Site icon Blue O'Clock

Ricardo Salinas Pliego มหาเศรษฐีพันล้านชาวเม็กซิกันเชียร์ Bitcoin

Ricardo Salinas Pliego - ซาลินาส พลิเอโก

Ricardo Salinas Pliego คือมหาเศรษฐีพันล้านชาว Mexican เป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทในกลุ่ม Grupo Salinas ที่ ณ ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ราว ๆ 13.1 พันล้านดอลล่าร์ฯ (13,100 ล้านดอลล่าร์ฯ) หรือกว่า 4.26 แสนล้านบาท เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 3 ของ Mexcio และเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 166 ของโลก ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ Bitcoin เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ผ่านช่อง Youtube ของ Bitcoin Magazine ที่ตัวเขานั้นก็หันมาลงทุนใน Bitcoin ด้วยเช่นเดียวกัน และนี่คือมุมมองจากมหาเศรษฐีพันล้านชาวเม็กซิกันที่มีต่อการลงทุนใน Bitcoin

โดย Ricardo ได้เกริ่นก่อนว่า สมัยรุ่นคุณปู่และคุณพ่อของเขานั้น เป็นแฟนตัวยงของทองคำมาโดยตลอด และตัวเขานั้นก็ได้รับการศึกษามาโดยตลอดว่า เงิน fiat หรือเงินกระดาษนั้น เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและเป็นจอมปลอมที่รัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลกอุปโลกมันขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาสามารถครอบครองและมีอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจ ควบคุมประชาชน ที่ใช้เงิน fiat ของพวกเขาได้

ดังนั้นวิธีเดียวที่จะออกจากระบบเงิน fiat ได้นั้น ก็คือเราจำเป็นที่จะต้องลงทุนใน Hard Asset หรือสินทรัพย์ที่มีความหายาก สินทรัพย์แข็งแกร่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกทองคำ เนื่องจากมันเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงกว่าสินทรัพย์แบบอื่น ๆ

และในเวลาต่อมา Bitcoin ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งในช่วงแรกของมันนั้นอยู่ในฐานะที่น่าจะเป็นเงินของเล่นของพวก Geek ในโลกอินเตอร์เน็ต แต่พอวันเวลาผ่านไปมันก็พัฒนาจนกลายเป็น Asset ที่มีมูลค่าจริง ๆ ขึ้นมา โดยมีผู้คนทั่วโลกหลายล้านคนได้ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ซึ่งนั่นมันก็ดึงดูดให้ตัวของเขา เริ่มสนใจในตัวของ bitcoin และก็ได้เริ่มลงทุนใน bitcoin เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งก็ได้ผลประกอบการที่น่าพอใจ มันก็ไม่แปลกที่เขาจะลงทุนเพิ่มเป็นธรรมดา

ซึ่งแม้ว่าคุณพ่อของเขาที่เป็นแฟนตัวยงของทองคำนั้น จะเกลียด bitcoin เข้าไส้ แต่ตัวของเขาเองนั้นกลับมองว่า ข้อเสียของทองคำนั้นมีหลายอย่าง เช่น มันจัดเก็บได้ยาก มันส่งมอบได้ยาก ขนส่งยาก และนอกจากนั้นราคาของทองคำมันยังถูกควบคุมด้วยกลุ่มธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก ได้อย่างง่ายดาย เพราะนอกจากที่พวกเขานั้นได้เก็บตุนทองคำไว้ในสำรองคงคลังอย่างมหาศาลแล้ว ยังมีการออกทองคำกระดาษมาเพิ่มด้วยอีกต่างหาก

ในขณะที่การมาของ Bitcoin ที่ผู้คนเริ่มยอมรับว่ามันเป็น Asset ประเภทหนึ่งแล้ว เขาก็เล็งเห็นว่ามันเป็นทรัพย์สินที่ไม่ถูกควบคุมได้ง่าย ๆ ดังเช่นทองคำ แถม bitcoin นั้นยังสามารถทำการแลกเปลี่ยนได้ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปี แบบไม่มีวันปิดทำการ และทั่วโลกก็มี Exchange หรือกระดานเทรดที่สามารถใช้งานออนไลน์ได้ทั่วโลกอยู่หลายเจ้า

