Site icon Blue O'Clock

10 สุดยอดบทเรียนสร้างความมั่งคั่ง จาก Robert Kiyosaki พ่อรวยสอนลูก

Robert Kiyosaki

10 เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย จากปากของ Robert Kiyosaki ผู้เขียนหนังสือพ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad

1. Always be a student : ทำตัวเป็นนักเรียนอยู่เสมอ

Robert Kiyosaki บอกว่า ถ้าเขาเจ๊ง ไม่มีเงิน ไม่มีคอนเนคชั่น และต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาจะไปทำงานที่ McDonald’s เพราะ McDonald’s นั้นมีระบบธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก โดยเขาไม่สนว่าจะได้ค่าแรงชั่วโมงละ 7 ดอลลาร์หรือ 15 ดอลลาร์ก็ตามที เพราะเขาไม่ได้สนใจอาหารของ McDonald’s สักเท่าไหร่ แต่ที่ McDonald’s นั้นพวกเขามีระบบการจัดการที่ดีที่สุด เพราะ McDonald’s สามารถรับคนที่ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยมาเป็นพนักงานที่ช่วยสร้างธุรกิจร้านอาหารจานด่วนได้ทั่วโลก ซึ่งการมีระบบการจัดการที่ดีเยี่ยมของ McDonald’s นั้น แค่ในสาขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง คุณก็สามารถเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจได้แล้ว จะยกเว้นก็เสียแต่ในส่วนของการบริหาร ที่มีแต่ระดับผู้บริหาร

ดังนั้น Robert Kiyosaki เขาจะไปทำงานที่ McDonald’s เพื่อที่จะได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น โดยเขามองว่าชีวิตของคนเราคือการเรียนรู้ และเขาก็เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เขาอ่านหนังสือและศึกษาอยู่เสมอ และเขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่คลุกคลีอยู่กับเหล่าบรรดาผู้ประกอบการ ไม่ใช่กับพวกที่ชอบบ่นเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ และในท้ายที่สุดเขาก็จะกลับไปเป็นผู้ประกอบการเหมือนดังเดิม

2. Have an entrepreneur mindset : มีความคิดแบบผู้ประกอบการ

Robert Kiyosaki บอกว่า ผู้ประกอบการมักมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือ พวกเขาจะเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ พวกเขาจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ สร้างกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ของตัวเองขึ้นมา พวกเขาจะมุ่งหาคำตอบมากกว่าหนึ่งหนทางเสมอ ผู้ประกอบการตัวจริงจะไม่สนใจหรอกว่าตัวของเขาจะอยู่ที่ไหน อยู่ในประเทศอะไร ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องของ mindset มันคือการมีความคิดที่ไม่เคยยอมแพ้ ถ้าเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็จะพยายามหาวิธีเอาชนะมัน

โดย Robert บอกว่า เขามีเพื่อนที่รวยมาก ๆ เป็นคนฝรั่งเศสคนหนึ่ง แต่ฝรั่งเศสก็เป็นประเทศที่เรียกเก็บภาษีเงินได้สูงเอามาก ๆ นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาย้ายมาอยู่ที่อเมริกา โดยเขาเริ่มซื้อไร่องุ่นที่เมือง Napa Sonoma รัฐ California จากนั้นเขาก็กลับไปหารัฐบาลฝรั่งเศสและขออนุญาตส่งไวน์ไปขายที่แคลิฟอร์เนีย แต่ทางรัฐบาลฝรั่งเศสสวนกลับมาทันทีเลยว่าทำแบบนั้นไม่ได้มันผิดกฎ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงมานานถึง 5 ชั่วอายุคน ก็ตามที แต่ก็ยังโดนรัฐบาลปฏิเสธ

แต่ด้วยความที่เขามีความเป็นผู้ประกอบการอย่างแท้จริง เขาจึงพูดทวนกับรัฐบาลอีกครั้งว่า “ถ้าผมขนไวน์ใส่ถังบาร์เรลส่งไปอเมริกาไม่ได้” “งั้นผมจะขนไวน์ใส่ขวดส่งแทนได้ใช่ไหม?” ทำให้รัฐบาลงงไปเลย เพราะเขาไม่ได้ทำผิดกฎอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาสามารถส่งไวน์ใส่บรรจุลงในขวดได้ แม้ว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการนำไปบรรจุขวดมากโขก็ตามที

