เตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตทางการเงินที่กำลังมาเยือน by Peter Schiff
บทสนทนานี้จะกล่าวถึง สาเหตุแห่งการเกิดขึ้นของ inflation และโอกาสที่อาจจะเกิด hyper inflation หรือเกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ที่เก็บเงินสดเอาไว้นั้นจนลง และทาง Peter Schiff ก็ได้เสนอทางเลือกที่หากคุณต้องการที่จะรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนได้นั้น ก็คือการเลือกที่จะถือทองคำ
ไปลงลึกในรายละเอียดกันเลยครับ
โดยการสัมภาษณ์นี้สัมภาษณ์โดย Jordan B. Peterson ที่เป็นนักจิตวิทยา นักคิด นักปรัชญา และนักเขียนผลงานชื่อดังอย่าง “12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต 12 RULES FOR LIFE” ได้เริ่มต้นถามคำถามกับ Peter Schiff นักธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ นายหน้านักลงทุนในทองคำ ฝีปากกล้า ผู้ที่เคยทำนายวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่าง subprime mortgage crisis ในปี 2008 ได้อย่างแม่นยำ ว่าอะไรคือสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไป ควรรู้เกี่ยวกับเรื่องของ Financial หรือเรื่องของการเงิน โดยเฉพาะในทางที่ทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้ เพื่อปกป้องทรัพย์สินของตนเอง และเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางด้านการเงินที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ และไม่ค่อยมีการเรียนการสอนในระบบการศึกษาในโรงเรียน
Inflation
โดย Peter Schiff ก็ตอบว่า เรื่องของ financial นั้น มันมีหลากหลายหัวข้อมาก แต่เอาเป็นว่า ใครก็ตามที่คิดจะเริ่มทำการลงทุนใด ๆ ก่อนอื่นเลยนั้น คุณจะต้องทำความเข้าใจในเรื่องของ inflation หรือค่าเงินเฟ้อเป็นอันดับแรกเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้
เพราะ inflation นั้น จะส่งผลกระทบทั้งต่อการตัดสินใจของคุณในเรื่องของเงินออมและเงินลงทุน ที่มันกำลังจะกลายมาเป็นภักคุกคามกว่าแต่ก่อน
เพราะเจ้า inflation นั้น จะส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่จะได้กลับคืนมาจากการลงทุน
ซึ่งการเกิดค่าเงินเฟ้อนั้น เกิดมาจากการกระทำของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือพูดให้เจาะจงเข้าไปอีกก็คือ มันเกิดมาจาก ‘นักการเมือง’ ที่เห็นแก่ตัว ที่เห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นอันดับแรกและสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่ในเกมการเมือง ที่เป็นเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นสายอาชีพ ที่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องดำรงรักษาตำแหน่งทางการเมืองของตัวเองเอาไว้ให้ได้ ซึ่งนั่นก็เป็นข้อเสียจากการมีระบอบการปกครองแบบประชาธิบไตย ที่แบ่งขั้วการเมืองออกเป็นสองฝักสองฝ่าย
ซึ่งแน่นอนว่า ใครหลายต่อหลายคน ก็มักจะหลงใหลไปกับการที่ได้เป็นนักการเมือง เพราะตำแหน่งทางการเมืองนั้น มักจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น ดูมีเกียรติ ดูมีพลัง ไปไหนใครก็ต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หอมหวานที่มาพร้อมกับตำแหน่งทางการเมือง ที่นักการเมืองแต่ละคนนั้นก็ต้องการที่รักษาตำแหน่งของตัวเองกันเอาไว้แทบทั้งสิ้น
ดังนั้น ในฐานะนักการเมืองส่วนใหญ่แล้วนั้น ก็มักจะไม่กล้าพูดหรือทำอะไรที่โผงผาง หรือทำอะไรที่จะส่งผลเสียต่อคะแนนเสียงของตน เพื่อที่จะยังคงรักษาคะแนนความนิยมของตนให้ดีอยู่จนถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ซึ่งแน่นอนว่า ‘เงิน’ เป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะสร้างความนิยมของนักการเมือง ผ่านการประชาสัมพันธ์ ผ่านการโฆษณา ที่มักมีราคาแพง ใช้เงินเยอะ
ดังนั้นพวกเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาหาตนเองให้ได้มาก ๆ ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกมานั้น ก็คือการที่ประเทศชาติจะต้องสูญเสียผลประโยชน์ไป เพราะนักการเมืองจะมุ่งสู่ผลประโยชน์ของตนมาเป็นอันดับแรก ส่วนผลประโยชน์ของประเทศนั้นเป็นอันดับสองรองลงมา
และแน่นอนว่า การแจกเงินให้กับประชาชนนั้น ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์รักษาฐานคะแนนเสียงของตนด้วยเช่นกัน และการพิมพ์เงินแจกเงินนี่แหละ ก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้เกิดค่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ซึ่งการที่จะเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ทักษะที่สำคัญมากทักษะหนึ่งเลยก็คือ จะต้องเป็นคนที่พูดโกหกเก่ง มีวาทะศิลป์เป็นเลิศ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักกฎหมายหรือคนที่เป็นทนายนั้น มักจะหันเหเข้าสู่เส้นทางการเมือง เพื่อที่จะไปว่าความแก้ต่างให้กับนักการเมือง ที่รู้ทั้งรู้ว่า เป็นฝ่ายผิดแต่ก็พยายามแก้ต่างให้กลายเป็นฝ่ายชนะคดีฟ้องร้องต่าง ๆ
ดังนั้น หากคุณเป็นคนที่ซื่อสัตย์และพูดแต่ความจริงแล้วนั้น อาชีพนักการเมืองก็ไม่เหมาะกับคุณ หรือหากแม้ว่าคุณจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และได้รับเลือกเข้าไปในสภานั้น คุณก็จะอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองได้ไม่นาน เพราะมันจะมีสถานการณ์ที่ทำให้นักการเมืองนั้นจะต้องพูดเท็จอยู่บ่อย ๆ
ยกตัวอย่างเช่น นโยบายก่อนการเลือกตั้งนั้น มักจะถูกตั้งให้ดูสวยหรู แต่สุดท้ายก็ทำได้ไม่จริง แต่ก็ต้องโฆษณาออกไปแบบนั้น เพื่อเรียกร้องคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกตนให้ได้มากที่สุดก่อน
(เอ๊ะ! ไป ๆ มา ๆ ถามเรื่องการเงิน แต่ไหงลุง Peter Schiff พาวกเข้าเรื่องของนักการเมืองไปเต็ม ๆ )
ซึ่งที่ทาง Peter Schiff เกริ่นยาวในเรื่องของนักการเมืองนั้น เขาก็จะเข้าประเด็นตรงที่ว่า รัฐบาลที่กุมการคลังของประเทศเอาไว้นั้น นักการเมืองที่ได้รับเลือกให้เป็นฝ่ายรัฐบาลก็ต้องการแจกจ่ายเงินให้แก่ประชาชน ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็คือเงินที่มาจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศนั่นแหละ
