Michael Saylor ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท MicroStrategy บริษัทมหาชนที่มี Bitcoin มากที่สุด ณ ขณะนี้ ที่มี Bitcoin อยู่ในครอบครองมากกว่า 12X,XXX BTC โดย ในปี 2022 นี้ เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 2 พันล้านดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ 66,000 ล้านบาท
ซึ่งหลายต่อหลายคนคงมีคำถามคาใจว่า เพราะเหตุใดและทำไม Michael Saylor เลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในโลก Crypto นั้นมีเหรียญอยู่นับพันนับหมื่นเหรียญ แถมหลายเหรียญยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า Bitcoin เป็นสิบเท่าร้อยเท่าซะด้วยซ้ำ
โดย Michael Saylor ได้ให้เหตุผลว่า Bitcoin มีความ Unique มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร โดยที่มันถูกออกแบบและถูกยกย่องให้เป็น Digital Property คือเป็นสินทรัพย์ดิจิตอลที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกในปัจจุบันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอีกไม่นาน บริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัท Tech Company อย่าง Google, Amazon, Apple, Paypal, Square หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการเงินการลงทุนอย่าง JPMorgan นั้น ในอนาคต พวกเขาจะต้องกำลังดำเนินการไม่สักทางใดทางหนึ่งเพื่อสร้างบริการหรือแอพพลิเคชั่นที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Bitcoin
ในขณะที่ตัวของ Michael Saylor นั้นมองว่า Crypto เหรียญอื่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นบริษัท Tech Company ที่แต่ละเหรียญก็จะมาชูโรงว่าตนเองนั้น มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยแก้ไขปัญหา ดังนั้นเมื่อมองในมุมว่าเหรียญอื่น ๆ คือเหรียญที่มาจากบริษัท Tech Company ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาเราก็จะพบได้ว่า มีบริษัท Tech Company กว่าร้อยละ 99 นั้นต้องปิดตัวลงไป ยกตัวอย่างเช่นหากคุณจะลงทุนในบริษัท Social Network สักเจ้า คุณก็ต้องจะต้องเลือก Facebook เป็นอันดับแรก เพราะเป็นผู้นำในกลุ่ม Social Network ที่มีโอกาสรอดสูงกว่า ดังนั้นคุณคงไม่เสี่ยงที่จะไปลงเงินจำนวนมหาศาลกับบริษัท Social Network อันดับที่สิบหรืออันดับที่ร้อย
นั่นจึงเป็นที่มาว่า เขาไม่คิดที่จะใช้หลักการลงทุนแบบ Diversify คือการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง เพราะการลงทุนในสิ่งที่เป็น Winner หรือผู้ชนะในตลาดนั้นย่อมดีกว่า ไปกระจายลงทุนในเหรียญอื่น ๆ ที่มีการแข่งขันที่สูง
และนอกจากนั้นเขายังต้องการแสดงให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นเห็นว่า นี่คือการลงทุน ไม่ใช่การเก็งกำไร ดังนั้นเขาจะไม่ทำการซื้อเหรียญมีมอย่าง Dogecoin ซึ่งตัวของเขามองว่า นอกจาก Bitcoin แล้ว เหรียญอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ bitcoin เป็นเหรียญที่มีความเสี่ยงสูงมาก จึงทำให้มีศัพท์แบ่งแยกว่า Bitcoin คือ Bitcoin ในขณะที่เหรียญอื่นที่ไม่ใช่ Bitcoin ให้เรียกว่า Altcoin ที่ย่อมาจาก Alternative Coin ที่แปลได้ว่าเหรียญทางเลือก
ดังนั้นหากมองในมุมนักลงทุนแล้ว พวกเขาจะเลือกลงทุนในบริษัทใดมากกว่ากัน ระหว่างบริษัทมหาชนที่เลือกที่จะเก็บ Digital Property อย่าง Bitcoin หรือจะเป็นบริษัทเอกชนที่เปรียบได้กับการลงทุนในเหรียญ Altcoin ต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเป็น Security Token คือเปรียบเสมือนหลักทรัพย์ทางการเงินที่ถูกเปลี่ยนมาให้อยู่ในรูปของ crypto
ดังนั้นเมื่อเขาทำการพิจารณาเหรียญ crypto ทั้งหมดแล้วก็พบว่า มีเพียง Bitcoin เหรียญเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็น Property คือทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ไม่ใช่เป็นหลักทรัพย์ ดังนั้นการเลือกลงทุนในเฉพาะ Bitcoin อย่างเดียวถือเป็นความเสี่ยงน้อยที่สุดในบรรดาเหรียญทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาดคริปโทฯ
โดย Michael Saylor เขามองว่า เทรนด์ในอนาคต จะมีบริษัทนับพันนับหมื่นบริษัท ที่จำเป็นที่จะต้องใช้ Bitcoin เป็นรากฐานในการเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
ซึ่งก็มีคำถามอีกแหละว่า ที่เราเคยเรียนรู้มาว่า การลงทุนควรกระจายความเสี่ยง ไม่ควรใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตระกร้าเพียงใบเดียว
แต่อย่างที่ Michael Saylor อธิบายไปแล้วว่า การลงทุนเจ้าเดียวในผู้ที่ชนะในตลาดได้แล้วนั้น เสี่ยงน้อยกว่าการไปลงทุนในเจ้าที่เป็นรองหลาย ๆ เจ้า
คำถามก็คือ แล้วถ้าหาก Bitcoin มัน Crash มันร่วงอย่างรุนแรงขึ้นมา คุณจะทำอย่างไร?