ดังนั้น ผู้ประกอบการที่แท้จริงจะต้องมี mindset ที่ถูกต้องเป็นอันดับแรกก่อน จากนั้นผู้ประกอบการจะต้องมี skill sets มีทักษะที่จำเป็นและจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ ซึ่งกฎเกณฑ์ของแต่ละเกมก็จะแตกต่างกัน อย่างเช่น กฎเกณฑ์ในบทบาทการเป็นลูกจ้างกับกฎเกณฑ์ในเกมของการเป็นผู้ประกอบการก็มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกที่เล่นในบทบาทไหน เพราะมันจะต้องใช้ mindset และทักษะที่แตกต่างกันเลย

3. Learn how to sell : เรียนรู้วิธีการขาย

Robert Kiyosaki เล่าว่า ตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาเป็นคนขี้อายมาก ๆ

ขนาดภรรยาเขายังบอกเลยว่าเขาจะเดินตามรอยพ่อรวยได้ยังไง ถ้าเป็นคนขี้อายขนาดนี้ ซึ่งเขาก็ได้ถามกับภรรยาว่า ไอ้การที่ขี้อายนี่มันผิดตรงไหน ซึ่งเธอก็กลับมาว่าถ้าคุณอยากเป็นแบบพ่อรวยคุณต้องขาย คุณต้องรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ ซึ่งทักษะอันดับหนึ่งของการเป็นนักขายก็คือตัวคุณต้องสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้

ซึ่งทาง Robert จึงเริ่มเดินสู่เส้นทางของนักขาย โดยเข้าไปทำงานกับบริษัท Xerox ในปี 1974 เพื่อเรียนรู้วิธีการขาย และใช้เวลาถึง 4 ปี ที่กว่าจะกลายเป็นนักขายอันดับ 1 ของบริษัทได้

และในวันนี้เขาก็กลายเป็นนักเขียนขายดีติดอันดับท็อป ซึ่งเหล่าบรรดานักวิชาการจำนวนมากมักบอกกับเขาว่า เขาเขียนหนังสือไม่เป็น เขียนหนังสือไม่ได้เรื่อง เขาเลยตอบกลับพวกเหล่าบรรดานักวิชาการกลับไปว่า “ใช่” “ผมอาจเขียนหนังสือไม่เป็น แต่ผมขายเป็น”

ซึ่ง Robert บอกว่า ถ้าคุณขายไม่เป็น คุณก็ไม่มีรายได้ จบข่าวเลย ไม่ว่าคุณจะมีสินค้าดีแค่ไหนก็ตามที

สิ่งสำคัญในเส้นทางนักขายก็คือ คุณต้องเริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ซึ่ง Robert เขาไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเริ่มต้นด้วยการขายสินค้าอะไร ขอแค่ให้เริ่มต้น

4. Be a team player : เล่นกันเป็นทีม

Robert บอกว่าตัวของเขานั้นไม่ชอบโรงเรียน และโรงเรียนก็เหมาะสำหรับคนที่ชอบไปโรงเรียน แต่สำหรับตัวของเขาที่กำลังสอบตก อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ มีแต่ความเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบโรงเรียนเอาซะเลย จนกระทั่งเขาก็ได้เจอกับพ่อรวย ซึ่งท่านก็ได้สอนวิธีการเป็นคนรวยผ่านการเล่นเกม

เพราะเกมคือเครื่องมือในการสอนที่ดีที่สุด ตัวส่วนตัวของ Robert เขาชอบเล่นหมากรุก ซึ่งมันเป็นวิธีการเดียวกันกับที่เหล่าบรรดาคนรวยใช้สอนลูก ๆ ของพวกเขา ในเรื่องยุทธศาสตร์การรบ ซึ่งพ่อรวยสอนให้เขารวยด้วยการเล่นเกมเศรษฐี ที่เล่นเกมเศรษฐีด้วยกันหลายชั่วโมงเลยทีเดียว

โดยสูตรสำหรับความร่ำรวยในเกมเศรษฐีก็คือ ต้องมีบ้าน 4 หลัง ที่สามารถเปลี่ยนเป็นโรงแรมสีแดงได้ 1 หลัง และในชีวิตจริงตอนนี้ก็ทำให้เขามีบ้านสีเขียว 8,000 กว่าหลังคา กับโรงแรมสีแดงอีกหลายหลัง เขาแค่เอาเกมเศรษฐีมาเล่นในชีวิตจริง ๆ

นั่นคือพลังของเกมที่ช่วยให้เขามีส่วนร่วมทั้งทางกาย ใจ และจิตวิญญาณ เพราะในท้ายที่สุดแล้วจิตวิญญาณต่างหากที่จะนำไปสู่ชัยชนะ มันก็เหมือนกับเกมบาสเกตบอล NBA ที่เราเห็นซุปเปอร์สตาร์อย่าง LeBron James ทีแม้เขาคนเดียวจะทำคะแนนเกินครึ่งของที่ทีมทำได้ทั้งหมด แต่คน ๆ เดียวก็ไม่สามารถสู้ทั้งทีมได้ของอีกฝั่งได้ เพราะกีฬาบาสมันต้องเล่นกันเป็นทีม