ดังนั้น Ricardo จึงมองว่า Bitcoin มันเป็น Asset ที่ดีกว่าทองคำ เพราะมันส่งมูลค่าง่ายกว่า ซื้อขายแลกเปลี่ยนง่ายกว่า แถมมันยังไม่มีค่าจัดเก็บอีกต่างหาก ดังนั้นตัวของเขาจึงมองว่ามันเป็น Asset ที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก

ซึ่งเขาก็แนะนำว่า หากใครที่พึ่งเริ่มต้นศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของ Bitcoin ก็แนะนำให้ไปหาหนังสือที่เขียนโดย Safadean Ammouse ที่ชื่อว่า The Bitcoin Standard กับ The Fiat Standard ที่เขาได้รวบรวมข้อมูลและประวัติความเป็นมาในโลกของการเงินของมนุษย์เราที่ใช้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งจะว่าไป สิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้ เนื้อหาส่วนใหญ่ก็อยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวนั่นแหละ

โดย Ricardo ก็ได้เล่าย้อนกลับไปที่พื้นฐานของการเกิดขึ้นของ ‘Money’ หรือเงินตรา ซึ่งหลายคนอาจสับสนว่า เงิน หมายถึง เงินเหรียญ เงินกระดาษ เงินบาท เงินดอลล่าร์ เหล่านี้ แต่ถ้าเอาเข้าจริง เงินที่ว่านั้นศัพท์ทางการของมันจะเรียกว่า fait money หรือมันเป็นเงินประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง

โดย Ricardo บอกว่า มนุษย์เรานั้น เป็นสัตว์สังคม เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และเมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ก็จะเกิดการร่วมมือกันทำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา และมันก็จำเป็นที่จะต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนกันระหว่างอีกคนหนึ่งที่ออกแรงทำงานได้สำเร็จ คนที่ว่าจ้างนั้นก็จะต้องมอบบางสิ่งบางอย่างกลับไปเพื่อเป็นการตอบแทนแรงงานเหล่านั้น โดยในอดีตมนุษย์เราก็แลกเปลี่ยนด้วยการแลกสิ่งของที่ตนมีอยู่ เช่น เอาหนังสัตว์ไปแลกกับเมล็ดพืช แต่มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่สะดวกเอาซะเลย เพราะนอกจากที่อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการสิ่งที่จะแลกแล้วนั้น มันยังวัดมูลค่าให้เท่าเทียมกันได้ยาก ขนย้ายก็ยาก แบ่งเป็นหน่วยย่อยก็ยาก จัดเก็บก็ยาก เพราะของบางอย่างมันเน่าเปื่อย สูญสลายได้ด้วยเมื่อวันเวลาผ่านไป

ซึ่งนั่นมันก็คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาของคำว่า Money ของมนุษย์เรา ที่ได้พัฒนาเปลี่ยนมาใช้โลหะชนิดต่าง ๆ จนกระทั่งหันมาใช้ทองคำกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัญหาก็คือ ทองคำ มันถูกแทรกแซงโดยรัฐบาลมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในยุคโรมัน, ยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์, ยุครุ่งเรื่องของเกาะอังกฤษ จนกระทั่งยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ในยุคของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานามว่า Richard Nixon ที่ได้ยกเลิกการผูกติดทองคำกับเงินดอลล่าร์ ในปี 1971 ซึ่งถือว่าเป็นการทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่ปล่อยให้มีการปริ้นท์เงินดอลล่าร์ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด เพราะแต่เดิมทีการที่จะปริ้นท์เงิน fiat ได้นั้น ก็จำเป็นที่จะต้องอ้างอิงกับทองคำที่สำรองคงคลังเอาไว้ ซึ่งทำให้หมดยุคของ The Gold Standard เข้าสู่ยุคของ The Fiat Standard ที่เป็นยุคมืดของการเงินโลก ซึ่งมันมีความดาร์ค มันมีอำนาจเย้ายวน หอมหวน ที่ดึงดูดให้รัฐบาลและเหล่าบรรดาผู้คนที่ต้องการใช้ประโยชน์ทางการเงินได้อย่างไม่รู้จบ นั่นแหละคือปัญหาของเงิน fiat

