมิวนิสต์อย่างหนึ่ง ที่มีอำนาจเสร็จสรรพในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ โดยเจ้าของเอง ไม่ใช่ไร้ศูนย์กลางอย่างที่โฆษณาเอาไว้

Resources