เรื่องของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ที่จะต้องมีนักบัญชีที่ดี มีทนายความเก่ง ๆ มีนักการตลาดฝีมือดี มีนักเทคโนโลยีฉลาด ๆ ทีมงานที่ยอดเยี่ยม และมีผู้นำที่เก่งกาจ

ซึ่งปัญหาของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่เป็นกันก็คือ พวกเขามักทำงานคนเดียว

โดยจากข้อมูลทางการรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าในอเมริกามีเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กมากกว่า 28 ล้านราย โดยในจำนวนนี้กว่า 24 ล้านรายเป็นธุรกิจที่ไม่มีลูกจ้าง เป็นแค่เจ้าของคนเดียว มันเป็นเรื่องที่บ้ามากที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พยายามทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียว

ถ้าเป็นสมัยเรียนหนังสือ การร่วมมือกันตอนสอบเรียกว่าโกงข้อสอบ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดจะชนะ ดังนั้น Robert เขาจึงให้ความสำคัญกับการรวบรวมทีมที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน

5. Strive to do better : พยายามทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม

คำแนะนำที่ว่า “ให้ใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะ” นั้นไม่ใช่เรื่องที่คนเขาอยากทำกัน และ Robert เขาก็คิดว่า เมื่อคุณบอกให้ใครใช้ชีวิตต่ำกว่าที่เป็นอยู่ มันเหมือนกับพรากจิตวิญญาณของพวกเขาไป มันก็เหมือนกับบอกว่า “ถ้าอยากผอม ก็อดอาหารแบบขั้นสุดซะ” ซึ่งการอดอาหารไม่ได้ทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้นเลย

การบอกให้คนอื่นใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะนั้นไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ เขาไม่เคยรู้สึกสบายใจเลยตอนทำแบบนั้น เขาอยากมุ่งมั่นทำให้ดีขึ้นทุกวัน อยากใช้ชีวิตที่ดี ๆ

โดย Robert Kiyosaki เขาเล่าเรื่องตอนที่เขากำลังนั่งแท็กซี่อยู่ใต้เครื่องบินเจ็ทลำใหญ่อยู่ ที่แม้ว่าตอนนั้นเขาก็นั่งเครื่องเจ็ทเหมือนกัน แต่มันเป็นเครื่องบินเจ็ทลำเล็ก ๆ  ซึ่งมันเป็นแรงบันดาลใจให้เขา ที่เขาจะคอยบอกตัวเองเสมอว่า ในอนาคตฉันต้องนั่งเครื่องบินเจ็ทลำใหญ่นั้นให้ได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวมันไม่ได้หมายความว่าเครื่องบินลำใหญ่จะทำให้เขามีความสุขมากขึ้นตามขนาดของมัน แต่สิ่งที่จะทำให้เขามีความสุขก็คือ ความอยากเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น อยากทำให้ได้ดีขึ้น เพื่อที่จะดีพอที่นั่งเครื่องบินเจ็ทลำใหญ่นั้นได้

6. Seek mentors : ค้นหาพี่เลี้ยง

Robert Kiyosaki บอกว่า เขาอยากเป็นคนรวยตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ที่แม้ในวัยเด็กหากเขาไม่มีพ่อรวยเป็นต้นแบบ เขาก็จะไปหาคนต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจและคอยเป็นครูสอนเองจนได้

ซึ่งในชีวิตของเขา เขาได้เจอกับ Rich Dad หลายต่อหลายคน และโดยเฉพาะพ่อรวยของเพื่อนสนิทตั้งแต่เขาอายุได้ 9 ขวบ ที่คอยสอนเขา จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังคงมองหาคำแนะนำจากคนที่ประสบความสำเร็จ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เพราะนั่นคือวิธีที่จะทำให้เราฉลาดขึ้น คือการคบหากับคนที่ฉลาด ๆ เข้าไว้