เพราะเงิน fiat นั้นถูกควบคุมโดยรัฐบาลแบบ 100% ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เคยตระหนัก ณ จุด ๆ นี้ อย่างเงินที่อยู่ในธนาคารต่าง ๆ ของเรานั้น สามารถถูกรัฐบาลสั่งแช่แข็ง สั่งยึด สั่งอายัด เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ โดยไม่มีทางขัดขืนได้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำผิดกฎหมายใด ๆ ก็ตาม เช่น หากสมมติว่ารัฐบาลแค่สงสัยว่าคุณอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายบางอย่าง พวกเขาก็สามารถมีอำนาจในการสั่งหยุดทำธุรกรรมทุกอย่างของคุณได้ แต่พอคุณพิสูจน์ได้ว่าคุณไม่ผิด พวกเขาก็ค่อยสั่งปลดล็อคให้คุณในภายหลัง แต่ในระหว่างนั้น หากคุณมีเรื่องจำเป็นที่จะต้องใช้เงินดังกล่าว ก็ถือว่าโชคร้ายกันไป เป็นต้น

ในขณะที่ Bitcoin นั้น มันเป็นของคุณอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครควบคุมมัน ไม่มีใครเอามันไปจากคุณได้ คุณสามารถพกติดตัวคุณไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้

และนอกจากนั้น เวลาที่คุณจะโอนมูลค่าหาใคร คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตจากใคร ถ้าเป็นสกุลเงินต่าง ๆ หากคุณจะโอนเงินข้ามประเทศ คุณจะต้องถูกตรวจสอบและได้รับการอนุมัติก่อนจึงจะทำการโอนได้ แต่ในขณะที่ Bitcoin นั้น คุณอยากโอนเมื่อไหร่ก็ได้ในทันที มันไม่สำคัญหรอกว่า มันจะจ่ายค่ากาแฟได้ช้า เพราะความเร็วในการทำธุรกรรมของ Bitcoin นั้นต่ำ แต่นั่นไม่ใช้ประเด็น เพราะหากคุณจะโอนมูลค่าเงินสักพันล้านบาท รอสัก 10 นาที มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพราะถ้าหากจะส่งทองคำมูลค่าพันล้านนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย ติดตั้งแต่พรมแดนระหว่างประเทศแล้ว

ส่วนในปัจจุบัน เราก็มีเทคโนโลยี Lightning Network ที่สามารถใช้โอน Bitcoin ได้แบบสายฟ้าแล่บแล้ว ปัญหาการโอนช้าจึงไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป

ส่วนในประเทศเม็กซิโก ก็มี Exchange หรือกระดานเทรดที่ชื่อ bitso.com ที่คอยให้บริการชาวเม็กซิกันซื้อ bitcoin อยู่ ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดอยู่ว่า bitcoin ราคาตั้งเหรียญละล้านกว่าบาท จะไปเอาเงินที่ไหนมาซื้อไหว ซึ่งอันที่จริงแล้ว bitcoin นั้น สามารถมีหน่วยย่อยได้ถึง 8 จุดทศนิยม คุณจะซื้อแค่ 0.00001 BTC ก็สามารถทำได้เช่นกัน อย่างในไทยของ Bitkub มีเงิน 10 บาท ก็ซื้อ bitcoin ได้แล้ว หรืออย่างบน Binance ก็เริ่มต้นที่ $10 หรือประมาณ 300 กว่าบาทก็ซื้อ bitcoin ได้เช่นกัน