แต่มันก็ติดตรงที่ว่า ถ้ารัฐบาลอยากใช้จ่ายเงินเยอะขึ้น ก็จะต้องขึ้นภาษี แต่การขึ้นภาษีก็เสียฐานคะแนนเสียงอีก เพราะใคร ๆ ก็ไม่อยากโดนเก็บภาษีเยอะ
ส่วนเงินคงคลังของรัฐบาลนั้น ก็ไม่มีหรอก ซึ่งโชคร้ายที่ในยุคนี้มีสกุลเงินที่เรียกว่า fiat currency เกิดขึ้นมา นั่นก็คือเงินกระดาษที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสกมันขึ้นมาจากอากาศ ได้โดยที่ไม่ต้องใช้ทองคำหนุนหลัง ที่ทาง Peter Schiff เขายกให้ทองคำนั้นมันเป็น ‘Real Money’ หรือเงินที่แท้จริง ไม่ใช่เงิน fiat ที่สามารถพิมพ์ออกมาได้อย่างไม่มีจำกัด หรือสามารถเสกเงินดิจิทัลขึ้นมาในระบบได้เพียงแค่แก้ตัวเลข
และด้วยวิธีการนี้ ก็จะทำให้ทางรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างมากมาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปเก็บภาษีจากประชาชน
หรืออาจจะพูดได้อีกนัยหนึ่งได้ว่า inflation นั้น ก็คือภาษีในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายจะต้องไปเก็บมาจากภาษี แต่ดันไปใช้การปริ้นท์เงินเพิ่มแทน
ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ความหมายที่แท้จริงของคำว่า inflation หรือค่าเงินเฟ้อก็คือ การเพิ่มจำนวน money supply หรือเพิ่มปริมาณของเงินกระดาษให้มีจำนวนมากขึ้น
แล้วใครกันล่ะ ที่ทำให้เกิด inflation นั่นก็คือรัฐบาลที่ทำผ่านธนาคารกลาง เพื่อให้พิมพ์เงินออกมาเพิ่มมากขึ้น แต่สินค้าและบริการนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ พากันปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นไปตามหลักการขั้นพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ที่ว่ากันด้วยเรื่องของ demand กับ supply เพราะเมื่อมีเงินเยอะขึ้น ก็จะมี demand หรือความต้องการซื้อเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ supply หรือสินค้าและบริการต่าง ๆ นั้นมีน้อย ทำให้สินค้าและบริการต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้นเป็นธรรมดา
ดังนั้น แม้ว่า จำนวนตัวเลขของเงินจะมีเพิ่มมากขึ้น แต่มูลค่าต่อหน่วยของมันนั้นกลับลดลง เพราะจับจ่ายใช้สอยได้น้อยลง
แล้วเวลาที่ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น รัฐบาลก็จะออกมาบอกว่า มันเกิดมาจากค่าเงินเฟ้อ ซึ่งอันที่จริงการที่ราคาสินค้าและบริการพุ่งสูงขึ้นนั้น เป็นเพียงผลที่ตามมาจากการเกิดค่าเงินเฟ้อ เพราะราคามันไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ มันมีแต่เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามผลของค่าเงินเฟ้อ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น สินค้าและบริการต่าง ๆ ควรมีราคาถูกลงซะด้วยซ้ำ เนื่องจากในปัจจุบันมีกระบวนการการผลิตสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนในการผลิตต่ำลง มันก็ควรที่จะส่งผลให้ราคาสินค้าต่ำลง ใช่หรือไม่?
เพราะเมื่อราคาสินค้ามีราคาถูกลง ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์จากการที่มีค่าครองชีพที่ต่ำลง ใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น
แต่ทางรัฐบาลกลับประกาศให้คงมีค่าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี เฉลี่ยปีละ 2%-3% โดยนักการเมืองจากฝั่งของทางรัฐบาลอ้างว่า การขึ้นราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้น บ่งบอกถึงการที่ชาติบ้านเมืองเจริญมากยิ่งขึ้นต่างหาก นั่นคือสิ่งที่นักการเมืองได้ขายฝันให้แก่ประชาชน
หรือสามารถมองในอีกมุมหนึ่งก็ได้เช่นกันว่า ราคาสินค้าและบริการไม่ได้แพงขึ้นจากการพิมพ์เงินจำนวนมากออกมา แต่เป็นเพราะว่า มูลค่าของเงินนั้นลดลงทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นในการจับจ่ายใช้สอยต่างหาก มันจึงทำให้เราต้องใช้เงินจำนวนที่มากขึ้น แต่กลับซื้อของได้เท่าเดิมหรือลดลง
ในขณะที่หากรัฐบาลใช้ The Gold Standard หรือมาตรฐานทองคำ นั้น ทางรัฐบาลก็จะต้องใช้เงินอย่างมีระเบียบวินัยมากยิ่งขึ้น เพราะรัฐบาลไม่สามารถพิมพ์ทองคำออกมาได้ เพราะถ้าใช้มาตรฐานทองคำ ทางรัฐบาลจะต้องมีปริมาณทองคำเท่ากับเงินกระดาษที่ปริ้นท์ออกมา ไม่สามารถพิมพ์มากกว่าจำนวนทองคำได้ ดังนั้นนักการเมืองก็จะต้องใช้จ่ายเงินที่ได้จากการเรียกเก็บภาษี หรือไม่ก็ต้องไปขุด ไปหาทองคำมาเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถเสกทองคำขึ้นมาเองได้
และเช่นเดียวกันกับรัฐบาลและนักการเมืองทั่วโลก ที่พวกเขาจะไม่พยายามลดค่าเงินเฟ้อลงด้วย 3 เหตุผลหลัก ๆ ดังนี้ก็คือ
- A – เพราะรัฐบาลคือคนที่สร้าง inflation ขึ้นมา
- B – รัฐบาลจะไม่ยอมลดการใช้จ่ายของตนเองลง อยากจ่ายเยอะขึ้น
- C – และเมื่อพวกรัฐบาลอยากจับจ่ายเยอะขึ้น พวกเขาก็อาจเลือกที่จะไม่ขึ้นภาษีให้เพิ่มมากขึ้นจากคนชนชั้นกลางวัยทำงานทั่ว ๆ ไป ที่เป็นฐานคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของพวกเขา
ดังนั้น พวกเขาจะยังคงพิมพ์เงินที่เพิ่มขึ้น เพิ่มอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้มีใช้จ่ายเยอะมากขึ้นในทุก ๆ ปี
ซึ่งหายนะจากการที่มีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้น สุดท้ายมันจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคนชนชั้นกลาง คนจน และคนวัยเกษียณที่มีพวกเขา มีรายได้เป็นเงินสด มีเงินออมเป็นเงินและมีเงินบำนาญ ล้วนแล้วเป็นเงิน fiat แทบทั้งสิ้น
ในขณะที่คนรวยนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งพวกเขาได้รับผลประโยชน์จากการที่ค่าเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นซะด้วยซ้ำ และคนรวยส่วนใหญ่นั้น เป็นหนี้ดี ส่วนคนชนชั้นกลางและคนจนนั้นมักจะเป็นหนี้เลว
ความหมายก็คือ หนี้เลว นั้นคือการกู้ยืมเงินมาแล้วก็นำไปใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภค แล้วก็หมดไป ยกตัวอย่างเช่น เอาบัตรเครดิตไปรูดซื้อทีวีใหม่ รูดซื้อทริปท่องเที่ยวในหยุดสุดสัปดาห์
ในขณะที่หนี้ดีนั้น คือการที่คุณกู้ยืมเงินมาแล้วนำไปซื้อทรัพย์สินที่มันสามารถสร้างรายได้กลับคืนมาได้ อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์, ลงทุนในธุรกิจ, ลงทุนในหุ้นที่มีปันผล