7. Do your research : ทำการบ้านของคุณ

Robert Kiyosaki เขาได้เล่าย้อนกลับไปปี 1973 ว่า เขาพึ่งกลับมาจากสงครามเวียดนาม ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นนักบินที่นั่น และเขาก็ได้ไปเข้าเรียนคอร์สอสังหาริมทรัพย์ ที่มีค่าลงทะเบียนเรียนอยู่ที่ $385 ดอลลาร์ฯ ซึ่งใช้เวลาเรียนด้วยกัน 3 วัน ที่แม้ตอนนั้นเขาได้เงินเดือนแค่เดือนละ $500 ดอลลาร์ฯ ดังนั้นเงินจำนวน $385 ดอลลาร์ฯ เป็นเงินเกือบทั้งหมดที่เขามี ณ ตอนนั้น

และเมื่อถึงตอนเรียนจบคอร์สอสังหาฯ อาจารย์ผู้สอนได้บอกกับนักเรียนในคลาสที่มีจำนวน 30 คน ว่า การศึกษาที่แท้จริงของพวกคุณเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหลังจบการเรียนการสอน

โดยงานที่อาจารย์ผู้สอนสั่งให้ทำก็คือ ให้นักเรียนในคลาสจำนวนทั้งหมด 30 คน จัดทีมแบบ 3 คน แล้วแยกย้ายกันไปดูบ้านจำนวน 100 หลังภายใน 90 วัน แต่อย่าซื้ออะไรทั้งนั้น แค่ให้ไปดูแล้วประเมินบ้านแต่ละหลัง เขียนบันทึกย่อ ๆ เอาไว้ว่าทำไมบ้านหลังนี้มันมีดีหรือไม่ดีอย่างไร และพอดูบ้านครบ 100 หลัง แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ

และอาจารย์ยังบอกอีกว่า ถ้าดูไปแล้ว 100 หลังแล้วยังไม่มีสักหลังที่ถูกใจ ก็ให้เริ่มดูชุดใหม่อีก 100 หลัง นั่นคือเหตุผลที่หลายคนไม่รวย เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมผ่านกระบวนการเหล่านี้ ไม่ยอมดูอสังหาฯ ให้ครบ 100 หลังเพื่อหาเพียง 1 หลังที่ใช่

8. Become a leader : พัฒนาความเป็นผู้นำ

Robert เขาเล่าว่าเขายังจำเช็คเงินเดือนใบสุดท้ายของเขาได้อย่างแม่นยำ มันเป็นหนึ่งในวันที่แย่และดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ ซึ่งในตอนนั้นเขาทำงานให้กับบริษัท Xerox โดยหัวหน้าของเขาเอาเช็คโบนัสมาให้ คิดว่ามันประมาณ $30,000 ดอลลาร์ หรือประมาณล้านกว่าบาท แต่ปัญหาก็คือมันยังไม่ได้หักภาษี ต้องเสียภาษีอีกมากโข และนั่นคือปัญหาเดียวที่เขาไม่ชอบเอาซะเลย

และในระหว่างนั้นก็มีคนที่ชื่อว่า John เดินมาหาเขา และพูดกับเขาว่า “นายจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ ๆ” Robert เขาเลยถามกลับไปว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น โดย John ก็ตอบกลับมาว่า “เพราะนายลาออกไปทำเองนายจะล้มเหลวอย่างแน่นอน” ซึ่ง Robert ก็มองหน้า John แล้วก็พูดสบถใส่ไปสองสามคำ นั่นก็เพราะ John เองนั้นก็เคยลาออกจาก Xerox ไปทำเองไม่รอดแล้วก็กลับมากินเงินเดือนที่บริษัท Xerox

Robert เขาจึงบอกับ John ไปว่า “นายฟังนะ John นายอาจน่ะล้มเหลวแล้วก็กลับมา แต่ฉันน่ะแม้ว่าจะล้มเหลว ฉันก็จะไม่กลับมาหรอก” นั่นแหละคือทัศนคติที่ถูกต้อง เพราะถ้าคุณคิดว่า ถ้าคุณจะล้มเหลวก็แค่กลับไปหาร้องไห้หาพ่อแม่ คุณจะเป็นอย่างนั้น

ดังนั้นเมื่อตัดสินใจที่จะเป็นผู้ประกอบการแล้ว คุณก็ต้องพึ่งพาตนเองอย่างถึงที่สุด

ซึ่งหลังจากที่ลาออกมาเป็นผู้ประกอบการ Robert เขาก็ไม่มีรายได้เลยเป็นปี ๆ ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละคือสิ่งที่ rich dad หรือพ่อรวย สนับสนุนให้เขาทำ แบบนี้ เพราะตอนที่คุณไม่มีเงินเดือน คุณจะหิวโหย คุณจะฉลาดขึ้น ซึ่งนั่นคือบททดสอบตัวตนของคุณ ว่าคุณจะกลายเป็นนักต้มตุ๋นไหม จะกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ไหม หรือว่าคุณจะเลือกที่จะเป็นคนดี ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นสิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จากการเป็นผู้ประกอบการก็คือ คุณจะได้รู้จักตัวเองได้ดียิ่งขึ้นในตอนที่ตัวคุณไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย คุณจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ

ถ้าคุณจะเป็นผู้ประกอบการและอยากเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ การมีทักษะการเป็นผู้นำและการสื่อสารสำคัญกว่าทักษะที่ได้จากใบปริญญาเสียอีก

โดย Robert Kiyosaki เขาเคยเขียนหนังสือที่ชื่อว่า 8 Lessons in Military Leadership for Entrepreneurs (8 บทเรียนการเป็นผู้นำจากการทหาร) ซึ่งเขาถ่ายทอดจากประสบการณ์โดยตรงในตอนที่เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อย ซึ่งที่นั่นคุณจะได้เรียนรู้ทักษะการเป็นผู้นำตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนเลย

ในวันแรกที่ไปถึงโรงเรียนนายร้อย Robert เขาต้องยืนอยู่หน้าเหล่าบรรดาเด็กอายุ 18 ปี จำนวน 20 คน แล้วเขาก็ต้องออกคำสั่งให้ทุกคนทำตาม และนั่นคือตอนที่คุณได้เรียนรู้การเป็นผู้นำ

ซึ่งการมีภาวะผู้นำนั้น มันจะพ่วงทักษะอื่น ๆ มาด้วย เช่น ความสามารถในการรับฟัง ที่ไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ตัว และยังคงทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้

9. Have a Midas touch : จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง

Robert Kiyosaki บอกว่า หลักการของ Midas Touch ที่จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดได้นั้น มีอยู่ด้วยกัน 5 อย่างที่คุณต้องจำไว้ก็คือ อันดับแรกคือ ‘นิ้วโป้ง’ แทนความแข็งแกร่งของตัวคุณ ที่เมื่อล้มลงแล้ว สามารถลุกขึ้นใหม่ได้เสมอแม้จะล้มกี่ครั้งก็ลุกขึ้นสู้ต่อไปอย่างไม่ลดละ

ต่อมา ‘นิ้วชี้’ คือการ FOCUS ว่าคุณจะมุ่งไปที่จุดไหน เหมือนตอนที่เขาไปเรียนการบินเพื่อไปรบที่เวียดนาม สิ่งที่ต้องทำก็คือ คุณต้องจดจ่ออยู่กับเป้าหมาย แม้จะมีคนพยายามยิงคุณให้ร่วงระหว่างทาง

‘นิ้วกลาง’ คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังยืนหยัดเพื่ออะไร ซึ่งสำหรับ Robert Kiyosaki เขายืนหยัดเพื่อให้ความรู้ทางด้านการเงิน สอนคนให้รู้จักจัดการเงินของตัวเอง เขาจะยืนหยัดในเรื่องนี้และไม่มีวันหลงออกนอกทาง

‘นิ้วนาง’ แทนความสัมพันธ์ ถ้าใครมีปัญหาด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ประเทศ หรือการแต่งงาน ก็เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี  ซึ่งประโยคที่เขามักจะพูดอยู่เสมอก็คือ “คุณทำข้อตกลงที่ดีกับหุ้นส่วนที่แย่ไม่ได้”

และ ‘นิ้วก้อย’ ก็แทนว่า ผู้ประกอบการทุกคนต้องทำบางอย่างที่ไม่มีใครทำกัน เช่น

ธุรกิจทั้งหมดของพวกเขานั้นสร้างมาจากคำสัญญาง่าย ๆ เพียงแค่ข้อเดียว และนี่คือสิ่งที่ตัดสินว่า ผู้ประกอบการใดจะรวยอย่างมหาศาลหรือจนเงินหมดตัว ถ้าหากพวกเขาไม่มีคำมั่นสัญญาที่ชัดเจน

10. Don’t quit : อย่าล้มเลิก

Robert Kiyosaki บอกว่า คำว่า “ล้มเลิก” ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเขาเลย เพราะแค่ช่วงเริ่มต้น เขาก็มีข้อเสียเปรียบที่ไม่ยุติธรรมกับชีวิตที่เขาพึ่งกลับมาจากการผ่านสนามรบในสงคราม และแน่นอนว่าผมยังมีชีวิตรอดอยู่ เพราะเพื่อน ๆ ทหารบางคนนั้นพวกเขาตายแทนผม ซึ่งพอเห็นอะไรแบบนั้นแล้ว เขาจะไปล้มเลิกได้ยังไงกัน

Resources

Exit mobile version