โดย Michael Saylor ตอบว่า เขาคำนวณมาแล้วว่า สถานะทางการเงินของบริษัท MicroStrategy ณ ตอนนี้ มีอัตราหนี้เทียบกับทรัพย์สินที่ต่ำมาก โดยบริษัทมีหนี้อยู่ราว ๆ $2,200 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทนั้นรวมแล้วอยู่ที่ราว ๆ $6,000 ล้านดอลล่าร์ฯ
ซึ่งถ้าถามว่าบริษัทมีปัญญาจ่ายหนี้ได้ไหม เขาก็ตอบมาทันทีเลยว่า พรุ่งนี้ก็เคลียร์นี้ได้เลยไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยเงินกู้มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราว ๆ 1.5%/year ดังนั้น จากความสามารถในการหาเงินสดเข้าบริษัทในแต่ละปี จ่ายหนี้ได้ไม่มีปัญหา
โดย Michael Saylor บอกว่า ณ เวลานี้ เรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของยุค Bitcoin เท่านั้นเอง โดย ณ ปัจจุบัน Market Cap ของ Bitcoin อยู่ที่เกือบ ๆ $1 Trillion ซึ่ง Bitcoin นั้นมันคือ Digital Property ที่มันสามารถดูแลได้ง่ายกว่า Real Property ให้ลองนึกภาพดูว่า การจัดการกับ Bitcoin มูลค่า $5,000 ล้านดอลล่าร์ฯ นั้น จัดการได้ง่ายกว่า Real Estate มูลค่าเท่ากันที่ $5,000 ล้านดอลล่าร์ฯ เป็นอย่างมาก เช่นเดียวกันรวมไปถึง Gold, Silver ที่ต้องยกระดับการจัดเก็บ ยกระดับการรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น ในขณะที่ Bitcoin การจะเก็บมูลค่า 5,000 หรือ 5,000 ล้าน ก็ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยเดียวกัน
และนอกจากนั้น Bitcoin มันยังเคลื่อนย้ายได้ง่าย เคลื่อนย้ายไปที่ใดบนโลกใบนี้ก็ได้ และความเร็วในการเคลื่อนย้ายก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณลองนึกภาพตามดูว่า หากคุณจะขนทองคำนับพันตันจากอเมริกาไปยังโตเกียวนั้น จะต้องใช้เวลานานมาก แต่เอาเข้าจริง มันน่าจะไม่ผ่านด่านการนำทองคำออกนอกประเทศซะด้วยซ้ำเนื่องจากมีข้อกฎหมายยุ่บยั่บเต็มไปหมด และถ้าสมมติว่าเอาทองคำออกได้ คุณก็จะต้องจ่ายค่าดำเนินการอย่างมหาศาลที่กว่าทองคำจะเดินทางไปยังปลายทาง
ดังนั้นทาง Michael Saylor เขาจึงมองว่า ด้วยความที่ Bitcoin มันเป็น Digital Property มันกำลังดึงเม็ดเงินจากโลก Analog เข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นบ้างแล้วก็คือ คุณจะเริ่มเห็นบางคนนำทองคำส่วนหนึ่งไปขายเพื่อมาซื้อ Bitcoin หรือบางคนขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อไปซื้อ Bitcoin ซึ่งเงินในตลาดสินทรัพย์ทั่วโลกนั้นมีเม็ดเงินอยู่อย่างมหาศาลมาก ไม่ว่าจะเป็น
- Gold $11 Trillion
- Currencies $120 Trillion
- Bonds $130 Trillion
- Real Estate $220 Trillion
ซึ่งหากเพียง Bitcoin สามารถดึงดูดเม็ดเงินจากตลาด Property Asset Classes นี้มาได้เพียงแค่ 5% ก็เคาะตัวเลขดูก็แล้วกันว่ามันจะโตอีกกี่เท่า (ซู้ดดดดดดดดดดดดด)
กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency
อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub
อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance
*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง
Resources