ดังนั้น คนรวยที่นำเงินไปวางไว้ถูกที่ถูกเวลา พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์จากอัตราค่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้น พวกเขาร่ำรวยขึ้น ในขณะที่คนทั่ว ๆ ไปที่ถือเงินสดเอาไว้นั้น พวกเขาจะจับจ่ายใช้สอยได้น้อยลง และมีแนวโน้มที่จะไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาใช้จ่ายในสิ่งที่เป็นหนี้เสียมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น ถ้าแค่มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเพียงปีละ 4% คนที่มีเงินออมเอาไว้โดยที่ไม่ได้นำไปลงทุนอะไรเลย ภายในประมาณ 10 ปี เงินของพวกเขาจะมีมูลค่าหายไปเกือบครึ่ง
CPI: Consumer Price Index
และในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ค่า inflation หรือค่าเงินเฟ้อนั้น จะสูงกว่า 4% เป็นอย่างมาก ซึ่งการที่ทางรัฐบาลพยายามนำเสนอออกสื่อว่าค่า CPI: Consumer Price Index หรือดัชนีราคาผู้บริโภค ให้ดูตัวเลขต่ำ ๆ นั้น เพราะพวกเขาพยายามซ่อนค่าเงินเฟ้อที่แท้จริงเอาไว้อยู่เพื่อไม่ให้เสียคะแนนนิยมไป
เพราะถ้ารัฐบาลไหนออกข่าวโครม ๆ ว่าค่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นมาก ข้าวของจะแพงทั้งแผ่นดินแล้วล่ะก็ มีหวังโดนชาวบ้านด่ากันยับ
โดยค่า CPI นั้น มันได้ถูกออกแบบมาให้เมื่อคำนวณตัวเลขออกมาแล้ว มักจะมีค่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น ค่า CPI ของสหรัฐอเมริกาของเดือนเมษายน 2023 ที่ผ่านมานั้น ตัวเลขออกมาที่ 4.9%
แต่พอเอาตัวเลขสินค้าอุปโภคบริโภคแต่ละอย่างไปเทียบกับเดือนเมษายนปี 2022 หรือเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ในปัจจุบันกลับมีค่าราคาที่สูงขึ้นกว่า 4.9% แทบทั้งสิ้น เช่น
- ราคาไข่ไก่เพิ่มขึ้น 21.4%
- อาหารสัตว์เพิ่มขึ้น 14.6%
- ขนมปังเพิ่มขึ้น 12.6%
- อุปกรณ์ในกลุ่มทำความสะอาดบ้าน เพิ่มขึ้น 9.8%
- อาหารเด็กทารกเพิ่มขึ้น 8.8%
- ค่าไฟ เพิ่มขึ้น 8.4%
- ที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้น 8.1%
- กลุ่มสัตว์ปีก เพิ่มขึ้น 5%
ดังนั้น จากข้อมูลการขึ้นราคาสินค้าในกลุ่มต่าง ๆ ก็จะพบว่า มันสูงกว่าค่า CPI ที่ทางรัฐบาลแจ้งมาทั้งสิ้น ซึ่งบางอย่าง สูงกว่า 2 เท่าซะด้วยซ้ำ
ดังนั้นค่า CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภค นั้น พวกรัฐบาลพยายามเลือกดูเฉพาะสินค้าที่พวกเขาอยากดูเอามาคำนวณตัวเลขเท่านั้น ซึ่งถ้าอยากให้รัฐบาลดูดี พวกนักการเมืองก็จะทำการเอาสินค้าที่ไม่ค่อยมีการเพิ่มขึ้นของราคามากนักเข้ามาคำนวณ ทำให้อัตราค่าเงินเฟ้อนั้นดูต่ำกว่าความเป็นจริง
โดยตัวของ Peter Schiff เองนั้น เขาเริ่มศึกษาและสังเกตเกี่ยวกับค่าเงินเฟ้อจากสิ่งรอบตัวง่าย ๆ ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา จากนิตยสารที่เขาเคยซื้ออ่านอยู่เป็นประจำ และเมื่อเขาลองดูค่า CPI ที่รัฐบาลแจ้งว่า ในช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2003 ถึงปี 2013 นั้น ค่านิตยสารเพิ่มขึ้นราว ๆ 30%
แต่เขาก็ไม่ปักเชื่อ แล้วลองนำเอาราคาที่เขียนอยู่ตรงหน้าปกนิตยสารของปี 2003 กับปี 2013 มาเปรียบเทียบกันก็พบว่า มันเพิ่มขึ้นมากกว่า 130% ไม่ใช่ 30% อย่างแน่นอน
ซึ่งค่า CPI มันเป็นการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อให้ตัวเลขมันออกมาดูดีกว่าความเป็นจริง
และค่า inflation ที่เราเห็นว่าถ้ามันขึ้นปีละ 2% อันที่จริง ค่าครองชีพ เราไม่ใช่แค่แพงขึ้น 2% เพราะสมมติว่า สินค้าบริการบางอย่างควรลดราคา 3% แต่มันกลับเพิ่มขึ้น 2% นั่นหมายความว่า inflation เพิ่มขึ้นถึง 5% ไม่ใช่ 2% อย่างที่เราเห็นในรายงานค่า CPI
เงินที่แท้จริง
และการที่ทางรัฐบาลพยายามทำให้ค่าเงินเฟ้อสูงขึ้นนั้น มันส่งผลให้ค่า GDP ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น ที่ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้น ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะหดตัวซะด้วยซ้ำ เพราะการที่ค่า inflation พุ่งสูงขึ้น มันจะส่งให้ราคาทรัพย์สินต่าง ๆ มีราคาที่สูงขึ้น ราคาหุ้นสูงขึ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ทำให้ทุกคนที่เป็นเจ้าของ asset เหล่านั้น ดูเหมือนร่ำรวยขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ค่าเงินมันด้อยค่าลงต่างหาก
ซึ่งอันที่จริงแล้วนั้น fiat currency ไม่ใช่ Money หรือเงินที่แท้จริง เพราะเงินที่แท้จริงนั้นจะต้องเป็น commodities เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างเช่น Gold หรือทองคำ หรือบางที Silver หรือแร่เงินก็อาจจะใช้เป็น Money ได้มากกว่า
ซึ่งในอดีต currency ที่ถูกต้องนั้นจะต้องมี real money backup สำรองเอาไว้อยู่ อย่างเช่นในอดีตที่ สกุลเงินต่าง ๆ จะต้องผูกติดกับทองคำ
The Fiat Standard
แต่หลังจากในปี 1971 ที่สหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกการผูกติดค่าเงิน U.S Dollar กับทองคำไปแล้วนั้น โลกก็เข้าสู่ยุคของ fiat currency standard อย่างเต็มรูปแบบ ที่เสกกระดาษที่นำมาใช้แทนเงินที่แท้จริง
ซึ่งแม้ว่าผู้คนทั่วโลกต่างยังยกให้สกุลเงิน U.S. Dollar นั้น ดูเหมือนจะเป็น currency ที่ดูดีที่สุดในเหล่าบรรดาเงินทุกสกุลที่มีอยู่บนโลกใบนี้ สาเหตุนั่นก็เป็นเพราะสกุลเงิน U.S. Dollar มันยังคงถูกใช้ในฐานะที่มันเป็น Reserve Currency หรือสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่
แต่สิ่งที่สหรัฐอเมริกาทำในทุก ๆ ปี นั้น ก็คือมีการขาดดุลการค้าในทุก ๆ ปี มากว่าปีละ $2 ล้านล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งทำให้จากในอดีตที่ในช่วงที่ได้ยกเลิกมาตรฐานทองคำในปี 1971 ถึง 1980 นั้น สหรัฐอเมริกา ถือได้ว่าเป็นประเทศเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เศรษฐกิจรุ่งเรืองสุด ๆ เพราะยังคงมีวินัยทางเงินที่ดีอยู่
แต่พอใช้ระบบ fiat currency ได้ราว ๆ 50 ปี จนถึงยุคปัจจุบันนั้น สหรัฐอเมริกากลับกลายเป็นลูกหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของสหรัฐอเมริกานั้นได้พังทลายลงมากเพียงใด