ส่วนในประเทศเม็กซิโกนั้น ในฐานะที่บริษัทในเครือของเขานั้น ก็มีธนาคารอยู่ด้วย ซึ่งเขายอมรับว่า ในประเทศเม็กซิโก ทาง regulator หรือผู้ออกกฎนั้นยังไม่เปิดรับ bitcoin มากนัก จึงยังมีการสั่งห้ามไม่ให้ธนาคารเข้ามายุ่งเกี่ยวกับ bitcoin แต่ด้วยความที่บริษัทในเครือของเขานั้น เป็นร้านค้าปลีกซะส่วนใหญ่ ที่มีกฎที่ไม่คุมเข้มเท่าธนาคาร เขาก็ได้เปิดรับการจ่ายเงินด้วย Bitcoin ใครอยากจะจ่ายเงินซื้อของจากเขา เขาก็ยินดีรับหมด ไม่ว่าจะซื้อ ทีวี โทรศัพท์ รถมอเตอร์ไซค์ และอื่น ๆ อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งเขาเปิดรับจ่ายด้วย bitcoin มาตั้งแต่เดือน พฤศจิยากายน ปี 2021 ที่ผ่านมานี้ และตอนนี้ก็กำลังพัฒนารับจ่ายเงินด้วยเทคโนโลยีอย่าง Lightning Network ที่สามารถทำธุรกรรมการจ่ายเงินด้วย bitcoin ที่รวดเร็วกว่า และมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ามาก

ส่วนในด้านการลงทุนทาง Ricardo ก็บอกว่า ต้องยอมรับว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นนักลงทุนที่เก่งกาจ หลายคนเข้าซื้อ bitcoin ที่ราคา $60,000 ต่อ 1 BTC แต่กลับต้องผิดหวังที่ราคา ณ ตอนนี้ร่วงลงมากว่าครึ่งที่ล่าสุดเคยลงไปที่ราคาราว ๆ $30,000 ต่อ 1 BTC แต่ตอนนี้ก็ดีดกลับขึ้นมาที่ราว ๆ $40,000 ต่อ 1 BTC

ดังนั้น คำแนะนำของเขาก็คือ bitcoin คือการลงทุนที่ดี แต่มันไม่เหมาะกับคนที่คิดจะทำกำไรจากมันภายใน 30 วัน ซึ่งเขาบอกว่า ถ้าหากเราลองมองย้อนกลับไปดูราคาของ bitcoin เมื่อปีที่แล้วก็จะพบว่า มันมีราคาที่แถว $10,000 ต่อ 1 BTC แค่นั้นเอง แล้วตอนนี้มันมีราคาไม่ต่ำกว่า $30,000 ต่อ 1 BTC ซึ่งคุณก็จะเห็นได้ว่า กำไรเห็น ๆ เมื่อคุณคิดจะลงทุนในระยะยาว

ส่วนการที่หลายคนบอกว่า bitcoin มันเป็นอากาศธาตุ มันจับต้องไม่ได้ มันเป็นเงินในอากาศ ทาง Ricardo ก็บอกว่า อันที่จริงแล้ว ณ ปัจจุบัน ผู้คนทั่วไปเริ่มจะคุ้นชินกับการใช้เงินดิจิตอลกันแล้ว ซึ่งคุณจะสังเกตได้ว่า หลายคนจ่ายเงินผ่านมือถือ หรือบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือ wallet ที่คุณเติมเงินเข้าไป ก็สามารถใช้บัตรดังกล่าวซื้อสินค้าออฟไลน์ ออนไลน์กันได้เกือบหมดแล้ว

ซึ่งเขาบอกว่า มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย และจำเป็นที่ต้องให้การศึกษา ให้ความรู้กับคนทั่วไป ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในตัวของ bitcoin