เพราะในอดีตยังคงที่ใช้มาตรฐานทองคำอยู่นั้น U.S. Dollar ยังคงเป็น Reserve currency หรือเป็นสกุลเงินสำรองคงคลังระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากถ้าหากคุณมี สกุลเงิน U.S. Dollar จำนวน $35 ดอลล่าร์ฯ แล้วล่ะก็ คุณก็สามารถนำเอาไปแลกทองคำจำนวน 1 onz กับทางรัฐบาลได้เลย
แถมในช่วง The Gold Stndard นั้น อุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ทางสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตเองในประเทศได้ทั้งหมด ซึ่งมันทำให้ผู้คนยังอยากที่จะถือเงินสกุล U.S. Dollar เป็นจำนวนมาก เพราะใคร ๆ ต่างก็อยากได้สินค้าที่ผลิตขึ้นในสหรัฐอเมริกา มันทำให้เงิน U.S. Dollar นั้น มันมีดีพอ ๆ กับทองคำเลยทีเดียว
แต่ ณ ปัจจุบัน การผลิตเกือบทั้งหมดนั้น อยู่ต่างประเทศเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี หรือในประเทศจีน
ทำให้ในปัจจุบันที่ปกติแล้วการค้าทั่วโลก การที่จะ import หรือนำเข้าสินค้าอะไรบางอย่างนั้น ประเทศดังกล่าวก็จำเป็นที่จะต้องมีการ export หรือส่งออกสินค้าภายในประเทศออกไปเพื่อให้เกิดดุลทางการค้า
แต่ Peter Schiff บอกว่า แต่สำหรับสหรัฐอเมริกานั้น มีแต่ import สินค้าเข้าประเทศ แต่ไม่มีสินค้าส่งออกหรือ export เลย แล้วถามว่า หาเงินที่ไหนเอาไปจ่าย ง่าย ๆ ก็คือ พิมพ์เงินออกมาจ่ายนั่นเอง
แต่ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกนั้น จะต้องผลิตสิ่งของจริง ๆ ขึ้นมา ที่พวกเขาต้องใช้ทั้งทรัพยากรที่ดิน แรงงานและทุนในการผลิตสินค้าต่าง ๆ ขึ้นมา
ทำให้แนวโน้มในปัจจุบัน มีหลายประเทศที่เริ่มตีตัวออกห่างจากสกุลเงิน U.S. Dollar ที่ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องของสถานะทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของความเสี่ยงทางการเมืองของสหรัฐฯ อีกด้วย
U.S. Dollar สูญเสียความเชื่อมั่น
ยกตัวอย่างเช่น จากกรณีฝ่ายบริหารในยุคของประธาธิบดี Baiden ที่ได้ทำกับประเทศรัสเซีย อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย
มันทำให้ประเทศอื่น ๆ ที่ถือครองสกุลเงิน U.S. Dollar อยู่นั้น เริ่มเป็นกังวลแล้วว่าการถือเงิน U.S. Dollar นั้น เปรียบเสมือนเอาเชือกผูกบ่วงใส่คอตัวเองเอาไว้ แล้วก็ให้อำนาจสหรัฐอเมริกาในการถือปลายเชือกอีกด้านหนึ่งที่พร้อมที่จะกระตุกเชือกได้ทุกเมื่อ หากไปมีเรื่องกับสหรัฐฯ เข้า
ซึ่งอันที่จริงสหรัฐฯ ก็ไม่ควรไปสร้างให้ประเทศจีนเป็นศัตรู เพราะประเทศจีนนั้น ได้จัดหาสินค้าต่าง ๆ ส่งเข้าสหรัฐฯ ให้มากกว่าใคร ๆ บนโลกใบนี้ ทำให้ประเทศจีนนั้น เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
ซึ่งถ้าหากเมื่อไหร่ที่ประเทศจีนเลิกใช้เงิน U.S. Dollar แล้วล่ะก็ สหรัฐอเมริกาจบเห่แน่ ๆ
แต่คำถามก็คือ แล้วถ้าไม่ถือสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ แล้วจะให้ไปถือเงินหยวนของประเทศจีนนั้น ก็ไม่มั่นใจอีกนั่นแหละ
ดังนั้นทางเลือกที่ Peter Schiff นำเสนอก็คือ ก็ในเมื่อ fiat currency แทบทุกสกุล ไม่ว่าจะเป็น ยูโร เยน หยวน นั่นต่างก็มีปัญหา
ถือทองคำสู้เงินเฟ้อ
ดังนั้น เขาแนะนำว่า ให้ไปถือทองคำดีกว่า เพราะทองคำนั้น คือเงินที่แท้จริง ที่ผู้คนต่างหลงลืมมันไปว่า ทองคำนั้นมันถูกใช้งานให้ทำหน้าที่เป็นเงินมานับพันปี เหตุผลแค่นั้นก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า ทองคำ มันใช้ได้ผล ง่าย ๆ แค่นั้นเอง
ในขณะที่เงินกระดาษพึ่งเข้ามาไม่กี่ร้อยปี แต่ก็อย่างที่เห็น มันมีช่วงขาขึ้นแล้วก็ดับสูญไป แต่ในขณะที่ทองคำยังคงอยู่
ซึ่งที่ผ่านมาก็จะเริ่มสังเกตเห็นได้ว่า ธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น กำลังทยอยตุนทองคำเพิ่มกันมากขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่าที่เคยเป็นโดยเฉพาะในช่วง 10 ปีให้หลังล่าสุดนี้
โดยราคาในปัจจุบัน อยู่ที่ราว ๆ $2,000 ดอลล่าร์ฯ ต่อออนซ์ ซึ่งถือได้ว่าทองคำได้มีราคาสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้
แต่อย่างที่รู้ ๆ กันนั้น ราคาทองคำมันไม่ได้พุ่งสูงขึ้น แต่เป็นค่าเงินดอลล่าร์ที่มีมูลค่าในตัวมันเองลดลงต่างหาก
ซึ่งสาเหตุที่ประเทศต่าง ๆ เลือกถือทองคำนั้นก็เป็นเพราะ มันเป็น Asset ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลสหรัฐฯ หรือรัฐบาลใด ๆ ในโลก
และนอกจากนั้น ทองคำมันยังเป็น Asset ที่ไม่มีใครสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เอง เสกมันขึ้นมาได้เอง ถ้าอยากได้มาครอบครองก็ต้องขุดเหมืองเอา
ซึ่งมันก็จะทำให้โลกของเรากลับไปสู่ยุค The Gold Standard ที่มีการใช้ทองคำหนุนหลังเอาไว้อยู่ นั่นก็คือ ยุคก่อนปี 1971 ที่เป็นยุคก่อนที่ทางสหรัฐอเมริกาจะฉีกสัญญาและประกาศออกมาว่า จะทำการยกเลิกผูกติดค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ กับทองคำ
ซึ่งเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก่อนปี 1971 นั้น ใครที่ถือมันก็เท่ากับถือทองคำอยู่ ซึ่งมันแตกต่างกันกับในสมัยนี้ ที่เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มันเป็นแค่เพียงกระดาษใบหนึ่งที่ถูกเสกขึ้นมาจากอากาศที่ไม่มีค่าในตัวมันเอง
มูลค่าของทองคำ
แต่สิ่งที่ผู้คนหลายต่อหลายคนก็ยังได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับทองคำว่า มูลค่าที่แท้จริงของมันนั้น ก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย มันมีค่าเพราะผู้คนคิดกันไปเอาเอง มันมีค่าเพียงเพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจ เป็นแค่เพียงหลักจิตวิทยาเท่านั้น
ส่วนคนที่แย้งว่าทองคำนั้นมีประโยชน์ที่สามารถนำเอาไปใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญหลากหลายอุตสาหกรรม แต่แท้ที่จริงแล้วทองคำได้ถูกนำเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
ทำให้กลุ่มคนที่ออกมาโต้แย้งว่า แท้ที่จริงแล้ว ทองคำก็ไม่ได้มีมูลค่าอะไรเลยเช่นกัน ดังนั้น ก็ไม่ควรใช้ทองคำ เป็นแหล่งเก็บมูลค่าความมั่งคั่งหรือ store of value น่ะสิ?