ส่วนการมาของ CBDC หรือเงินดิจิตอลของทางรัฐบาลนั้น ตัวของ Ricardo เขามองว่า มันจะแย่ยิ่งกว่าตอนที่เราใช้เงินกระดาษที่จับต้องได้ซะอีก เพราะเงินที่จับต้องได้นั้น เวลาจะปริ้นท์เงินมันก็ต้องมีค่าดำเนินการหลายส่วน มันยังคงมีต้นทุนในการผลิต แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เงิน fiat กลายร่างมาเป็นเงินดิจิตอลเต็มตัว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนที่มีอำนาจในการควบคุมเงิน fiat ดังกล่าว พวกเขาแค่เข้าระบบแล้วแก้ไขตัวเลขได้ในทันที ไม่ต้องไปยุ่งยากเข้าโรงพิมพ์ โรงกษาปณ์ อีกต่อไป ง่ายซะยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก

และการที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปริ้นท์เงินในเงินสำรองคงคลังในช่วงปีล่าสุดที่ผ่านมานี้กว่า $9 Trillion นั้น มันทำให้เกิดค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรง เพราะต้องยอมรับว่า สกุลเงินดอลล่าร์เป็นสกุลเงินที่หลายประเทศเลือกที่จะเก็บมันเป็นเงินสำรองคงคลัง ดังนั้นมันโดนผลกระทบเต็ม ๆ กับคนที่เลือกที่จะเก็บเงินสกุลดังกล่าวเอาไว้

ซึ่ง Ricardo บอกว่า เงินดังกล่าวมันคือ fake money เหตุผลที่เขาบอกแบบนั้นก็เพราะ เวลาที่มีคนไปกู้ยืมเงินที่ธนาคาร ธนาคารก็ปล่อยกู้มาให้ แต่คำถามก็คือ พวกเขาเอาเงินที่ไหนมาให้กู้ เงินนั้นมันก็มาจากการเสกเงินจากในอากาศของพวกเขาที่ไม่มีอยู่จริงนั่นเอง ดังนั้น นี่น่าจะเรียกว่าเป็นเงินในอากาศธาตุซะมากกว่าอีก

ซึ่งเงิน fiat ไม่ว่าจะเป็นสกุลใดก็ตาม ต่างก็มีค่าด้อยลง และหลายสกุลเงิน fiat นั้นก็ได้ล่มสลายไปแล้วเรียบร้อย ซึ่งดูได้จากในประเทศอย่าง เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา บราซิล ที่มีค่าเงินเฟ้อที่สูงมาก ส่วนสกุลเงินอื่น ๆ ก็กำลังตามไป โดยมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่โลกของเราเลิกใช้ Gold Standard เลิกใช้มาตรฐานทองคำไป

ส่วนประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่ประกาศให้ bitcoin นั้น กลายเป็นสกุลเงินที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศได้นั้น ก็มีสาเหตุมาจากการที่ ก่อนหน้านั้น พวกเขาก็เคยประสบกับการล่มสลายของสกุลเงินในประเทศของตัวเอง ที่สาเหตุก็เกิดมาจากการจัดการและบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล และได้หันไปใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินประจำประเทศแบบ 100% เต็ม และเมื่อสหรัฐอเมริกา ออกนโนบายทางการเงินอะไรมา พวกเขาก็จำใจที่จะต้องก้มหน้าก้มหน้ายอมรับชะตากรรมจากนโยบายเหล่านั้น โดยไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรได้เลย มันก็ไม่แปลกที่ประธานาธิบดีอย่าง Nayib Bukele ประธานาธิบดีของประเทศเอลซาววาซอ เลือกที่ใช้ bitcoin ทดลองในการเป็นเงินสกุลหลักคู่ขนานไปกับเงินดอลล่าร์ เพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะเสีย ดังนั้นมันก็ตัดสินใจได้ไม่ยากนักหากประเทศใดก็ตามที่กำลังตกอยู่ในสภาวะที่คล้าย ๆ กับประเทศเอลซัลวาดอร์