โดยทาง Peter Schiff ก็ให้เหตุผลว่า คนที่เชียร์ fiat currency ก็จะพยายามด้อยค่า ทองคำ ส่วนคนที่เชียร์ cryptocurrency และ bitcoin นั้น ก็จะด้อยค่าทองคำ เพื่อให้สิ่งที่ตนเองเชียร์นั้น ดูมีมูลค่ามากกว่านั่นเอง
โดยสิ่งที่ทำให้ทองคำมีมูลค่าที่แท้จริงนั้น ทาง Peter Schiff บอกว่า ทองคำคือธาตุตามตารางธาตุที่มีค่ามากที่สุด และมันมีคุณสมบัติในการใช้เป็นเงินมากกว่าสิ่งอื่นใด ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับ ไม่ใช่ยอมรับเพราะรัฐบาลสั่งให้ยอมรับ
โดยประชาชนเป็นคนที่ตัดสินใจเองว่า สิ่งใดที่พวกเขายินดีที่จะใช้มันเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าซึ่งกันและกัน ซึ่งทองคำนั้น มันก็คือสิ่งที่ผู้คนยอมรับให้มันทำหน้าที่เป็นเงิน
และเมื่อทองคำได้ทำหน้าที่เป็นเงินแล้ว เวลาที่กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองทำการเก็บภาษีจากประชาชน กษัตริย์ก็จะทำการเก็บภาษีเป็นทองคำ เพื่อนำทองคำดังกล่าว ไปจ่ายค่าจ้างให้กับเหล่าบรรดาทหารเพื่อพิทักษ์บ้านเมือง ที่พวกเขาก็ต้องการมีสิทธิ์ในการถือครองทองคำเช่นกัน
โดยทองคำมันทำหน้าที่เป็นเงินในตลาดเสรี ที่ปล่อยให้ตลาดกำหนดมูลค่าด้วยตัวมันเอง และนอกจากนั้น คุณสมบัติของทองคำ ไม่ว่าจะเป็นก้อนใด เหรียญใด หากนำไปหลอมแล้วหล่อขึ้นมาใหม่ มันก็จะยังคงมูลค่าเอาไว้ได้เท่าเดิม สามารถใช้แทนกันได้ เวลาทำเป็นเหรียญขึ้นมามันก็สามารถพกพาได้ง่าย แบ่งเป็นหน่วยย่อยได้
และนอกจากนั้น ทองคำมันยังมีคุณสมบัติของ store of value หรือมีความสามารถในการกักเก็บมูลค่าในตัวมันเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากวันนี้เขาเก็บทองคำเอาไว้จำนวน 1 ออนซ์ แล้ววันเวลาล่วงเลยผ่านไปร้อยปีพันปี มันก็จะยังคงเหมือนเดิม โดยไม่สูญเสียคุณสมบัติใด ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเอาแหวนและนาฬิกาทองคำของเขา เอาไปหลอมแล้วหล่อขึ้นใหม่ มันจะยังคงเป็นทองคำเฉกเช่นเดิม สามารถหลอมแล้วหล่อขึ้นใหม่ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งคุณสมบัตินี้ โลหะอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้เฉกเช่นเดียวกับที่ทองคำทำได้
หรือหากคุณบังเอิญไปขุดหลุมฝังศพของใครสักคนที่ทำฟันปลอมจากทองคำเอาไว้ขึ้นมา คุณก็สามารถเอามันไปหลอมแล้วหล่อขึ้นใหม่ นำมาใช้ได้ดังเดิม
หรืออย่างเรือที่เคยอัปปางลงเมื่อปี 1500 แล้วสามารถกู้ซากเรือขึ้นมาได้ในปัจจุบัน คุณจะพบว่ามีอยู่สิ่งเดียวที่มันยังคงมีลักษณะอยู่เหมือนเดิมก่อนที่มันจะจมลงสู่ใต้ผิวน้ำก็คือ ทรัพย์สมบัติที่หล่อขึ้นด้วยทองคำ ส่วนนอกนั้นได้เสื่อมสลายเป็นซากไปตามกาลเวลาหมดแล้ว
โดย Peter Schiff บอกว่า ทองคำ นั้นจะมีคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่ด้วยกันหลัก ๆ อยู่ 3 ประการก็คือ
อย่างที่หนึ่ง : Unit of account – โดยทองคำนั้น สามารถใช้เป็นหน่วยวัดทางบัญชีในการกำหนดราคาสินค้าต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ขนมปัง 1 ก้อน แทนที่จะกำหนดมูลค่าว่ามันมีมูลค่าเท่ากับแอปเปิ้ลสองลูก ก็เปลี่ยนไปใช้ว่า ขนมปัง 1 ก้อน มีมูลค่าเท่ากับ ทองคำ 1 กรัม ก็จะทำให้สามารถวัดค่าได้เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม เป็นต้น
อย่างที่สอง : Medium of exchange – มันสามารถใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันได้โดยที่ผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกต่างยอมรับในตัวมัน ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่จะมีอะไรสักอย่างที่ผู้คนยอมรับในการใช้สิ่งดังกล่าวเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน
และอย่างที่สาม : Store of value – เป็นแหล่งสะสมมูลค่าได้เป็นอย่างดี ซึ่งนี่คือคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่ทองคำนั้นสามารถทำได้ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณปล่อยกู้กับเขา และเขาต้องจ่ายคืนให้กับคุณ คุณก็จะมั่นใจได้ว่า เงินที่ได้รับกลับคืนมานั้น จะยังคงมูลค่าเอาไว้อยู่ โดยไม่เสียมูลค่าในตัวมันเองไป นั่นคือสิ่งที่ทองคำ สามารถทำได้ดีกว่าโลหะประเภทอื่น ๆ ในโลกนี้
ซึ่งบางคนอาจจะโต้แย้งว่า การเก็บทองคำเอาไว้ในตู้เซฟเฉย ๆ นั้น มันไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย เพราะตัวมันเองก็ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะนำมันเอาไปใช้งานจริง
แต่ทาง Peter Schiff เขาบอกว่า การที่เขาเก็บทองคำเอาในตู้เซฟนั้น เขาเก็บมูลค่าของมันเอาไว้เพื่ออนาคต เพราะอุปกรณ์หลายต่อหลายอย่างยังคงเลือกใช้ทองคำเป็นส่วนผสมอยู่ และแนวโน้มตลอด 100 ปีที่ผ่านมานั้น ก็มีแนวโน้มในการใช้ทองคำเป็นส่วนผสมที่มากขึ้นตลอดมา
และตัวของเขาก็เชื่อว่า ในอีกร้อยปีข้างหน้า ก็จะมีการใช้ทองคำเพิ่มมากขึ้นกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน และนั่นคือสาเหตุที่เขาเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ในทองคำ
Gold VS Bitcoin
แล้วตัวของ Peter Schiff นั้น เขามอง bitcoin อย่างไรบ้าง ที่มันพยายามจะกลายมาเป็น ทองคำ 2.0 ที่มีคุณสมบัติที่ดูเหมือนว่า น่าจะทำได้ดีกว่าทองคำซะด้วยซ้ำ
โดยทาง Peter Schiff ก็ได้บอกขึ้นมาทันทีเลยว่า bitcoin นั้น ไม่สามารถใช้เป็น store of value ได้ เพราะคุณไม่สามารถเก็บมูลค่าในสิ่งที่มันไม่มีมูลค่าอยู่จริงตั้งแต่แรกได้
ไม่เหมือนกับทองคำ ที่ตัวมันคือโลหะชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นใช้ในการเป็นส่วนประกอบในการเป็นตัวนำไฟฟ้า, ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ, ใช้เป็นส่วนประกอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คุณได้สั่งสมมูลค่าเอาไว้ในทองคำ
ในขณะที่ bitcoin นั้น มีแต่เรื่องของราคาเท่านั้น ไม่ได้มูลค่าอะไร
ซึ่งโอเคแหละว่า เขายอมรับว่า หากคนไหนที่เก็บ bitcoin มาตั้งแต่ตอนต้น ๆ ที่มันแทบไม่มีค่าอะไรเลย จนกระทั่งราคามันเคยพุ่งสูงสุดไปอยู่ที่เกือบ $70,000 ดอลล่าร์ฯ ต่อ 1 เหรียญ bitcoin และตอนนี้ราคามันก็ลงมาอยู่ที่ราว ๆ $27,000 ดอลล่าร์ ต่อ 1 เหรียญ bitcoin
ซึ่งหากใครก็ตามที่ได้ทำการขายในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมาก็จะได้กำไรไปอย่างอื้อซ่า และในขณะเดียวกัน คนที่ไปซื้อ bitcoin ตอนราคาสูง ๆ แล้วมาขายทิ้งในตอนที่ราคามันตกลง ก็มีคนขาดทุนย่อยยับเยอะแยะด้วยเช่นเดียวกัน
และ Peter Schiff เขาก็ยอมรับว่า bitcoin มันทำหน้าที่ได้ดีทีเดียวที่มันพยายามจะเป็นทองคำ 2.0 ซึ่งมันทำหน้าที่ได้ดีกว่า สินค้าปศุสัตว์ เกลือ หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าซึ่งกันและกัน
แต่ bitcoin มันไม่ใช่ commodities ไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างอะไรกับ fiat currency ที่ราคาขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น ซึ่งกรณีของ fiat ก็มาจากการที่ทางรัฐบาลได้รับรองว่าให้มันสามารถใช้เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ สามารถใช้มันชำระภาษีได้ ซึ่งอย่างคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็ต้องการเงิน U.S. Dollar เพื่อเอาไปใช้จ่าย เอาไปเช่าบ้าน หรืออย่างคนในยุโรป ก็ต้องการยูโร เอาไปเช่าบ้านในแถบนั้น และใช้เงินสกุล fiat ดังกล่าวในจ่ายภาษี เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาอาจจะต้องไปลงเอยในคุกได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นที่จะต้องมีเงิน fiat currency ที่ทางรัฐบาลต้องการติดตัวเอาไว้อยู่
และเช่นกัน bitcoin นั้น มีมูลค่าขึ้นมาด้วยความเชื่อที่ว่า คนในอนาคตจะต้องการมัน และคนที่ต้องการมันในอนาคตก็จะต้องจ่ายในราคาที่แพงกว่าต้นทุนที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่า bitcoin นั้น มันไม่มีรัฐบาลมาคอยควบคุม และไม่มีรัฐบาลใดยอมรับให้ bitcoin สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หรือรับชำระเพื่อจ่ายภาษีให้แก่ประเทศชาติ ยกเว้นก็แต่ รัฐบาลของประเทศเอลซัลวาดอร์ อยู่ประเทศเดียวในตอนนี้ ที่ยอมรับ bitcoin
ดังนั้น bitcoin มันไม่ได้มี demand หรือความต้องการที่แท้จริง นอกจากเพื่อการเก็งกำไรเท่านั้น ที่ผู้คนต่างคิดว่า ฉันจะรวยแน่ ๆ หากซื้อ bitcoin ในตอนนี้ แล้วไปขายตอนราคาสูง ๆ ในอนาคต มันมีแค่นั้นสำหรับ bitcoin
ส่วนถ้าจะใช้ bitcoin เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่านั้น ราคาของมันผันผวนเอามาก ๆ แล้วก็ใช้งานได้ยาก เกินกว่าที่มันจะเป็น Medium of excahnge และราคาผันผวนเกินกว่าที่มันจะเป็น store of value ที่ใช้ในการกักเก็บมูลค่าในตัวมัน
ดังนั้น bitcoin มันเป็นได้เพียงแค่ Gold 2.0 ปลอม ๆ เท่านั้น แต่ถ้าหาก เหรียญ crypto หรือ bitcoin เหล่านั้น มีทองคำ backup เอาไว้จริง ๆ นั่นแหละถึงจะทำให้ bitcoin นั้นมีค่าดั่งทองคำ
เพราะอย่างที่ชาว bitcoin ชอบโต้แย้งกันว่า ทองคำนั่นมันไม่สามารถส่งข้ามประเทศได้ หรือทองคำนั้น ไม่สามารถแตกหน่วยได้เล็กพอที่จะซื้อกาแฟสักแก้วหนึ่งได้
Crypto Gold
แต่หากเขาสามารถนำทองคำไปเก็บรักษากับ third party หรือบุคคลที่สาม ซึ่งอาจจะเป็นรัฐบาลใด หรือบริษัทเอกชนใด หรือใครก็ได้ แล้วจากนั้น คุณก็สามารถแตกเหรียญ token ออกมาตามจำนวนทองคำที่ได้ backup เอาไว้ นั่นแหละ มันจะทำให้สกุลเงินดิจิตอลมีมูลค่าที่แท้จริงขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาต้องการที่จะส่งมูลค่าเท่ากับทองคำสักแท่งหนึ่งไปยังอีกฟากโลก เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องส่งทองแท่งจริง ๆ ไป เขาก็สามารถส่ง token ไปให้กับคน ๆ นั้นแทนได้ในทันทีทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งทองคำแท่งดังกล่าว ความเป็นเจ้าของก็จะตกไปที่คนปลายทาง ที่ได้รับ token ทันที
หรืออย่างการใช้ token ที่มาจากการใช้ทองคำจริง ๆ backup เอาไว้ ไปใช้ซื้อกาแฟสักแก้วนั้น ก็จะสามารถทำได้ง่าย เพราะมันสามารถแตกหน่วยย่อยได้ มันเป็นการแลก commodities ที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างกัน ผมได้กาแฟ คุณได้ token ที่มีทองคำจริง ๆ backup เอาไว้ ซึ่งคุณสามารถระบุมูลค่า ณ ขณะนั้นได้ดีกว่า เพราะราคาของทองคำนั้นมีเสถียรภาพ
ซึ่งการใช้ระบบแบบนี้มีอยู่สิ่งเดียวที่คุณจะต้องเชื่อใจนั่นก็คือ Third Party ที่เก็บทองคำของคุณเอาไว้ ซึ่งมันก็เหมือนกับระบบทุนนิยมแบบปกติทั่วไป ที่เวลาคุณซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันอัคคีภัย ที่ขายกรมธรรม์ให้กับคุณ ล้วนแล้วแต่เป็น third party กันทั้งสิ้น