แต่ Ricardo เขาก็ไม่คิดว่าประเทศอื่น ๆ จะเปลี่ยนไปใช้ bitcoin รวดเร็วอย่างประเทศเอลซัลวาดอร์ เพราะเงื่อนไขแรกก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้ bitcoin เป็นสกุลเงินของประเทศก็คือ ประเทศเหล่านั้นจะต้องผ่านเหตุการณ์การยกเลิกใช้สกุลเงินดั้งเดิมของประเทศตัวเองเสียก่อน

เช่นประเทศเวเนซุเอลา มีเกณฑ์ใกล้เคียงมาก เพราะสกุลเงินดั้งเดิมของพวกเขากำลังล่มสลาย มีอัตราเงินเฟ้อที่สูงปรี๊ด มีการคอรัปชั่นอย่างมากมาย และประชาชนในประเทศต่างอดอยากเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังโดนคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ดังนั้นมันไม่มีเม็ดเงินไหลเข้าไปในประเทศ ทำให้ประเทศดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะหันไปใช้ bitcoin แลกเปลี่ยนมูลค่ากันผ่าน network ของ bitcoin เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันของคนภายในท้องถิ่น

ส่วนประเทศที่ยังคงมี Central Bank หรือธนาคารกลางอยู่ ประเทศเหล่านี้ พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครหรือสกุลเงินใด เข้ามาแทนที่สกุลเงิน fiat ของพวกเขา เพราะพวกเขาได้รับผลประโยชน์และอยู่ดีกินดีจากการได้ครอบครองในอำนาจที่มาจากเงิน fiat ของพวกเขาเด็ดขาด

แต่เหล่าบรรดา bitcoiner หรือสาวกของชาวบิตคอยน์นั้น ต่างก็ชอบบอกว่า ไม่มีใครสามารถควบคุมหรือหยุดยั้งการมาของ bitcoin ได้หรอก แต่ในขณะที่ทาง Ricardo มองว่า รัฐบาลมีอำนาจมากพอที่จะหยุดยั้งได้ เช่น การควบคุม Exchange หรือกระดานเทรดเหรียญคริปโตฯ ต่าง ๆ หรือถ้าเอาสุดโต่งหน่อยอย่างในประเทศจีน หากใครดื้อที่ใช้ bitcoin ก็อาจโดนอุ้มหายได้เหมือนกัน

เพราะการมาของ bitcoin นั้น อาจช่วยแก้ไขปัญหาการเงินของประชาชน แต่มันไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่บริหารเงินล้มเหลวได้ และแม้ว่ารัฐบาลจะบริหารเงินได้ห่วยแตก แต่สำหรับพวกเขาแล้วนั้น มันมีอำนาจที่หอมหวนเกินห้ามใจ

ส่วนการมาของ CBDC : Central Bank Digital Currency คือเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศนั้น คือสิ่งที่ Ricardo บอกว่า มันคือสิ่งเลวร้ายที่สุด เพราะทันทีที่รัฐบาลกลางรู้ทุกตัวเลขการเคลื่อนไหวของเงินของทุกคนในประเทศแล้วนั้น หากพวกเขาเห็นว่า เงินไหลไปที่ใครมากเกินไป พวกเขาก็มีอำนาจในการสั่งให้เงินนั้กลับมาที่พวกเขา หรือหากใครมีแนวโน้มที่ใช้เงินได้ห่วยแตกไร้ประสิทธิภาพ พวกเขาก็สามารถควบคุมไม่ให้เงินไหลไปที่คน ๆ นั้นได้เช่นกัน มันก็ไม่ต่างกันกับการเป็นนักโทษทางการเงินดี ๆ นี่เอง

ซึ่งอย่างที่บอก หลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เงินที่เราใช้จับจ่ายใช้สอยกันอยู่ในปัจจุบันนี้คือเงิน fiat ซะด้วยซ้ำ ดังนั้นมันก็ไม่แปลก หากเราเอาเรื่องที่คุยกันอยู่นี้ ไปเล่าให้พวกเขาฟัง

ซึ่ง bitcoin ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คุณสามารถใช้มันเพื่อออกจากระบบเงิน fiat นี้ได้