และด้วยระบบแบบทุนนิยม ต่างคนต่างก็แข่งขันกันเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนให้ดีที่สุด ดังนั้นการที่จะมี third party ในการจัดเก็บทองคำของคุณเอาไว้เป็นอย่างดีและมีความปลอดภัยสูงนั้น ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งตัวของคุณเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนไปกับเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยในการรักษาทองคำด้วยตนเองอีกด้วย
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เหล่าบรรดาคนที่อยากจะรวยเร็ว เริ่มเบื่อยหน่ายใน cryptocurrency เริ่มเบื่อหน่ายใน bitcoin ฟองสบู่แตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Demand เหล่านั้น ก็จะเริ่มมา พวกเขาจะเริ่มมองหาสิ่งที่มั่นคงกว่า อย่างทองคำ ที่จุดประสงค์ของการออมทองนั้น ไม่ใช่เพื่อรวยเร็ว แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองจนลง และป้องกันจากค่าเงินเฟ้อที่สกุลเงิน fiat ได้เสื่อมลง
CBDC
ส่วนเงินสกุลดิจิตอล หรือ CBDC: Central Bank Digital Currency ที่ทางรัฐบาลกลางกำลังเร่งศึกษาและทำอยู่นั้น แย่เสียยิ่งกว่าเงินกระดาษซะอีก เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่พวกเขาทำสำเร็จ อำนาจเบ็ดเสร็จจะตกอยู่ที่รัฐบาลกลางแต่เพียงผู้เดียว ที่พวกเขาสามารถสั่งอายัดบัญชีใครก็ได้ ส่องดูบัญชีใครก็ได้ มันจะไม่มีความเป็นส่วนตัว ไม่มีเสรีภาพสำหรับคนใช้งานอีกต่อไป
ซึ่งสาเหตุที่ระบบ crypto ที่มีทองคำจริง ๆ backup เอาไว้อยู่ยังไม่เกิดขึ้นได้ง่ายนั้น ก็เป็นเพราะกฎระเบียบและข้อบังคับที่เข้มข้นจากทางรัฐบาล ที่พวกเขาจงใจให้จำเป็นที่จะต้องมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงเพื่อขัดขวางการทำให้สำเร็จไม่ได้โดยง่าย เพราะเดี๋ยวมันจะเป็นคู่แข่งกับสกุลเงิน fiat ที่พวกเขากุมอำนาจเอาไว้อยู่
แต่ Peter Schiff บอกว่า สิ่งที่จะตามมาแน่ ๆ ก็คือ การพุ่งขึ้นของค่าเงินเฟ้อ ที่ทุกคนในตลาด ต่างก็ต้องการหาทางออกอื่น ที่ไม่ใช่ในสกุลเงิน fiat ซึ่งแม้ว่า มันอาจจะไม่เกิดขึ้นทีเดียวทั้งประเทศ แต่อาจจะมีบางรัฐ บางแห่ง ที่ตั้งตนขึ้นมา เพื่อสร้างสกุลเงิน crypto ที่มีทองคำจริง ๆ หนุนหลังอยู่ขึ้นมาก็ได้
Government Monopoly
ซึ่งสิ่งที่ทางรัฐบาลมักจะทำตรงกันข้ามกับตลาดเสรีก็คือ ยกตัวอย่างจากในอุตสาหกรรมการศึกษา ที่นับวันจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับคุณภาพของการศึกษาที่แย่ลง ๆ
ในขณะที่ตลาดเสรีนั้น พยายามแข่งขันกันเพื่อให้มีคุณภาพที่สูงมากขึ้น ในราคาที่ย่อมเยาว์
หรือตัวอย่างจากในอุตสาหกรรมการขนส่งอย่างไปรษณีย์ที่ทางรัฐบาลผูกขาดเอาไว้ ที่มีปัญหาอย่างมากมาย จนกระทั่งมีผู้เล่นอย่าง FedX เข้ามาเพื่อยกระดับคุณภาพที่ดีกว่ามาให้
หรืออย่างในอุตสาหกรรมรถ taxi ที่ทางรัฐบาลผูกขาดเอาไว้ จนกระทั่งมี Uber เป็นผู้เล่นใหม่เข้ามาที่ให้บริการที่ดีขึ้น
และเช่นกัน ในอุตสาหกรรมการเงิน ถ้าเงินที่รัฐบาลผูกขาดมันแย่ เดี๋ยวก็มีคนในตลาดเสนอทางเลือกที่ดีกว่าออกมา
ทองคำไม่ใช่เพื่อการลงทุน
โดยทาง Peter Schiff บอกว่า สาเหตุที่เขาเลือกที่จะเก็บทองคำเอาไว้นั้น ไม่ใช่เพื่อการลงทุน แต่เป็นการเก็บออมเงินที่ไม่เสื่อมมูลค่า และเขาต้องการรักษาให้ตนเองนั้นมีสภาพคล่อง เพราะถ้าคุณไม่ต้องการลงทุน แต่แค่อยากเก็บออมเอาไว้ เพราะข้อเสียของการลงทุนอย่างเช่นใน อสังหาริมทรัพย์, หุ้น, พันธบัตร ฯลฯ เหล่านี้ มักมีความคล่องตัวที่ต่ำ เปลี่ยนเป็นเงินได้ยาก ซึ่งเราจะเห็นได้จาก หากจะขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อต้องการเปลี่ยนเป็นเงินนั้น อาจจะใช้เวลาเป็นปีที่กว่าจะขายได้ แต่ในขณะที่หากคุณถือทองคำเอาไว้อยู่ คุณก็สามารถนำเอาไปขายที่ร้านทองใกล้บ้านได้ในทันที
ซึ่งแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน คุณก็จำเป็นที่จะต้องพกเงินกระดาษติดตัวเอาไว้อยู่บางส่วน เพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่ารถ ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะพวกเขาไม่ได้รับจ่ายเป็นทองคำ
แต่ถ้าคุณมีแผนการที่จะลงทุนในอนาคต เช่น รอให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกลง รอให้ราคาหุ้นตกลง อาจจะใช้เวลารอ 2-3 ปี หรือมากกว่านั้น เขาก็แนะนำให้เก็บออมเงินเอาไว้ในรูปของทองคำจะดีกว่าการเก็บเงินเอาไว้ในรูปของเงิน fiat หรือเงินกระดาษ
เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไปหลายปี ถ้าคุณเลือกที่จะถือเงิน fiat เอาไว้ คุณจะถูกค่าเงินเฟ้อเล่นงาน จนเงินนั้นลดมูลค่าลง ในขณะที่หากเก็บเงินในรูปของทองคำนั้น มันจะสามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดีกว่า
แต่อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่า การเก็บเงินเกือบทั้งหมดเอาไว้ในรูปของทองคำนั้น มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตัวของทองคำนั้น มันเป็นเพียงแค่ธาตุโลหะ มันไม่ใช่การลงทุน ตัวมันไม่สามารถผลิตมูลค่าอะไรออกมาได้เลย นอกจากอยู่เฉย ๆ อย่างนั้น
Productive Asset
ดังนั้น เมื่อคุณพร้อมลงทุน คุณก็สามารถนำเอาทองคำบางส่วนไปเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อเข้าลงทุนใน Productive Asset หรือทรัพย์สินที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าออกมาได้ด้วยตัวมันเอง