ส่วนคำแนะนำสำหรับมือใหม่ที่สนใจที่จะเข้ามาในตลาดของ bitcoin นั้น นี่คือคำแนะนำจาก Ricardo Salinas Pliego โดยเขาบอกว่า หากตีมูลค่าทรัพย์สินเป็น 100% ที่เขาฝากเอาไว้ในธนาคาร ถ้าเป็นตัวเขา เขาจะนำมันไปลงใน bitcoin ทันทีจำนวน 50% เพราะอย่างที่เรารู้ ๆ กันดีว่า การฝากเงินไว้ในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยเงินฝากนั้น เป็นการลงทุนที่แย่ เพราะมูลค่ามันโตไม่ทันเงินเฟ้อ มูลค่าของเงินในธนาคารจะลดลงในทุก ๆ ปี

หรือถ้าหากคุณเก็บทรัพย์สินเอาไว้ในรูปของหุ้น มันก็อาจถึงเวลาที่คุณอาจจะขายบางส่วนมาลงใน bitcoin เนื่องจากตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้นั้น ตลาดหุ้นก็เติบโตเรียกได้ว่ามีราคาที่สูงเอามาก ๆ ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับว่า ทรัพย์สินที่คุณถืออยู่ ณ ตอนนี้มันอยู่ในรูปแบบใด

ซึ่งก็ต้องบอกเอาไว้ว่า นี่ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงความคิดเห็นจากมหาเศรษฐีพันล้านคนหนึ่งที่มีเงินถุงเงินถังให้ถลุงเป็นจำนวนมาก

และโดยส่วนตัวของ Ricardo นั้น เขาก็มักที่จะเข้าซื้อ bitcoin ในช่วงที่มัน crash ลงมา ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ราคาของ bitcoin พุ่งขึ้นไปที่ราว ๆ $69,000 ต่อ 1 BTC นั้น พอราคามันตกลงมาที่ $50,000 เขาก็เข้าซื้อ ตามประโยคที่บอกว่า Buy The Dip คือเข้าซื้อเมื่อราคามันตกลงมา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาราคาของ bitcoin ก็ตกลงมาอยู่ที่แถว ๆ ราคา $30,000 ต่อ 1 BTC ก่อนที่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ราคาแถว ๆ $40,000 ต่อ 1 BTC โดยเขาก็มีแผนที่จะเข้าซื้อมันเรื่อย ๆ เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าราคามันจะเป็นเท่าไหร่ ต่อให้วิเคราะห์กราฟ วิเคราะห์ทางพื้นฐานและเทคนิคต่าง ๆ มาแล้วก็เถอะ

ส่วนเหรียญ cryptocurrency อื่น ๆ นั้น ตัวของ Ricardo เขาไม่เคยสนใจพวกมันเลย เนื่องจากสาเหตุหลัก ๆ อยู่สองสามข้อก็คือ อย่างแรกเหรียญส่วนใหญ่มักถูกผู้ก่อตั้งขุดเก็บเหรียญเอาไว้กับตัวเป็นจำนวนมากก่อนที่พวกเขาจะปล่อยเหรียญมาถึงมือคนภายนอก และอย่างที่สองก็คือ ปริมาณ supply ที่พวกเขาสามารถเสกเหรียญขึ้นมาได้เรื่อย ๆ นั่นทำให้เกิดการเฟ้อที่รุนแรงได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าบางเหรียญที่ทำการ fix ปริมาณ supply เอาไว้อยู่อย่างจำกัดเฉกเช่นเดียวกับ bitcoin เหรียญดังกล่าว ก็พอมีลุ้นอยู่บ้าง

ส่วนในตลาด DeFi หรือ Decentralized Finance ระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลางนั้น ทาง Ricardo มองว่า มันเป็นภัยคุกคามต่อระบบการเงินของโลกเก่ามากกว่า bitcoin ซะอีก ดังนั้น ทาง Regulator หรือผู้ออกกฎนั้น น่าจะจัดการพวก DeFi ก่อนที่จะมาจัดการกับ bitcoin ในภายหลัง

ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับ Stablecoin หรือเหรียญที่มีมูลค่าคงที่อย่างเหรียญ Tether (USDT) ที่มีมูลค่าเท่ากับ $1 US dollar นั้น ทาง Ricardo ก็บอกว่า มันก็มีต้นแบบมาจากเงิน fiat ในอดีตที่มีการผูกติดกับทองคำเอาไว้แบบ 1 ต่อ 1 หน่วย เช่น เมื่อคุณเอาทองไปฝากเอาไว้กับธนาคาร คุณก็จะได้รับตั๋วทองคำ ที่สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยหรือนำมาแลกทองคำกลับคืนแบบ 1 ต่อ 1 หน่วยได้

จนกระทั่งต่อมาทางธนาคารก็พบวิธีการที่จะปริ้นท์ตั๋วกระดาษให้มีจำนวนมากกว่าจำนวนทองคำสำรองที่ backup เอาไว้จนได้ ซึ่งเหรียญ stablecoin ดังกล่าว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่พวกเขาบอกว่าเหรียญของพวกเขามีเงินดอลล่าร์ backup เอาไว้แบบ 1 ต่อ 1 หน่วยกับจำนวนเหรียญที่พวกเขาเสกมันขึ้นมาในระบบ ที่แม้จะบอกว่ามีการตรวจสอบจากองค์กรอิสระจากภายนอกแล้วก็ตามที เราจะเชื่อมั่นพวกเขาได้จริง ๆ หรือ?

ส่วนข้อเสียของ bitcoin ในมุมของ Ricardo เขาก็บอกว่า ทางผู้คุมกฎสามารถออกกฎที่สร้างความลำบากให้กับผู้ถือครองมันได้ เช่น พวกเขาจะพยายามเข้ามาควบคุมการถือครองของคุณ อย่างน้อยก็ผ่านทาง Exchange หรือกระดานเทรด ส่วนหากใครที่เก็บ bitcoin เอาไว้บน blockchain พวกเขาก็จะขัดแข้งขัดขาคุณในช่วงที่คุณพยายามจะเปลี่ยน bitcoin ให้เป็นเงิน fiat ของพวกเขา และพยายามเก็บภาษีจากการทำธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งทำให้คุณตกอยู่ในฐานะผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงภาษีและทำผิดกฎหมายได้ และพวกเขาก็มีอำนาจในการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวได้ทันทีภายใน 1 วัน หรือบางทีประกาศช่วงห้าทุ่มเที่ยงคืน ก็มีผลบังคับใช้ได้เลย นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสามารถทำให้ผู้ถือครอง bitcoin เป็นอาชญากรได้ทันทีทันใด นั่นคือความเสี่ยงในการเลือกถือ bitcoin

สุดท้าย หากถามเขาว่า เราควรจะเริ่มต้นศึกษาเกี่ยวกับ bitcoin จากไหนได้บ้าง ทาง Ricardo เขาก็แนะนำว่า ให้ไปหาหนังสืออย่างน้อยสองเล่มนี้มาอ่านก่อนเลยก็คือ The Bitcoin Standard กับ The Fiat Standard เพราะส่วนใหญ่ภายในหนังสือจะพูดถึงประวัติศาสตร์การเงินของโลกที่ผ่านมา ก็จะทำให้เราพอจะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของการเงิน


กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน Bitcoin & Cryptocurrency

อันดับ 1 ของไทย คนส่วนใหญ่นึงถึง Bitkub

อันดับ 1 ของโลก คนส่วนใหญ่นึกถึง Binance


*หมายเหตุ : คอนเท้นต์นี้ไม่ใช่การแนะนำในการลงทุน เป็นการจัดทำเพื่อเป็นกรณีศึกษาจาก Raoul Pal เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาและตัดสินใจลงทุนด้วยตัวท่านเอง

Resources

Exit mobile version