แต่คุณก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ในบริษัทที่คุณจะทำการลงทุนเป็นอย่างดี และตัวของเขาก็แนะนำว่า อย่าลงทุนจนเกินตัว อย่าซื้อหุ้นที่ราคาแพงจนเกินไป ให้ลองคำนวณดูว่าราคาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวอยู่ที่เท่าไหร่ โดยเฉพาะบริษัทที่ถูกประเมินราคาต่ำกว่ามูลค่าในตัวมัน ที่มันมีศักยภาพที่จะเติบโตในอนาคต แล้วให้ลงทุนในบริษัทเหล่านั้นในระยะยาว
ซึ่งถ้าบริษัทดังกล่าวมีการจ่ายปันผลด้วยก็จะยิ่งดี เพราะคุณสามารถเก็บเงินต้นทั้งหมดเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน
ทำการบ้านก่อนทำการลงทุน
ส่วนการที่คุณจะรู้ได้ว่า บริษัทใดหรือหุ้นตัวใดที่ถูกประเมินเอาไว้ต่ำกว่าศักยภาพได้นั้น คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะอ่านงบการเงินของบริษัทดังกล่าว เพราะการที่จะซื้อหุ้นนั้น มันก็เหมือนกับคุณกำลังซื้อบริษัทดังกล่าว โดยให้คุณดูว่าบริษัทดังกล่าวนั้นมีรายได้เท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ หนี้สินเท่าไหร่ มี P/E Ratio เป็นอย่างไร เป็นต้น
แต่อย่าเข้าใจผิดว่า หุ้นราคาถูก คือหุ้นดี เพราะการที่หุ้นดังกล่าวมีราคาต่ำมาก ๆ นั่นอาจหมายถึงว่า กำลังมีคนเทขายหุ้นนั้นทิ้ง อาจจะด้วยเนื่องจากบริษัทดังกล่าวอาจจะกำลังเจ๊งก็เป็นได้
ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวล หากคุณคิดที่จะลงทุนในสิ่งใดก็ตาม คุณก็จำเป็นที่จะต้องทำการบ้านและศึกษาในสิ่งที่คุณจะลงทุนมาเป็นอย่างดี แล้วทำการตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง
ซึ่งบางคนอาจจะแนะนำให้คุณลงทุนในพวกกองทุนรวม ที่มีหุ้นหลาย ๆ ตัวรวมกันอยู่ ซึ่งทาง Peter Schiff บอกว่า ราคาหุ้นในกองทุนรวมนั้น อาจมีมูลค่าสูงเกินจริง ในขณะที่หากเลือกลงทุนเป็นรายบริษัท ที่ได้ทำการบ้านมาอย่างดีนั้น จะทำให้ราคาหุ้นที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมา
ลงทุนในสิ่งที่ให้ปันผล
และสาเหตุที่ทาง Peter Schiff แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่จ่ายผลตอบแทนนั้นจะดีกว่า เพราะลองคิดดูว่า คุณซื้อหุ้นสะสมไว้จนถึงวัยเเกษียณ คุณไม่มีงานทำ คุณไม่มีรายได้ แต่รายจ่ายยังคงอยู่ แถมหุ้นยังไม่มีปันผล สิ่งเดียวที่คุณจะสามารถทำได้ก็คือ การขายหุ้นเปลี่ยนเป็นเงินสดนำมาใช้จ่าย นั่นมันจะส่งผลให้ คุณอาจจะต้องขายหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
แต่ในขณะที่ทาง Peter Schiff เขาบอกว่า เขาไม่สนใจว่า ราคาหุ้นดังกล่าวมันจะขึ้นหรือจะลง ตราบใดที่มันยังคงจ่ายปันผลให้อย่างสม่ำเสมออยู่ เพราะในตลาดหุ้น คุณไม่สามารถคาดเดาราคาอะไรได้เลย แต่สิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้นั้นก็คือ บริษัทที่คุณทำการลงทุนอยู่นั้น พวกเขามีกำไรเท่าไหร่ มีอัตราการเติบโตเป็นอย่างไร สัดส่วนในจ่ายปันผลเป็นเท่าไหร่ ซึ่งต่อให้ราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าวตกลง คุณก็ไม่เดือดร้อน เพราะคุณยังคงได้ปันผลอยู่อย่างสม่ำเสมอ
โดยส่วนตัวของ Peter Schiff นั้น เขาชอบลงทุนในบริษัทที่สามารถผลิตสินค้าและบริการ ที่ผู้คนต้องการออกมาได้ ที่ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ผู้คนก็ยังจับจ่ายใช้สอยสิ่งนั้นอยู่ดี เป็นสิ่งที่ผู้คนต้องกินต้องใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน
โดยเขาจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัท ที่ผู้คนมักจะตัดค่าใช้จ่ายในสิ่งนั้นทันทีที่เศรษฐกิจไม่ดี
คำแนะนำในการเริ่มต้นลงทุน
คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน ที่มีเงินลงทุนราว ๆ $100 – $5,000 ต่อเดือน (ประมาณ 3,000 – 150,000 บาท)
โดยทาง Peter Schiff ก็แนะนำว่า ยิ่งคุณเริ่มต้นลงทุนได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะคุณจะได้รับประโยชน์จาก compounding effect หรือพลังทวีจากดอกทบต้น ที่จะสามารถทำให้เงินลงทุนของคุณงอกเงยได้อย่างทวีคูณเมื่อวันเวลาผ่านไป
ซึ่งถ้าคุณมีเงินลงทุนประมาณ $500 – $1,000 ดอลล่าร์ เขาก็แนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวม ที่มีผู้จัดการมืออาชีพ คอยจัดการบริหารกองทุนนั้นอยู่ เพราะในช่วงเริ่มต้นการลงทุนนั้น คุณจะยังไม่ค่อยรู้วิธีการประเมินแบบรายบริษัท เพราะคุณยังไม่มีความรู้มากพอ ยังไม่มีประสบการณ์มากพอ และยังไม่มีเวลาในการจัดการมากพอ ก็ให้ใช้บริการกองทุนรวมมืออาชีพก่อน
ส่วนเวลาที่เศรษฐกิจโลกจะล่มสลายเมื่อไหร่นั้น มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครทราบได้ แต่ทาง Peter Schiff เขาก็ได้ใช้ประสบการณ์ในการประเมินจากการเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 มาปรับใช้กับในปัจจุบัน ซึ่งเขาก็เริ่มเห็นสัญญาณและแนวโน้มต่าง ๆ ที่กำลังจะนำพาให้โลกเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจในไม่ช้า
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ก็คือ การเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ครั้งต่อไปที่กำลังจะมาถึง
Resources
- https://youtu.be/Bbi-_nn4zaw
- https://youtu.be/YHJX3tcSbZc
- https://www.msn.com/th-th/news/national/ไทยตุนทองเพิ่ม-60-ในรอบ-10-ปี-มากเป็นอันดับ-2-ในเอเชีย-รองจากจีน/ar-AA1aQA2Q